บทที่ 615 เข้าวัง

บัลลังก์พญาหงส์

สำหรับบทลงโทษของตระกูลหวัง สุดท้ายก็เพียงยกขึ้นมาสถานหนัก แต่ทำจริงสถานเบาเท่านั้น ฮ่องเต้เห็นแก่ความสัมพันธ์ครั้งก่อน สุดท้ายก็ไม่ได้กวาดล้างให้สิ้นซาก แต่ก็เลือกวิธีทำให้คนตระกูลหวังไร้ซึ่งอำนาจ ยึดตำแหน่ง และยังเก็บแผ่นไม้ประทานกลับไป 

 

 

ตอนนี้คนตระกูลหวังไม่มียศศักดิ์หลงเหลือ มีเพียงขุนนางตระกูลหวังชั้นผู้น้อยบางคนที่พอเป็นหน้าเป็นตาในราชสำนักได้บ้าง 

 

 

เวลาเพียงชั่วข้ามคืน แขกของตระกูลหวังก็หายไปกว่าครึ่ง สถานการณ์ของตระกูลหวังเรียกได้ว่าอ้างว้างและตกต่ำ 

 

 

ใต้เท้าหวัง หรือเจิ้นกั๋วกงในอดีตตอนนี้ล้มป่วยจริงๆ อีกทั้งยังป่วยหนัก ได้ยินว่าแม้แต่จะลุกก็ยังลุกไม่ขึ้น 

 

 

แต่ฮ่องเต้เพียงแค่ให้หลี่เย่ไปไถ่ถามเท่านั้น ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรมากไปกว่านี้ 

 

 

ฮองเฮาเองก็ล้มป่วยหนักเช่นกัน ได้ยินว่าวันๆ เอาแต่ฝันถึงองค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อ แล้วก็ร่ำไห้ทั้งวัน ฮูหยินหวังและฮูหยินรองหวังก็สวมใส่ชุดสีพื้น คุกเข่าที่โถงพระขอพรให้ฮองเฮา สวดมนต์ให้องค์รัชทายาท แต่เรื่องเหล่านี้ย่อมไม่เกี่ยวกับถาวจวินหลัน ยังมีเวลาอีกสิบวันกว่าจะถึงพิธีแต่งตั้ง วันพรุ่งนี้พวกนางก็จะย้ายเข้าวังหลวง นางไม่ยุ่งก็น่าแปลก และหลังจากนั้นนางย่อมต้องยุ่งวุ่นวายอย่างยิ่ง หลังจากย้ายเข้ามาในวังหลวงแล้ว ไม่เพียงต้องจัดการคนเข้าพักให้ดี ยังต้องจัดการเก็บของที่ควรเก็บ ควรเอาออก ควรนำเข้าคลังเก็บแยกแยะจัดการให้เรียบร้อย 

 

 

อีกทั้งตอนนี้คนและม้าในจวนตวนชินอ๋องก็ไม่อาจพามาหมดได้ คนที่พามานั้นล้วนเป็นคนสนิทหรือคนสำคัญเท่านั้น ส่วนคนที่ไม่เคยสำคัญก่อนหน้านี้ มีบ้างที่เข้ามาเป็นนางกำนัล หรือว่ารั้งเอาไว้ให้อยู่ดูแลจวน 

 

 

คนในเรือนเฉินเซียงที่ตามถาวจวินหลันมานั้นมากกว่าภรรยารองคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็เป็นถึงพระชายาองค์รัชทายาท จำนวนนางกำนัลของถาวจวินหลันย่อมต้องมากกว่า ไม่ต้องกังวลว่าจะจัดการได้ไม่หมด 

 

 

แม้แต่คนข้างกายซวนเอ๋อร์กับหมิงจู ถาวจวินหลันเองก็ให้ตามเข้าวังหลวงมาด้วย เด็กยังเล็กเกินไป หากเปลี่ยนคนก็คงจะไม่คุ้นชินเท่าไร ดังนั้นจึงเลือกที่จะไม่เปลี่ยน ไม่เพียงแค่ซวนเอ๋อร์กับหมิงจู กั่วเจี่ยเอ๋อร์ก็เช่นกัน 

 

 

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น หน้าประตูจวนตวนชินอ๋องก็มีขบวนรถม้ายิ่งใหญ่ปรากฏขึ้น ในนั้นมีทั้งของย้าย มีคนนั่ง เสียงดังอึกทึกวุ่นวาย 

 

 

ถาวจวินหลันกับหลี่เย่ฟังเสียงความเคลื่อนไหวด้านนอก อดไม่ได้ที่จะสบตาหัวเราะออกมา หลี่เย่เอื้อมมือไปจับมือของถาวจวินหลันเอาไว้ พูดเสียงเบาว่า “พวกเราต้องเข้าวังอีกแล้ว ตอนที่ข้ายังเป็นองค์ชายก็รอคอยวันได้ออกมาสูดอากาศนอกวัง แต่ตอนนี้กลับรอคอยเข้าวังอย่างใจจดใจจ่อ เจ้าว่าน่าขันหรือไม่?” 

 

 

ถาวจวินหลันเข้าใจคำทอดถอนของหลี่เย่ จึงหัวเราะเสียงเบาพูดว่า “ตอนแรกที่ออกจากวัง และตอนนี้ที่จะเข้าไป พวกเราอยู่ในฐานะที่แตกต่างกัน ตอนนั้นท่านไม่มีอิสระ ตัดสินใจเองไม่ได้ แต่วันนี้ทุกอย่างกลับอยู่ในกำมือของท่านแล้วเพคะ” 

 

 

พูดง่ายๆ ก็คือพวกเขาเป็นผู้ชนะ ยังต้องทอดถอนใจไปทำไม? 

 

 

“วันที่ออกจากวังไม่ได้มีคนยืนข้างกาย อ้างว้างมากเหลือเกิน” หลี่เย่ทอดมองถนนที่คุ้นตาด้านนอก “ตอนนั้นข้าคิดว่าหากต้องแลกกับการไม่ออกจากวังเพื่อให้เจ้าอยู่ข้างกายข้าต่อไป ข้าก็ยินยอม” 

 

 

หลี่เย่พูดแสดงให้เห็นถึงความรักอันลึกซึ้งที่มีต่อนาง 

 

 

ถาวจวินหลันรู้สึกผิดเล็กน้อย “ตอนนั้นหม่อมฉันกลับเสียเวลาแก้ปัญหาที่แก้ไม่ได้” ใช่แล้ว หากอยู่ด้วยกันตั้งแต่แรกจะลดอุปสรรคขวากหนามไปได้มากเพียงใด? แต่ถ้าจะบอกว่าเสียดาย ก็ไม่ถึงขนาดนั้น นางในตอนนั้นคิดเช่นนั้นจริง และความเป็นจริงก็ได้พิสูจน์แล้วว่าความใส่ใจของนางในตอนนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้อง 

 

 

ไม่มีผู้หญิงคนไหนยินยอมเห็นสามีของตนไปใกล้ชิด หรือพูดคำหวานป้อนคำยอกับผู้หญิงอื่น 

 

 

“หากหลังจากนี้ไทเฮาพูดเรื่องเลือกคนใหม่เข้ามาอีก ท่านจะทำเช่นไรเพคะ?” พูดถึงเรื่องนี้ ถาวจวินหลันก็เอ่ยถามอย่างทนไม่ไหว ด้วยน้ำเสียงจงใจให้ผ่อนคลาย 

 

 

แน่นอนว่านางเฝ้ารอคำตอบยิ่ง แม้แต่ฝ่ามือก็เริ่มเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ แผ่นหลังเองก็ยืดตรงขึ้นมา 

 

 

หลี่เย่เหลือบมองถาวจวินหลันทีหนึ่ง แต่เดิมคิดจะพูดเย้าเล็กน้อย แต่พอมองท่าทีตื่นเต้นของถาวจวินหลันก็ทำใจไม่ลง พูดรับประกันอย่างจริงจัง “ย่อมต้องปฏิเสธ ตอนแรกเพราะข้าไม่มีทางเลือก แต่ตอนนี้ข้าตัดสินใจด้วยตัวเองได้แล้ว อยากให้เป็นอย่างไรย่อมทำได้ทั้งสิ้น ข้าไม่ได้มัวเมาในเรื่องสตรี และไม่ชื่นชอบของสดใหม่ เจ้าวางใจได้ จากนี้ไม่มีคนอื่นเพิ่มขึ้นเป็นแน่” 

 

 

ประโยคสุดท้ายนั้นเป็นการรับประกันอย่างจริงจัง 

 

 

ถาวจวินหลันอึ้งไป คิดได้ในทันใดว่าหลี่เย่คงจะเข้าใจความคิดของนาง จึงรู้สึกละอายใจขึ้นมาน้อยๆ แต่ถ้าจะบอกว่าไม่กล้าขยับก็ถือว่าลืมตาพูดคำโกหก แต่ยิ่งซาบซึ้งมากเท่าไรนางก็ยิ่งอยากถามต่อ “แต่ถ้าปฏิเสธไทเฮา แล้วคนอื่นเล่าเพคะ? ก่อนหน้านี้เพราะจนปัญญา แต่หลังจากนี้ใช่ว่าจะไม่มี ถึงเวลานั้นจะทำอย่างไรเพคะ?” 

 

 

แน่นอนว่าหลี่เย่เข้าใจความหมายที่ถาวจวินหลันพูดว่าหลังจากนี้ใช่ว่าจะไม่มี เป็นฮ่องเต้ใช่ว่าจะสามารถทำตามใจชอบได้เสมอไป แม้กระทั่งบางครั้งเพื่อความสมดุลของผลประโยชน์ และดุลอำนาจ ก็ยิ่งทำให้คนรู้สึกปวดหัวและลำบากใจมากขึ้นเท่านั้น 

 

 

“เกาจู่ฮ่องเต้ยังมีฮองเฮาคนเดียวได้ ทำไมข้าถึงทำไม่ได้?” สุดท้ายหลี่เย่ก็พูดออกมาเช่นนี้ “เกาจู่ฮ่องเต้ถือเป็นคนแรก ความกดดันที่ได้รับย่อมต้องมากที่สุด แต่อย่างน้อยข้าก็ยังมีต้นแบบให้ดู” 

 

 

 เงียบไปครู่หนึ่ง หลี่เย่ก็ส่งเสียงฮึดฮัดพลางพูดว่า “อีกอย่าง ตั้งแต่โบราณอำนาจไม่ใช่สิ่งที่อยู่ได้เพราะสตรี หากข้าจัดการจับพวกเขาเอาไว้ได้ ไฉนเลยจะต้องแต่งงานเพื่อผลประโยชน์ด้วย?” คำพูดนี้ของหลี่เย่เป็นการดูถูกฮ่องเต้ที่แต่งงานเพียงเพื่อผลประโยชน์เหล่านั้น 

 

 

ถาวจวินหลันไม่รู้ว่าจะต้องตอบกลับอย่างไร ไม่ว่าหลังจากนี้จะทำได้หรือไม่ เพียงแค่หลี่เย่คิดเช่นนี้ก็ให้นางพอใจอย่างไม่มีที่เปรียบแล้ว นางหัวเราะ พลางจับมือของหลี่เย่เอาไว้เบาๆ “หากไม่มี หม่อมฉันย่อมดีใจ แต่ถ้าถึงเวลาหมดทางเลือก ก็ไม่จำเป็นต้องฝืนหรือเสียสละนะเพคะ ขอแค่พวกเราเป็นเช่นนี้ได้ทั้งชีวิตหม่อมฉันก็สมปรารถนาแล้วเพคะ หม่อมฉันไม่กล้าคาดหวังว่าจะโชคดีเหมือนเกาจู่ฮ่องเต้และฮองเฮา แต่หม่อมฉันคิดว่าหม่อมฉันโชคดีกว่าสตรีคนอื่นมากแล้วเพคะ” โดยเฉพาะผู้หญิงในวังหลวง  

 

 

ทั้งสองคนพูดคุยกัน รถม้าก็เดินทางมาถึงหน้าประตูวัง วิ่งตรงไปยังวังตวนเปิ่น 

 

 

ถาวจวินหลันไม่เคยไปดูวังตวนเปิ่นมาก่อน เพียงแค่ดูแผนที่ แต่นางก็ไม่เคยคิดว่าวังตวนเปิ่นจะสวยงามวิจิตรเพียงใด ความเป็นจริงแล้ววังที่ไม่มีคนอาศัยมานาน แม้ว่าจะเก็บกวาดอย่างดี แต่ก็ไม่อาจสดใส มีชีวิตชีวาได้เหมือนวังสร้างใหม่ หรือมีคนอาศัยอยู่ตลอดเวลา 

 

 

สำหรับวังตวนเปิ่นนั้น นางคิดว่าขอแค่พออยู่อาศัยได้ก็พอแล้ว เพียงไม่แย่กว่าวังเต๋ออันในตอนนั้นก็พอแล้ว 

 

 

แต่เห็นได้ชัดว่านางคิดน้อยเกินไป ตอนที่เห็นหน้าตาของวังตวนเปิ่น นางก็อดส่งเสียงเบาๆ ไม่ได้ “เป็นวังที่สง่างามเหลือเกิน” 

 

 

ใช่แล้ว สง่างามมากยิ่ง เมื่อเทียบกับวังอื่นที่โอ่อ่าสวยงาม หรือว่าประณีต วังตวนเปิ่นนั้นเหมือนกับหินสลักโบราณที่แข็งกร้าว แม้จะเรียบง่ายแต่ก็มีความสง่างามและบรรยากาศต่างกัน 

 

 

เพดานของวังตวนเปิ่นดูแล้วเหมือนจะสูงกว่าที่อื่นอยู่เล็กน้อย และการจัดวางก็ดูยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม พื้นที่ของวังตวนเปิ่นนั้นกว้างใหญ่เป็นยิ่ง มากพอรับรองครอบครัวใหญ่ได้เลยทีเดียว 

 

 

วังตวนเปิ่นยังมีสวนดอกไม้ในตัว แม้เทียบไม่ได้กับในจวนตวนชินอ๋อง แต่เมื่อเทียบกับวังอื่นก็ดีกว่ามากนัก 

 

 

“ที่จริงแล้ววังตวนเปิ่นเป็นวังที่เกาจู่ฮ่องเต้สร้างให้ลูกชายคนโต แต่หลังจากนั้นลูกชายคนโตของเขากลับตายในสนามรบ เกาจู่ฮ่องเต้ไม่อนุญาตให้คนอื่นเข้ามาอาศัย จึงทิ้งเอาไว้นานหลายปี” หลี่เย่มองท่าทีอึ้งตะลึงของถาวจวินหลัน ก็ยิ้มพลางเอ่ยอธิบาย “ตอนนั้นเกาจู่ฮ่องเต้ฝากความหวังเอาไว้ที่ลูกชายคนโตมากนัก แค่ดูจากวังตวนเปิ่นก็เข้าใจได้” 

 

 

ถาวจวินหลันพยักหน้าอย่างอดไม่ได้ พูดความจริงแล้ว หากวังตวนเปิ่นไม่ได้ถูกปล่อยร้างหลายปี เช่นนั้นตอนนี้จะต้องดีกว่าวังองค์รัชทายาทอยู่มากนัก 

 

 

อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง เพียงแค่ความสง่างามนี้ ที่อื่นก็ไม่สามารถเทียบได้แล้ว มิน่าเล่าไทเฮาถึงได้เสนอให้พวกเขาเลือกวังตวนเปิ่น วังตวนเปิ่นนั้นไม่ได้กลบฐานะของหลี่เย่เลยแม้แต่น้อย ไม่ได้แย่ไปกว่าวังองค์รัชทายาทเท่าไรนัก 

 

 

“ถ้าเช่นนั้นพวกเราจะเปลี่ยนชื่อหรือไม่เพคะ?” ถาวจวินหลันถอนสายตา ถามหลี่เย่เสียงเบา 

 

 

หลี่เย่ส่ายหน้า “เรียกวังตวนเปิ่นเถิด แต่วังองค์รัชทายาทไม่เหมาะให้คนอื่นอาศัยอยู่ต่อไปแล้ว” 

 

 

ถาวจวินหลันนิ่งไป จากนั้นก็อดหัวเราะไม่ได้ “พระองค์คิดเหมือนไทเฮาเลยเพคะ แต่นั่นก็ถูก ในเมื่อนี่คือที่ของพวกเรา แม้ว่าจะไม่ได้อาศัยอยู่เอง แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่คนอื่นจะต้องเข้ามาอาศัย ภายในวังมีที่อยู่อาศัยมากมาย เลือกสักที่ให้สตรีขององค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋ออยู่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเพคะ” 

 

 

หลังจากทั้งสองคนเห็นตรงกัน ถาวจวินหลันก็ปรึกษากับหลี่เย่ต่อว่า “พวกเราอาศัยตำหนักใหญ่ แล้วที่อื่นจะจัดการอย่างไร ให้พวกเขาเลือกเองหรือว่าอย่างไรดีเพคะ?” 

 

 

หลี่เย่ไม่มีความคิดเห็นต่อสิ่งนี้ เพียงแค่สะบัดมือพูดว่า “ไม่ต้องให้พวกนางอยู่ใกล้เกินไป เห็นหน้าแล้วรำคาญใจนัก เจ้าตัดสินเอาเองเถิด ข้าไม่สนใจเรื่องเหล่านี้” 

 

 

ถาวจวินหลันยิ้มพลางส่ายหน้า จากนั้นก็สั่งหงหลัว “เจ้าจัดการตามที่บอกก่อนหน้านี้ ให้พวกเขาไปดูห้องตนเองกันก่อนเถิด ตอนนี้ไม่อาจจะเทียบกับนอกวังได้ อย่างไรที่ทางก็คับแคบไปบ้าง ให้ทุกคนทนกันไปก่อนเถิด” 

 

 

ที่จริงวังตวนเปิ่นนั้นถือว่าใหญ่ นอกจากตำหนักใหญ่แล้ว ก็ยังมีตำหนักรอง แต่จากกฎภายในวัง ถาวจือกับจิ้งหลิงย่อมไม่มีคุณสมบัติครอบครองสถานที่ส่วนตัวแยกออกไป 

 

 

จิ้งหลิงยังดี อย่างไรก็ยังมีกั่วเจี่ยเอ๋อร์อยู่ข้างกาย ไม่ได้ถือว่าแย่มากนัก สำหรับถาวจือถาวจวินหลันให้คนจัดการไปไว้ที่วังของกู่อวี้จือ ถึงเวลากู่อวี้จืออาศัยห้องหลักสามห้อง และด้านนอกมีห้องข้างอีกสองห้อง ถาวจือก็ไปอาศัยอยู่ห้องถัดไป ขนาดก็พอๆ กับสามห้องแล้ว 

 

 

แน่นอนว่าการจัดการเช่นนี้ย่อมมีความหมายแฝง 

 

 

พอสั่งไปจนพอประมาณแล้ว ถาวจวินหลันกับหลี่เย่ถึงได้พาเด็กๆ มาทำความเคารพไทเฮา กั่วเจี่ยเอ๋อร์ยังคงเป็นคนแรกที่วิ่งไปเบื้องหน้าไทเฮา 

 

 

แน่นอนว่าหลังจากทำความเคารพไทเฮาแล้ว ก็ยังต้องไปทำความเคารพฮ่องเต้และฮองเฮา 

 

 

ถ้าไม่ผิดพลาดอะไร หลังจากนี้ทุกวันถาวจวินหลันจะต้องมาทำความเคารพไทเฮาและฮองเฮา ความจริงแล้วสตรีในวังหลวงไม่ได้มีเรื่องอะไรให้ทำมากนัก นอกจากทำความเคารพแล้วเรื่องที่ต้องทำก็ไม่ได้เยอะ อย่างน้อยก่อนหน้านี้ในจวนตวนชินอ๋องยังมีที่ดิน ร้านค้าต้องคอยดูแล คิดบัญชีต่างๆ นานา แต่หลังจากนี้เห็นชัดว่าไม่ต้องทำเรื่องเหล่านี้อีกแล้ว 

 

 

จะทำอีกก็ต้องรอให้เป็นฮองเฮา หรือว่ารับเรื่องนี้มาทำอย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรมเสียก่อน แต่ถาวจวินหลันคิดว่าจะต้องรออีกสักระยะหนึ่งถึงจะสมหวัง ก่อนหน้านั้นนางยังมีเวลาว่าง ดังนั้นทางที่ดีคือจะต้องฉวยเวลาตอนนี้คุ้นชินกับวังหลวงเสียก่อน