บทที่ 1240 ไม่ใช่สายลับ

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

บทที่ 1240 ไม่ใช่สายลับ โดย Ink Stone_Fantasy

เพิ่งจะกดดันให้เหมียวอี้อธิบายอยู่เลย ชั่วพริบตาเดียวก็รับประกันให้เหมียวอี้อีกแล้ว การเปลี่ยนแปลงที่กลับหัวกลับหางซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้ทำให้ทุกคนงุนงง

โดยเฉพาะพวกมู่ฝานจวิน เมื่อเห็นจินม่านตัดสินอย่างแน่วแน่ขนาดนี้ ก็ทำเอารับมือไม่ทันนิดหน่อย การเปลี่ยนแปลงนี้เหนือความคาดหมายของพวกเขาจริงๆ ละครดีเพิ่งจะเริ่มต้น แต่ก็โดนคนบีบคอหักแล้ว นี่มันสถานการณ์อะไรกัน?

อย่าว่าแต่พวกเขาเลย แม้แต่เหมียวอี้ก็คิดตามไม่ทันไปชั่วขณะ

แต่สถานการณ์ก็ชัดเจนมาก บ่อเกิดของความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นหลังจากที่สืออวิ๋นเปียนใช้ระฆังดาราติดต่อกับใครบางคน จากนั้นทุกคนก็สัมผัสได้ว่าสืออวิ๋นเปียนกับลังถ่ายทอดเสียงสื่อสารกับจินม่าน ทุกคนก็เห็นสีหน้างุนงงของจินม่านแล้วเช่นกัน

ทุกคนอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าใครกันที่ติดต่อกับสืออวิ๋นเปียน ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้จินม่านมองข้ามฐานะของเหมียวอี้ตอนอยู่ฝั่งโจรกบฏ

เพียงแต่พอกล่าวมาแบบนี้ ก็เห็นได้ชัดว่าห้าปราชญ์เริ่มนั่งไม่ติดที่แล้ว นิ่งสงบต่อไปไม่ได้แล้วจริงๆ

ล่วงเกินเหมียวอี้แบบหวังให้ถึงตายไปแล้ว เรียกได้ว่าผลักเหมียวอี้สู่หนทางที่ต้องตายโดยตรง ถ้าตอนนี้ควบคุมเหมียวอี้ไม่ได้ นั่นก็แปลว่าล่วงเกินเหมียวอี้อย่างโหดร้ายแล้วจริงๆ ลูกศิษย์และลูกสาวของพวกเขาล้วนเป็นอนุภรรยาของเหมียวอี้

ถ้าจะพูดตรงๆ ก็คือ ทั้งห้าล้วนมีตัวประกันอยู่ในมือเหมียวอี้ อาศัยอำนาจของเหมียวอี้ที่ดาวเทียนหยวน แค่ออกคำสั่งคำเดียวก็สามารถคร่าชีวิตลูกสาวและลูกศิษย์ของพวกเขาได้แล้ว ถ้าจะเอาชีวิตพวกนางไปก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก ฆ่าไปตรงๆ เสียจะได้หมดเรื่องหมดราว อย่างมากทุกคนก็มีฐานะที่สมดุลกันแล้ว กลัวก็แต่ว่าเหมียวอี้กลับไปแล้วจะนำเรื่องที่พวกเขาทรยศไปบอกพวกนาง แล้วจะให้ผู้ใหญ่ที่มองข้ามชีวิตแต่งงานของลูกสาวและลูกศิษย์ตัวเองอย่างพวกเขาทนความรู้สึกได้อย่างไร!

เดิมทีพวกเขาจะฉวยโอกาสนี้ควบคุมเหมียวอี้ไว้ให้ได้ ไม่ให้โอกาสเหมียวอี้ได้ติดต่อกับภายนอกอีก จากนั้นก็ปิดบังสาเหตการตายของเหมียวอี้อย่างถึงที่สุด แต่ใครจะคิดว่าจะเกิดเหตุเปลี่ยนแปลงแบบนี้ การเล่นที่มีโอกาสชนะยังไม่ทันได้เริ่มก็โดนฟันขาดกลางตัวแล้ว เป็นสิ่งที่ยากจะรับไหวจริงๆ

โดยเฉพาะมู่ฝานจวินที่เป็นแกนนำ รับไม่ได้นิดหน่อยกับการเปลี่ยนแปลงกะทันหันเหมือนคว่ำกระดานแบบนี้ นางล่วงเกินเหมียวอี้หนักที่สุด จึงลุกขึ้นยืนทันที ถามจินม่านด้วยสีหน้าเย็นเยียบว่า “ประมุขขุนพลจิน เจ้ารู้รึเปล่าว่ากำลังพูดอะไรอยู่? ถ้าให้สายลับของโจรกบฏปะปนเข้ามาอยู่ในใจกลางของพวกเรา ก็เป็นไปได้สูงว่าทำให้ทัพใหญ่หกลัทธิดับสิ้น เจ้าอย่าบอกเชียวนะว่าเจ้าไม่รู้ผลลัพธ์ที่ร้ายแรงของเรื่องนี้”

เหมียวอี้เลิกคิ้วทันที เหล่ตาจ้องนางอย่างเย็นเยียบ

จินม่านส่ายหน้าบอกว่า “ข้ายืนยันได้ว่าประมุขปราชญ์ของพวกเราไม่ใช่สายลับของโจรกบฏ”

อย่างไรเสียมู่ฝานจวินก็เป็นประมุขปราชญ์ลัทธิเซียน ยังไม่สามารถควบคุมลัทธิอู๋เลี่ยงได้ ที่จริงอำนาจยังคงอยู่ในมือจินม่าน ตราบใดที่จินม่านไม่อนุญาตให้ลงโทษเหมียวอี้ อีกห้าลัทธิก็ต้องชั่งน้ำหนักดูสักหน่อย ไม่อย่างนั้นถ้าขัดแย้งกันภายในเพราะเรื่องนี้จะทำให้สิ้นเปลืองกำลังของหกลัทธิ ในสถานการณ์ที่เผชิญอยู่ตอนนี้ หกลัทธิสิ้นเปลืองต่อไปไม่ไหวแล้ว

เมื่อเห็นว่าไม่สามารถพูดให้จินม่านเข้าใจได้ มู่ฝานจวินจึงหันกลับไปมองประมุขขุนพลจ่างซุนจูแวบหนึ่ง แล้วส่งสายตาให้เขา

จ่างซุนจูเข้าใจความหมายที่นางจะสื่อ นางกำลังต้องการให้เขาออกหน้า จึงกล่าวเสี่ยงต่ำทันทีว่า “จินม่าน ไม่ต้องรีบตัดสินแบบนี้ก็ได้ ตรวจสอบให้ชัดเจนก่อนว่าเป็นหนิวโหย่วเต๋อ ผู้บัญชาการตลาดสวรรค์ของดาวเทียนหยวนหรือไม่ แล้วก็ค่อยว่ากัน ถ้าหากไม่ใช่ พวกเราก็จะขออภัยต่อหน้าอีกที คืนความบริสุทธิ์ให้ประมุขปราชญ์ของพวกเจ้าก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร ตอนหลังจะได้ไม่ต้องเอาแต่วนเวียนอยู่กับเรื่องนี้อีก เป็นอย่างไร?”

จินม่านขมวดคิ้วเล็กน้อย ทำท่าครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วถ่ายทอดเสียงตอบว่า “จ่างซุนจู เกรงว่าเจ้าจะไม่เชื่อในสิ่งที่ข้าพูด เรื่องนี้ไม่มีอะไรน่าสงสัยเลยจริงๆ เมื่อครู่สายลับที่อยู่ฝั่งโจรกบฏส่งข่าวมา ถ้าเจ้าอยากรู้สาเหตุ ก็ลองให้ฝ่ายตัวเองติดต่อกับสายลับฝั่งโจรกบฏโดยตรงดูสิ แล้วเจ้าก็จะรู้สาเหตุเอง”

ตอนที่ทิ้งวิธีการไว้ให้ติดต่อกับสายลับในปีนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดคิดและผิดพลาด ยกตัวอย่างเช่นถ้าใครบางคนรบตายแล้วก็เป็นไปได้สูงว่าจะตัดขาดการติดต่อกับโจรกบฏ ดังนั้นสืออวิ๋นเปียน เหลิ่งจัวฉุน ตานฉิง กุยอู๋ ฉางหง เมิ่งหรู ในมือขุนพลใหญ่ทั้งห้าจึงมีระฆังดาราที่ไว้ใช้ติดต่อกับสายลับ ถึงอย่างไรในมือของประมุขขุนพลทั้งหกที่โดนขังในปีนั้นก็ไม่มีสิ่งนี้

เมื่อได้ยินจินม่านเอ่ยถึงสายลับ จ่างซุนจูก็ทำสีหน้าเคร่งขรึมทันที ต้องทราบไว้ว่าไม่ว่าจะเป็นฝั่งนี้ติดต่อกับสายลับ หรือจะเป็นสายลับติดต่อกับฝั่งนี้ แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ค่อยติดต่อกันเท่าไรเลย สายลับที่อยู่ทางนั้นก็เคยบอกแล้ว ว่าถ้าไม่จนตรอกจริงๆ ก็อย่าเป็นฝ่ายติดต่อไปหาเขาก่อน

ในตอนนี้ จ่างซุนจูจำเป็นต้องหันกลับมาถ่ายทอดเสียงบอกเมิ่งหรู ให้เขาติดต่อกับสายลับ ถามว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่

เมิ่งหรูอึ้งนิดหน่อย แต่ก็ยังหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับสายลับที่อยู่ฝั่งโจรกบฏ

“ประมุขขุนพล จะวุ่นวายอยู่กับเรื่องนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว เหมียวอี้ไม่ใช่สายลับที่โจรกบฏส่งมาจริงๆ แต่เป็นสายลับของฝ่ายเราที่จับไปยัดไว้ฝั่งโจรกบฏ…” เมิ่งหรูรีบถ่ายทอดเสียงบอกสิ่งที่สายลับบอกให้จ่างซุนจูรู้

มีปฏิกิริยาเดียวกับจินม่าน จ่างซุนจูก็ตกตะลึงไม่หยุดเช่นกัน เดาออกแล้วว่าที่จินม่านมีปฏิกิริยาแบบเมื่อเมื่อครู่นี้เพราะฝั่งสายลับส่ข่าวมาห้ามเรื่องเมื่อครู่นี้ไว้ทัน สามารถรู้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นฝั่งนี้ได้ทันท่วงที ความสามารถในการควบคุมแบบนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว ยังมีอะไรอีกบ้างที่สายลับไม่รู้?

จ่างซุนจูปรับอารมณ์ให้กลับคืนสู่ปกติ แล้วพยักหน้าเบาๆ ให้เมิ่งหรูเพื่อบอกว่ารู้แล้ว จากนั้นก็เอียงหน้าถ่ายทอดเสียงบอกมู่ฝานจวิน “ประมุขปราชญ์ ยืนยันแล้วว่าเหมียวอี้ไม่ใช่สายลับจริงๆ เรื่องนี้ปล่อยผ่านไปเถอะ อย่าทำแบบนี้ต่อไปเลย ไม่อย่างนั้นทุกคนจะมองหน้ากันไม่ติด”

พอได้ยินแบบนี้ มู่ฝานจวินก็เรียกได้ว่าทำสีหน้าเดือดดาล มาถึงขั้นนี้แล้วมีหรือที่นางจะยอมรับความจริงว่าล้มเหลวในตอนสุดท้ายได้ง่ายๆ  จึงถ่ายทอดเสียงถามอย่างเย็นเยียบว่า “พวกเจ้าได้ข่าวมาจากไหนเพื่อยืนยันว่าเขาไม่ใช่สายลับที่โจรกบฏส่งมา? พวกเจ้าไม่ตรวจสอบด้วยซ้ำว่าเขาเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวนหรือเปล่า แล้วจะตัดสินได้ยังไงว่าเขาไม่ใช่สายลับ? ในฐานะที่ข้าเป็นประมุขปราชญ์ลัทธิเซียน จะเอาความเป็นความตายของพี่น้องนับล้านมาล้อเล่นไม่ได้!”

จ่างซุนจูถอนหายใจ แล้วตอบว่า “ประมุขปราชญ์ พูดกับท่านอย่างนี้แล้วกัน ต่อให้ตรวจสอบเจอว่าเหมียวอี้มีอีกสถานะหนึ่งที่สำคัญก็ไม่มีความหมายอะไร ต่อให้แน่ใจว่าไม่ผิดพลาดก็ไม่มีประโยชน์ คนอื่นๆ ที่อยู่ตรงนี้ล้วนไม่เชื่อว่าเขาคือสายลับที่โจรกบฏส่งมา” พูดจาแบบเด็ดขาดไปแล้ว โน้มน้าวให้นางหยุดทำเรื่องนี้

มู่ฝานจวินรู้สึกสะเทือนในใจ ที่มากกว่านั้นคือแอบร้องว่าแย่แล้ว เป็นความรู้สึกแบบขโมยไก่ไม่ได้ ทั้งยังเสียข้าวสารอีกกำมือ นึกไม่ถึงว่าเกราะป้องกันของเหมียวอี้จะแข็งแกร่งขนาดนี้ ขนาดทำแบบนี้ยังทำอะไรเขาไม่ได้เลย นางแอบกัดฟันถามว่า “เป็นใครกันที่ส่งข่าวให้พวกเจ้า ถึงได้ทำให้พวกเจ้าแน่ใจขนาดนี้?”

จ่างซุนจูลังเลนิดหน่อย แต่ก็ยังเกลี้ยกล่อมว่า “ประมุขปราชญ์ ก่อนที่ท่านจะรวมเป็นหนึ่งเดียวของพวกเราอย่างถึงที่สุด ก็ยังบอกท่านไม่ได้ว่าใครเป็นคนส่งข่าวมา”

เป็นเพราะสายลับคนนั้นมีความสำคัญต่อทัพใหญ่หกลัทธิที่พยายามเอาชีวิตรอดมากเกินไป ในหกลัทธิมีคนรู้สถานการณ์เบื้องลึกอยู่ไม่กี่คน จะให้ข่าวแพร่ออกไปข้างนอกง่ายๆ ไม่ได้ นี่ไม่ใช่แค่สิ่งที่ผู้วางค่ายกลบอกไว้ในปีนั้น ต่อให้ไม่ได้บอกไว้ แต่หกลัทธิก็ไม่มีทางปล่อยให้ข่าวรั่วไหลออกไปง่ายๆ อยู่ดี เรื่องนี้ชัดเจนมาก ตอนที่ทัพใหญ่ของตำหนักสวรรค์บุกโจมตีเข้ามาในนรก คนที่สามารถรู้ทิศทางการเคลื่อนไหวของทัพใหญ่ได้อย่างทันท่วงทีจะต้องมีฐานะที่ตำหนักสวรรค์ไม่ต่ำแน่ ถ้าตำหนักสวรรค์รู้ว่าในหน่วยงานภายในระดับสูงมีสายลับของโจรกบฏ  เกรงว่าตำหนักสวรรค์คงจะกวาดล้างอย่างไม่เสียดาย ถ้าสายลับคนนั้นถูกพบหรือไม่ก็ถูกปลุกระดมให้ก่อกบฏ นั่นก็จะเป็นภัยคุกคามอย่างใหญ่หลวง ดีไม่ดีอาจจะเกี่ยวโยงมาถึงความเป็นความตายของทัพใหญ่หกลัทธิโดยตรง

พอเป็นแบบนี้ ก่อนที่พวกมู่ฝานจวินจะถูกมองว่าเป็นพวกเดียวกันกับพวกเขาอย่างเต็มที่ จะปล่อยให้เรื่องลับเฉพาะที่สุดแบบนี้รั่วไหลออกไปไม่ได้เด็ดขาด ไม่ใช่เพราะอะไร นี่เป็นแผนเพื่อความอยู่รอด ถ้าไม่ใช่เพราะเตรียมตัวเพื่อความอยู่รอด พวกเขาก็ไม่มีทางยอมรับพวกมู่ฝานจวินเป็นประมุขปราชญ์เหมือนกัน!

คำพูดนี้ทำให้มู่ฝานจวินเถียงอะไรไม่ออก นางรู้ชัดอยู่แก่ใจ อย่าคิดว่าตัวเองเป็นประมุขปราชญ์แค่ไม่กี่วันแล้วจะควบคุมกำลังพลกลุ่มนี้ได้ ระดับความร้อนของไฟยังไม่ได้ที่ ก็ไม่มีทางกดดันให้อีกฝ่ายคายความลับสุดยอดออกมาเช่นกัน

ถ้าคิดจะทำอะไรเหมียวอี้อีกก็ไม่มีโอกาสแล้ว มู่ฝานจวินทำได้เพียงกลืนลูกมะระขมนี้ไว้ เมื่อไม่ได้รับการสนับสนุนจากที่นี่ อาศัยศักยภาพของนางก็ไม่สามารถทำอะไรที่นี่ได้เช่นกัน จึงสะบัดแขนเสื้อเดินก้าวยาวจากไป ไม่ได้พูดอะไรสักคำ ถ้าพูดเหลวไหลอีกก็เท่ากับไม่รู้จักแยกแยะดีชั่วและตบหน้าตัวเอง

“เป็นความเข้าใจผิด หกลัทธิร่วมเผชิญชะตากรรมด้วยกันมา ปราชญ์เซียนเองก็คำนึงถึงความอยู่รอดของหกลัทธิถึงได้ทำแบบนี้ ถ้ามีจุดไหนที่ล่วงเกิน ประมุขปราชญ์อู๋เลี่ยงก็ได้โปรดอย่าเก็บมาใส่ใจ ขอตัวลา!” จ่างซุนจูกุมหมัดขออภัยเหมียวอี้อย่างเป็นทางการ แล้วหันตัวไปส่งสายตาให้พวกขุนพลใหญ่ลัทธิเซียนที่ทำสายตาสงสัย บอกใบ้กว่ารอให้กลับไปก่อนแล้วค่อยคุยกัน นำพวกเขากลับไปแล้ว

เหมียวอี้ยังคงนั่งนิ่งไม่สะทกสะท้าน แต่ในใจกลับหดหู่ต่างจากที่แสดงออกมาภายนอก เหมือนพลิกแม่น้ำคว่ำทะเลจริงๆ ในใจกำลังรีบคิดว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่?

มู่ฝานจวินก่อเรื่องจนเสียหน้ากลับไป พวกอวิ๋นอ้าวเทียนงุนงงอยู่บ้าง และไม่รู้ด้วยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้?

ลัทธิมาร ลัทธิพุทธ ลัทธิปีศาจ ลัทธิผี ประมุขขุนพลทั้งสี่ลัทธิก็พบความไม่ชอบมาพากลเช่นกัน จึงถ่ายทอดเสียงถามจินม่านทันทีว่าเรื่องเป็นอย่างไร คำตอบของจินม่านก็เหมือนกับที่ตอบจ่างซุนจู ให้พวกเขาไปถามเอาเอง จะได้ไม่ต้องเดาไปเรื่อยไม่รู้จักจบจักสิ้น…

ณ ตำหนักเซียน ขณะมองคล้อยหลังมู่ฝานจวินที่สีหน้าคร่ำเครียดเดินหายเข้าไปในประตูตำหนักแล้ว จ่างซุนจูที่สวมชุดสีขาวก็หยุดฝีเท้าอยู่ตรงประตู ขมวดคิ้วโดยไม่พูดอะไร

เมิ่งหรูที่อยู่ข้างกันถามอ่ย่างลังเลว่า “ประมุขขุนพล ท่านสังเกตหรือเปล่าว่าเจตนาของประมุขปราชญ์ครั้งนี้เหมือนจะไม่ค่อยบริสุทธิ์?”

จ่างซุนจูเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอียงหน้าบอกว่า “ให้หวงอิ้งหงกับก่งหลิงอวี้มาพบข้าหน่อย”

หวงอิ้งหงกับก่งหลิงอวี้ก็คือคนที่เขาส่งไปติดตามรับใช้มู่ฝานจวินก่อนหน้านี้ เพียงแต่ตอนหลังมู่ฝานจวินใช้งานคนของตัวเอง กันผู้หญิงทั้งสองไว้วงนอก

สถานที่นัดพบก็คือในทะเลทรายรกร้างที่มีลมหนาวกระโชกแรง

ผู้หญิงทั้งสองรีบเหาะมา พอเห็นจ่างซุนจูกับเมิ่งหรูที่ยืนเอามือไขว้หลัง ก็รีบกุมหมัดคารวะทันที “คารวะประมุขขุนพล คารวะขุนพลใหญ่”

จ่างซุนจูหันตัวมา “ข้าถามพวกเจ้าหน่อย หลายปีมานี้พวกเจ้าสังเกตเห็นความผิดปกติอะไรของประมุขปราชญ์บ้างรึเปล่า?”

ผู้หญิงทั้งสองสบตากัน ก่อนที่หวงอิ้งหงจะตอบว่า “หลายปีมานี้พวกเราก็แค่วิ่งเต้นทำงานเบ็ดเตล็ดอยู่ข้างกายประมุขปราชญ์เท่านั้น เป็นเรื่องยากมากที่จะมองเห็นจุดที่ผิดปกติของประมุขปราชญ์ค่ะ”

เป็นอย่างที่คาดไว้ พอถามอีกสองสามคำ เห็นว่าถามไม่ได้ความอะไร เมิ่งหรูก็มองจ่างซุนจูที่นิ่งเงียบแวบหนึ่ง แล้วพูดไล่ให้ไปทำงานแทนว่า “พวกเจ้าสองคนจำไว้นะ ถ้าพบว่าประมุขปราชญ์มีอะไรผิดปกติก็ให้รีบรายงานได้ทุกเมื่อ”

“ค่ะ!” ผู้หญิงทั้งสองเอ่ยรับคำสั่ง ขณะกำลังจะถอยออกไป ก่งหลิงอวี้กลับพูดห้ามว่า “ประมุขขุนพล ข้าน้อยนึกเรื่องอะไรบางอย่างขึ้นได้”

“หืม!” จ่างซุนจูถามทันที “เกี่ยวกับประมุขปราชญ์เหรอ?”

“ใช่แล้ว!” ก่งหลิงอวี้พูดจากความทรงจำว่า “นั่นเป็นตอนที่พวกเราสองคนเพิ่งถูกส่งไปอยู่ข้างกายประมุขปราชญ์ จู่ๆ ประมุขปราชญ์ก็ถามพวกเราสองคนเกี่ยวกับประมุขไป๋”

“ประมุขไป๋?” จ่างซุนจูแปลกใจ “นางถามเรื่องประมุขไป๋ทำไม?”

“ข้าก็นึกออกแล้วเหมือนกัน” หวงอิ้งหงที่ถูกเตือนความจำพยักหน้าซ้ำๆ พูดต่อไปว่า “นางถามพวกเราว่าเคยเจอประมุขไป๋หรือเปล่า พวกเราตอบว่าเคยเห็น นางจึงถามทันทีว่าประมุขไป๋หน้าตาเป็นยังไง ตอนนั้นข้าตอบไปว่า ประมุขไป๋เป็นชายรูปงามแบบที่หาพบได้ยากในโลกนี้ แต่ใครจะคิดว่าพออธิบายรูปร่างหน้าตาของประมุขไป๋ไปคร่าวๆ แล้ว นางก็ถามอีกว่าประมุขไป๋มีช่อผมขาวสองช่อตรงจอนผมใช่มั้ย แต่ประมุขไป๋ที่พวกเราเคยเห็นมีผมดำขลับทั้งศีรษะ ไม่มีผมขาวเลย พวกเราย่อมตอบว่าไม่ใช่ ทำให้นางไม่ถามต่อแล้ว สถานการณ์ก็ประมาณนี้ค่ะ” เวลาผ่านไปแล้วหลายสิบปี เหมือนจะไม่กล้าแน่ใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้นสักเท่าไร ตอนพูดประโยคสุดท้ายนางหันไปมองก่งหลิงอวี้ด้วย

…………………………