รถม้าของสำนักฝึกหลวงออกจากตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้งโดยใช้ความเร็วสูงสุด
ฝูงชนที่ล้อมอยู่นอกตรอกยังไม่ทันได้ตอบสนอง แม้แต่เหมาชิวอวี่กับเฉินหลิวอ๋องก็ยังไม่รู้ว่าภายในเรือนเล็กเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา
กองทัพของนิกายหลวงทั้งห้าร้อยนายต่างแยกย้ายกันไป เหลือเพียงแค่ฝุ่นควันเท่านั้น
ที่พวกเฉินฉางเซิงรีบร้อนกันขนาดนี้ ไม่ใช่เพราะอาการบาดเจ็บของเจ๋อซิ่วหนักจนใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว แต่เป็นเพราะเงามืดในจิตใจที่เรือนเล็กหลังนั้นมอบให้น่ากลัวเกินไป
เจ๋อซิ่วนอนอยู่บนเปลหาม สวมชุดที่สะอาดสะอ้านชุดหนึ่ง ใบหน้าดูซีดขาวเพราะไม่ได้เจอแสงแดดเป็นเวลานาน และดูผอมไปบ้าง แต่ไม่มีบาดแผลอะไร มองดูจากสภาพแล้วถือว่าไม่เลว
รถม้าถูกขับไปด้วยความเร็วสูง ลมบนถนนพัดให้ผ้าม่านหน้าต่างปลิวขึ้นมา ถังซานสือลิ่วมองเห็นมุมหนึ่งของชายคาคุกโจว ใบหน้าซีดขาว จิตใต้สำนึกก็สั่งให้จับด้ามกระบี่ให้แน่น ไหนเลยจะเหลือท่าทางที่พูดกับโจวทงในเรือนอย่างมั่นอกมั่นใจ
คุกโจวมืดมิด แต่ที่น่ากลัวอย่างแท้จริงก็ยังเป็นตัวของโจวทงเอง
เฉินฉางเซิงก้มหน้าลง ผมตรงขมับถูกเหงื่ออาบจนเปียกชุ่ม มองดูแล้วก็เหมือนว่าเขาเพิ่งจะใช้แรงไปอย่างมาก
เขาล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าจากแขนเสื้อออกมา เช็ดเหงื่อที่อยู่บนใบหน้า หลังจากนั้นก็กำเอาไว้ในมือ ปล่อยปราณแท้ออกมาคลุมเอาไว้
ก่อนที่จะเข้าไปยังคุกโจว ที่เขากำอยู่ก็คือผ้าเช็ดหน้าผืนนี้
เขามีเหงื่อออกน้อยมาก แม้แต่ถังซานสือลิ่วกับเซวียนหยวนผ้อก็ยังไม่เคยเห็นมาก่อน
วันนี้เป็นสถานการณ์พิเศษ ก่อนหน้านี้เขาก็คิดได้ว่าตนอาจจะมีเหงื่อออก
เมื่อยืนยันได้ว่าผ้าเช็ดหน้าที่เปียกจากเหงื่อไม่ได้ปล่อยกลิ่นหอมประหลาดซึ่งทำให้เขารู้สึกไม่สงบนั้นออกมา เฉินฉางเซิงถึงได้วางใจอย่างแท้จริง
การเผชิญหน้ากับโจวทงในเรือนเล็กนี้ สำหรับเขาแล้ว ยังอกสั่นขวัญแขวนยิ่งกว่าการประลองกับโจวจื้อเหิงนั่นอีก
เพราะการเผชิญหน้าในครั้งนี้ จิตใจของพวกเขาต้องรับความกดดันที่แสนน่าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
“อย่าเช็ดปาก” ถังซานสือลิ่วมองเขาที่เช็ดเหงื่อไม่หยุดแล้วพูดขึ้น
การเคลื่อนไหวของเฉินฉางเซิงชะงักไป และถามขึ้น “ทำไมกัน”
ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “เอาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดปาก ก็จะเหมือนกับโจวทงเมื่อครู่นั่น ดูโรคจิตอย่างมาก”
ที่ด้านหน้ารถมีเสียงหัวเราะของเซวียนหยวนผ้อดังขึ้นมา เด็กหนุ่มเผ่าหมีที่แสนซื่อเสียงหัวเราะก็มักจะเบาเช่นนี้
นี่ไม่ใช่มุกตลกที่น่าขำอะไร แต่บรรยากาศในรถม้าก็ถือว่าผ่อนคลายลงไปบ้าง
จิตใจของเฉินฉางเซิงค่อยๆ สงบลง และเริ่มที่จะตรวจสอบอาการบาดเจ็บของเจ๋อซิ่ว
นิ้วมือของเขาเริ่มจับชีพจรของเจ๋อซิ่ว ขณะที่กำลังวินิจฉัยอย่างเงียบๆ ทันใดนั้น ในรถก็เกิดเสียงดังขึ้น นิ้วมือของเขาถูกดีดกระเด็นออกไป
ถังซานสือลิ่วถามขึ้น “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“เลือดลมตีกลับ อาการโรคเดิมของเขา”
เฉินฉางเซิงรู้สึกว่าชีพจรของเจ๋อซิ่วมีปัญหาอยู่บ้าง จึงขมวดคิ้วขึ้นน้อยๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เขาใช้นิ้วหยิบเข็มทองคำขึ้นมา และปลดเสื้อของเจ๋อซิ่ว เพื่อเตรียมจะลองฝังเข็มดู
เมื่อปลดเสื้อออก มือของเขาก็ชะงักค้างไป
หลังจากที่ถังซานสือลิ่วเห็นเข้า ร่างกายก็แข็งค้างไปด้วย
นิ้วมือของเฉินฉางเซิงสั่นเทา แต่ยังคงค่อยๆ ปลดเสื้อของเจ๋อซิ่วออก ทำให้ร่างกายของเขาถูกเปิดเผยออกมา
ใช่ ใบหน้าของเซ๋อซิ่วไม่มีบาดแผลแม้แต่น้อย และก็มองไม่เห็นว่ามีแผลหรือถูกทรมานอะไร เพราะว่าของเหล่านั้นล้วนไปอยู่บนร่างของเขาทั้งหมด
ร่างของเขาในตอนนี้ไม่มีเนื้อส่วนไหนที่สมบูรณ์เลย
ทุกที่ล้วนเป็นไปด้วยบาดแผลกับเนื้อเน่า
มีบางแห่งที่สามารถเห็นกระดูกสีขาวโพลน
มีบางแห่ง กระทั่งกระดูกก็ยังเปลี่ยนเป็นสีดำ
เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าเจ๋อซิ่วถูกทรมานไปมากมายแค่ไหน ถูกวางยาพิษไปมากน้อยเท่าไหร่
เขาเองก็ไม่อยากจะรู้ เพราะว่าทนไม่ได้ที่จะรู้
ในรถพลันเงียบกริบ
“หยุดรถ!”
เฉินฉางเซิงพูดขึ้นอย่างกะทันหัน
ถังซานสือลิ่วก้มหน้าลง ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่มือขวานั้นจับไปที่กระบี่เวิ่นสุ่ยอีกครั้ง
เซวียนหยวนผ้อไม่รู้ว่าในรถเกิดเรื่องอะไรขึ้น หลังจากที่เขาหยุดรถจึงมุดเข้ามา และก็ได้เห็นสภาพน่าอนาถของเจ๋อซิ่ว
ดวงตาของเขาแดงก่ำขึ้นมาในทันที ลมหายใจก็ถี่กระชั้นและหนักหน่วง เป็นเพราะความโกรธ แขนทั้งสองข้างพลันขยายใหญ่ขึ้นมา เส้นขนที่แข็งดั่งเหล็กก็โผล่พ้นผิวหนังออกมา ซึ่งนี่เป็นสภาพตอนที่กำลังจะกลายร่าง
“ข้าจะฆ่าเจ้าโจวทง!”
เฉินฉางเซิงกับถังซานสือลิ่วไม่ได้พูดขึ้นมา แต่ว่าพวกเขาก็คิดเช่นนี้ ดังนั้นถึงได้ตะโกนให้หยุดรถ ดังนั้นถึงได้จับที่ด้ามกระบี่
เจ๋อซิ่วถูกทรมานอย่างโหดร้ายเกินไปแล้ว ขนาดเฉินฉางเซิงก็ยังไม่อาจทำให้จิตใจสงบได้อีก ส่วนถังซานสือลิ่วนั้นไหนเลยจะยังคำนึงว่าตนมีสถานะเป็นลูกหลานตระกูลใหญ่อีก
ถ้าหากเหลียงเสี้ยวเซียวใช้ชีวิตของตนกล่าวโทษว่าเจ๋อซิ่วร่วมมือกับเผ่ามาร เจ๋อซิ่วก็ได้รับลูกหลงมาจากชีเจียน เช่นนั้นแล้วตั้งแต่ต้นจนจบ โจวทงก็ไม่ยอมปล่อยคน เขาใช้วิธีการที่โหดร้ายอำมหิตเช่นนี้ทรมานเจ๋อซิ่ว ซึ่งก็เป็นการรับโทษแทนสำนักฝึกหลวง
พวกเขาก็คือคนของสำนักฝึกหลวง แน่นอนว่าพวกเขาจะแก้แค้นแทนเจ๋อซิ่ว
ก็เป็นในตอนนี้เอง เจ๋อซิ่วพลันลืมตาขึ้นมา
ส่วนลึกในม่านตาของเขายังคงเป็นสีเขียวมะนาว
นั่นคือสีที่เกิดจากพิษของหนานเค่อรวมเข้ากับเลือดของเผ่าหมาป่า
แต่เพราะว่าตอนอยู่ในคุกโจวเขาถูกพิษไปหลายตัว พิษแต่ละชนิดหักล้างกันเอง สุดท้ายในหลายวันมานี้ การมองเห็นของเขาก็ค่อยๆ ฟื้นฟูขึ้นมาบ้างแล้ว
ทุกครั้งที่เขาตื่นขึ้นมาในคุกโจว ก็จะต้องเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดอันไร้ที่สิ้นสุด ดังนั้นหลังจากที่เขาลืมตาขึ้น จึงเต็มไปด้วยความเย็นชาและโกรธแค้น
แต่ในนาทีนี้ ที่เขาเห็นไม่ใช่พวกสิ่งของประหลาดๆ หรือกระทั่งอุปกรณ์ทรมานที่สร้างมาสำหรับใช้กับเผ่าปีศาจโดยเฉพาะ แต่เป็นใบหน้าของเด็กหนุ่มสามคนที่มีสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย
ในเวลาอันสั้น เจ๋อซิ่วก็ตื่นขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ และเดาจากสีหน้าของทั้งสามคนออกว่าพวกเขาเตรียมจะไปทำอะไร
ความระแวงกับความโกรธแค้นในดวงตาพลันหายไปแล้ว ใบหน้ายังคงไม่มีความรู้สึกใดแสดงออกมา เขาพูดตรงไปหาเซวียนหยวนผ้อว่า “ออกรถ”
เสียงของเขาอ่อนแรงอย่างมาก แต่กลับมีความรู้สึกที่ไม่อาจจะปฏิเสธได้
เซวียนหยวนผ้อตะโกนขึ้นมาเสียงดัง “พวกข้าเตรียมจะกลับไปฆ่าโจวทงเพื่อแก้แค้นให้เจ้า”
เจ๋อซิ่วมองไปที่เขาแล้วพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ในนั้นมีเสาย่างไฟอยู่หลายแบบ เจ้าอยากเอาอุ้งเท้าหมีน้ำแดงไปส่งให้พวกเขาหรือ”
นี่ยังคงเป็นมุกตลกที่ไม่ตลก และในครั้งนี้ก็ไม่มีใครหัวเราะด้วย
แน่นอนไม่ใช่เพราะแต่ไหนแต่ไรมาเจ๋อซิ่วไม่เคยเล่นมุกตลก ดังนั้นทุกคนจึงตกตะลึง
“แต่ว่า…เรื่องนี้ ไม่อาจจะทนเก็บเอาไว้ได้จริงๆ” ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น
เจ๋อซ่วพูดขึ้น “ตอนที่สู้ไม่ได้ก็ต้องอดทนเอาไว้ จับจ้องเขาเอาไว้ตลอดเวลา พัฒนาตนให้แข็งแกร่ง หลังจากนั้น ก็ฆ่าเขาให้ตายในทีเดียว”
นี่ก็คือวิถีการดำรงอยู่ของหมาป่า
เฉินฉางเซิงมองเขาอย่างโศกเศร้า พลางพูดขึ้น “ขอโทษด้วย เป็นเพราะข้าที่ทำให้เจ้าต้องลำบาก”
เจ๋อซิ่วหลับตาลง ไม่ได้สนใจเขา
เซวียนหยวนผ้อกลับไปยังหน้ารถ รถม้าเริ่มออกตัวต่อไป
ระยะห่างจากคุกโจวก็ห่างไกลออกไปเรื่อยๆ
แต่เด็กหนุ่มทั้งสี่คนบนรถม้าล้วนชัดเจนดี จะต้องมีสักวันหนึ่ง ที่พวกเขาจะกลับมายังที่แห่งนี้
ในรถม้ามีเสียงที่เฉยเมยดังขึ้นอย่างกะทันหัน
นั้นก็คือเสียงของเจ๋อซิ่ว เขายังคงหลับตาอยู่
“ถ้าหากพวกเจ้ารู้สึกว่าข้าอนาถนัก…เพิ่มเงินให้ก็พอแล้ว”
……
……
เมื่อกลับถึงสำนักฝึกหลวง มีนักบวชของกระทรวงสิบสามชิงเหย้ารออยู่ตั้งนานแล้ว และเริ่มใช้เคล็ดวิชาแสงศักดิ์สิทธิ์รักษาให้เจ๋อซิ่ว หลังจากนั้นเฉินฉางเซิงก็เริ่มทำการรักษาให้แก่เขาด้วยตัวเอง เขาใช้เข็มทองกับมีดเล่มเล็กอย่างระมัดระวังในการจัดการกับบาดแผลบนร่างของเจ๋อซิ่วที่อนาถจนแทบจะทนดูไม่ได้เหล่านั้น เขาใช้เวลาไปครึ่งวันเต็มๆ ถึงจะจัดการเรียบร้อย ท้องฟ้าก็มืดสนิทเข้าไปแล้ว
เจ๋อซิ่วได้รับบาดเจ็บสาหัส เพื่อให้สะดวกต่อการรักษาและหลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหว จึงไม่ได้ให้พักในหอเล็กที่ข้างป่า และปูพื้นไม้ในหอตำราด้วยผ้าห่มหนาๆ แทน แล้วก็ให้นอนอยู่บนพื้นเช่นนี้
อาศัยแสงจากตะเกียง เฉินฉางเซิงมองดูบันทึกรายชื่อของสำนักฝึกหลวง หลังจากนั้นก็เก็บกลับเข้าไปในลิ้นชัก เขามองไปทางเด็กหนุ่มเผ่าหมาป่าที่หลับตาอดทนต่อความเจ็บปวดโดยที่ไม่พูดจา และนึกขึ้นได้ว่าในสวนโจวเจ๋อซิ่วเคยพูดกับเขาว่าอยากได้กระบี่สักเล่มหนึ่ง
“เงิน…ในตอนนี้ข้าไม่ได้มีมากนัก” เฉินฉางเซิงไม่ได้สนใจสายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธจากถังซานสือลิ่วที่อยู่ข้างกาย และพูดกับเจ๋อซิ่วขึ้นมา “แต่ข้ามีกระบี่อยู่มาก เจ้าสามารถเลือกได้ตามใจชอบ”