เล่มที่ 17 ตอนที่ 10

Memorize

เมื่อเทียบกับสิ่งที่ผมตั้งใจเตรียมมาพูด คิดแล้วคิดอีก นั่นช่างเป็นคำตอบที่ง่ายเสียเหลือเกิน เมื่อผมกำลังตกอยู่ในห้วงความคิดว่าผมควรต้องดีใจ หรือรู้สึกแปลกดี เสียงเรียบนิ่งของเซราฟก็ดังก้องห้องอัญเชิญ 

 

 

“ผู้เล่นคิมซูฮยอน ดูเหมือนว่าท่านกำลังเข้าใจอะไรผิดไปนะคะ หากท่านต้องการ ข้าก็อยากขอให้ท่านให้โอกาสข้าได้แก้ไขความเข้าใจผิดสักนิด” 

 

 

“ว่ามาสิ” 

 

 

“ก่อนอื่น ข้ายอมรับว่ามีความพยายามจะเลือกอันซลให้เป็นผู้พิทักษ์คนใหม่ของทวีปทางเหนือจริงค่ะ แต่นั่นเป็นเพียงแค่ขั้นแรกเท่านั้น การเลือกผู้พิทักษ์แห่งทวีปทางเหนือนั้น จะต้องผ่านการพิจารณาอย่างเคร่งครัดเที่ยงธรรมอย่างที่สุดเป็นเวลานานค่ะ แม้เราจะให้การยินยอมเป็นร้อยครั้งและเสนอชื่อเธอเป็นผู้สืบทอดตำแหน่ง แต่ในขั้นตอนการคัดเลือกผู้พิทักษ์ ก็ไม่ได้รับง่ายๆ หรอกค่ะ” 

 

 

“อะไรกัน ถ้าอย่างนั้นฉันจะทำยังไงกับการกระทำของอีฮโยอึลดีล่ะ” 

 

 

“เรื่องนั้น…อืม? ท่านกาเบรียล?” 

 

 

หล่อนไม่ได้เรียกผม ดูเหมือนหล่อนจะสนทนากับทูตสวรรค์ท่านอื่นมากกว่า ผมสงสัยว่าจะเป็นการสนทนาแบบใดเพราะได้ยินเพียงเสียงงึมงำ และเสียงพูดที่ยากนักที่จะได้ยิน 

 

 

การสนทนานั้นไม่ได้กินเวลานานนัก เซราฟพูดเพียงแค่ “ค่ะ”, “ค่ะ”, “เข้าใจแล้วค่ะ”, “ขอโทษนะคะแต่ข้าไม่ชอบแบบนั้น” จากนั้นหล่อนก็ถอนหายใจก่อนจะพูดขึ้น 

 

 

“ขอโทษด้วยนะคะ เพราะเป็นการพูดคุยอย่างกะทันหัน…” 

 

 

“ไม่เป็นไร ว่าแต่มีเรื่องอะไรกันล่ะ” 

 

 

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ อย่างไรก็ตาม ข้าจะตอบท่าน ผู้เล่นอีฮโยอึลทำหน้าที่ผู้พิทักษ์ติดต่อกันมาเจ็ดปีแล้วค่ะ” 

 

 

ผมสัมผัสได้ว่าหล่อนตั้งใจเปลี่ยนเรื่องกะทันหัน แต่ก็ไม่ได้ขัดเคืองแต่อย่างใดเพราะหล่อนพูดเข้าประเด็นแล้ว ผมตั้งใจฟังที่หล่อนพูดอยู่เงียบๆ 

 

 

“แต่เธอได้บอกความต้องการของเธอที่จะลาออกจากตำแหน่งเมื่อสามปีที่แล้ว และเมื่อสองปีก่อน…เพราะแบบนั้น หลังจากที่เข้าเป็นสมาชิกของเผ่าแฮมิลแล้ว เธอจึงเรียกร้องมากขึ้นน่ะค่ะ จากความคิดข้า ข้าว่าบางทีผู้เล่นอีฮโยอึลอาจจะเหนื่อยล้าเต็มทีแล้วก็เป็นได้นะคะ เพราะอย่างนั้นเธอจึงได้รีบร้อนที่จะทำมันน่ะค่ะ” 

 

 

“…” 

 

 

“แน่นอนว่ามันยากที่จะมองว่าไม่ใช่ความผิดของผู้เล่นอีฮโยอึลนะคะ แต่ขั้นตอนการส่งมอบตำแหน่งผู้พิทักษ์ทวีปทางเหนือก็ไม่ใช่สิ่งที่จะสำเร็จได้ด้วยการปรึกษาหารือของคนสองคนหรอกค่ะ บางทีเธออาจจะไม่ได้บอกความจริงข้อนี้ใช่หรือเปล่าคะ” 

 

 

ใช่แล้ว หรือนี่คือสิ่งที่เธอพยายามจะบอกผมในตอนนั้น 

 

 

อยู่ๆ ผมก็นึกถึงที่อีฮโยอึลพูดกับผมที่ห้องทำงานขึ้นมา และผมก็จงใจพูดตัดบทหล่อน 

 

 

“ใช่ ฉันเข้าใจที่เธอพูด ถ้าอย่างนั้นนั่นหมายความว่าเธอจะไม่แตะต้องอันซลอีกใช่ไหม” 

 

 

“ท่านกาเบรียลอนุญาตให้ข้าบอกข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับกรณีนี้ได้ค่ะ สำหรับในขอบเขตที่ข้าได้รับอนุญาตให้พูดได้นั้น คำตอบคือ ‘เยส(Yes)’ ค่ะ ความสามารถในการเป็นผู้พิทักษ์ของผู้เล่นอันซลนั้น มีมากพอที่จะจัดให้เธอเป็นท็อปคลาสจากทุกรุ่นที่ผ่านมาได้เลยค่ะ เพราะแบบนั้นเหล่าทูตสวรรค์จึงได้เห็นชอบให้เสนอชื่อเธอเป็นผู้สืบทอดจากความสามารถของเธอค่ะ ส่วนจำนวนก็ประมาณครึ่งหนึ่งจากทั้งหมดได้ค่ะ” 

 

 

ความสามารถในการเป็นผู้พิทักษ์ของหล่อนอยู่ในระดับท็อปคลาส? จากทุกรุ่นที่ผ่านมา? ผมตกใจมากเพราะไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าจะมากถึงเพียงนี้ 

 

 

“แต่ถ้าจะพูดในทางตรงกันข้าม ก็ยังมีคนที่ไม่เห็นด้วยกับการเสนอชื่อผู้เล่นอันซลอยู่อีกครึ่งหนึ่ง และหนึ่งในครึ่งนั้น ก็มีข้ารวมอยู่ด้วยเช่นกันค่ะ” 

 

 

“จริงเหรอ ถ้าอย่างนั้นเธอบอกเหตุผลฉันหน่อยได้ไหมล่ะ” 

 

 

“ด้วยความคิดเห็นส่วนตัวของข้า ข้ายอมรับความสามารถของเธอในฐานะผู้พิทักษ์อย่างแน่นอนค่ะ แต่ผู้เล่นอันซลนั้น มีนิสัยที่ไม่เหมาะกับการเป็นผู้พิทักษ์อย่างยิ่งค่ะ ถ้าหากเธอได้เป็นผู้พิทักษ์ด้วยลักษณะเช่นนี้…”  

 

 

ผมคิดว่าเซราฟมองหน้าผมอยู่สักพัก แล้วจึงบ่นพึมพำออกมาด้วยเสียงเบาๆ 

 

 

“ทวีปทางเหนืออาจจะถูกผลักให้ตกอยู่ในความวุ่นวาย มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นเช่นนั้นนะคะ” 

 

 

แม้เซราฟจะดูจริงจังจากลักษณะน้ำเสียงที่ตึงเครียดอย่างมาก แต่ผมกลับต้องใช้แรงอย่างมากเพื่อสะกดกลั้นไม่ให้ตนเองระเบิดรอยยิ้มออกมา เอาเถอะ ผมว่าคงไม่เป็นไรหากผมจะจบธุระเรื่องอันซลลงเพียงเท่านี้ 

 

 

ผมทำตามที่ตั้งใจไว้สำเร็จแล้ว ทันทีที่ผมลุกขึ้นเมื่อคิดได้ว่าจะกลับแล้ว เซราฟก็พูดขึ้นต่อหน้าผม 

 

 

“จะไป…แล้วหรือคะ” 

 

 

“อืม ก็ในเมื่อได้คำตอบที่ชัดเจนแล้วนี่” 

 

 

ผมตอบไปแบบลวกๆ และหมุนตัวกลับ แต่แล้วจู่ๆ ก็มีความคิดหนึ่งวิ่งผ่านเข้ามาในหัวไวปานความความเร็วแสง 

 

 

ผมปัดกางเกงนิ่งๆ พร้อมพูดขึ้นมาลอยๆ 

 

 

“เธอบอกว่าความสามารถของอันซลเป็นเรื่องดี นั่นไม่ใช่ว่าหากอันซลจะเปลี่ยนนิสัยหลังจากได้ตำแหน่งหรอกเหรอ” 

 

 

“โน(No) เรื่องนั้นอยู่นอกประเด็นค่ะ ในตอนนี้มันยากที่จะเอาชนะ…อ้า” 

 

 

และในตอนนั้นเอง จู่ๆ เซราฟก็หยุดพูดไปทั้งอย่างนั้น เธอยกนิ้วสวยขึ้นจรดริมฝีปาก แล้วจ้องมองผมเขม็ง 

 

 

 

 

 

ท้องฟ้าเริ่มมืดลงทุกที ราตรีอันมืดมิดค่อยๆ คืบคลานเข้ามา ผมมองขึ้นไปบนฟ้า มองดูยามอัสดงสีดำสนิทปกคลุมสวน เห็นดวงจันทร์ส่องแสงนวลอยู่ท่ามกลางฟ้ายามราตรี 

 

 

ผมไตร่ตรองถึงการสนทนาของผมกับเซราฟเมื่อไม่กี่วันก่อนขณะที่เหม่อมองไปยังดวงจันทร์  

 

 

‘ขอโทษนะคะ แต่ข้าไม่มีสิทธิพูดถึงส่วนนั้นได้ค่ะ’ 

 

 

‘ทูตสวรรค์ประจำตัวของผู้เล่นอันซลก็กำลังคัดค้านอย่างถึงที่สุดค่ะ ถึงแม้ผู้เล่นคิมซูฮยอนจะแสดงออกว่าเต็มใจช่วยอย่างเต็มที่ในฐานะแคลนลอร์ดแห่งเมอร์เซนต์นารี่ แต่ท่านก็ยังดื้อรั้นเพราะเหตุผลบางประการ’ 

 

 

‘วิธีรักษา…’ 

 

 

‘พวกเราเป็นเพียงแค่ผู้ช่วยเท่านั้น ไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายในส่วนนั้นเป็นการส่วนตัวได้หรอกนะคะ’ 

 

 

‘ถ้าหากอาการนั้นมาจากกระบวนการในฮอลล์เพลน ก็มีวิธีที่จะรักษาอยู่นะคะ แต่อาการนั้นเธอมีมาตั้งแต่ก่อนที่จะเข้าไปยังฮอลล์เพลนค่ะ ข้าไม่แน่ใจว่าท่านรู้หรือไม่ แต่การสัมผัสสติของมนุษย์เป็นเวทระดับสูงทีเดียวนะคะ ในตอนนี้ไม่ว่าอย่างไร…’ 

 

 

‘ข้าต้องขอโทษท่านด้วยที่ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย แต่ข้าอยากจะขอให้ท่านช่วยเข้าใจสถานการณ์ของเราด้วยนะคะ’  

 

 

ผมคิดว่าบางทีผมอาจจะสามารถหาวิธีรักษาสภาพจิตใจของอันซลได้ เป็นอย่างที่คิด เซราฟไม่ใช่คนที่จะจนมุมง่ายๆ 

 

 

ตอนนี้ผมประสบความสำเร็จในการดูแลอันซลแล้ว แต่นี่ยังไม่ใช่ตอนจบ ถ้ายังเป็นเช่นนี้ ยิ่งเวลาผ่านไปเท่าไร ความเป็นไปได้ที่หล่อนจะถูกซ่อนก็ยิ่งมีมากขึ้น ไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องนักบวชแห่งความรุ่งโรจน์เลย 

 

 

นี่เป็นปัญหาที่สำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งไม่ใช่ปัญหาที่ฮอลล์เพลนคุ้นเคย ผมไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ในรอบแรก จนทำให้สภาพจิตใจของอันซลเปลี่ยนไป แต่อย่างไรเสีย สิ่งสำคัญในตอนนี้ก็คือ ถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนแล้ว 

 

 

“พี่! พี่!” 

 

 

ในตอนนั้นเองขณะที่ผมกำลังคิดหาวิธีซ่อมแซมจิตใจของอันซลอยู่นั้น ผมก็ได้ยินเสียงหนึ่งเรียกผมอย่างตื่นตระหนก เมื่อผมหันไปทางต้นเสียงนั้น ผมก็เห็นใบหน้าที่แดงก่ำของอันฮยอน 

 

 

“พี่ มาทำอะไรอยู่ที่นี่คนเดียวครับ ผมเตรียมปาร์ตี้เสร็จหมดแล้วนะครับ! ตอนนี้ทุกคนกำลังรอพี่อยู่คนเดียวเลยครับ! พี่ยอนจูบอกให้ผมรีบมาพาพี่ไปโดย~เร็วเลยครับ” 

 

 

“แล้วนี่ทำไมต้องตื่นเต้นขนาดนี้ด้วย” 

 

 

“ก็เราไม่ได้จัดปาร์ตี้มานานมากแล้วนี่ครับ! ปาร์ตี้! ปาร์ตี้! แม้แต่การปิดงบอุปกรณ์ก็ด้วย! ยะฮู้~ รีบไปเร็วครับ พี่!” 

 

 

“เจ้าเด็กนี่ เข้าใจแล้ว ไปกันเถอะ แล้วก็ไม่ใช่ปาร์ตี้แต่เป็นการรวมตัวเพื่อความสามัคคีต่างหากเล่า” 

 

 

อันฮยอนลากผมไปพร้อมรอยยิ้มแป้นแล้นบนใบหน้าราวกับจะบอกว่า ‘จะอะไรก็ดีหมดนั่นแหละ’ เขาฮัมเพลงออกมาในบางที ดูจะสนุกอยู่ไม่น้อยเลยนะ ผมแสร้งหัวเราะออกมาแล้วพูดขึ้น 

 

 

“มันดีขนาดนั้นเลยเหรอ” 

 

 

“เพราะงานถูกจัดขึ้นในสวน ก็เลยรู้สึกแตกต่างนิดหน่อยน่ะครับ และเพราะวันนี้พี่อนุญาตให้ดื่มได้…” 

 

 

“สุดท้ายก็หวังเหล้า” 

 

 

“โธ่ พี่ นานๆ ทีนี่ครับ อีกอย่างพี่บอกว่าผมจะได้ดื่มกับพี่หลังจากไม่ได้ดื่มมาตั้งนาน ผมก็เลยอารมณ์ดีแบบนั้น พี่เองก็จะดื่มกับผมด้วยใช่ไหมล่ะ” 

 

 

“พอมาคิดดูแล้ว พี่เองก็นึกถึงตอนที่ดื่มกันสี่คนที่สถาบันขึ้นมาเลยนะ ใช่ มันดีเลยล่ะ ดื่มสักหน่อยหลังจากไม่ได้ดื่มมานานก็ไม่เลวเหมือนกันนะ” 

 

 

ผมตั้งใจละคำว่า ‘แค่เราสองคน’ ออกไป ทันทีที่ผมตามน้ำ อันฮยอนก็ยิ่งเร่งฝีเท้าและยิ่งฮัมเพลงอย่างสนุกสนานมากขึ้นกว่าเดิม ผมเดินตามเขาไปพร้อมกับค่อยๆ เรียบเรียงความคิดตนเอง 

 

 

ปัญหาของอันซลไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถแก้ได้โดยทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับจิตใจ ในตอนนี้คงจะดีกว่าหากผมจะใช้เวลาค่อยๆ คิดหาทางแก้ต่อไป ถ้าเช่นนั้น ก่อนอื่นผมจำเป็นจะต้องหาตื้นลึกหนาบางที่ทำให้อันซลกลายเป็นแบบนี้เสียก่อน และเพื่อให้ได้รู้ ก็เหลือแค่วิธีเดียว นั่นคือการทำให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเปิดปากออกมาด้วยตัวเอง 

 

 

แน่นอน ผมไม่คิดจะถามผู้ที่เกี่ยวข้องออกไปตรง ๆ หรอก เพราะวิธีนั้นล้มเหลวไปหลายครั้งแล้ว 

 

 

ดังนั้นเพื่อค้นหาเบื้องหลังของอันซล ผมจึงเริ่มจากการสืบจากอันฮยอนก่อนเป็นเป้าหมายแรก เพราะเป็นพี่น้องกัน เขาอาจจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นโดยละเอียดก็ได้ และเพราะผมเชื่อว่าอันฮยอนมีแนวโน้มว่าจะยอมพูดออกมามากกว่าหล่อน 

 

 

“เรามาแล้วครับ!” 

 

 

ในตอนนั้น ผมได้รู้ว่าเรามาถึงแล้วเมื่อตอนที่อันฮยอนโบกมืออย่างแรงและตะโกนออกมาเสียงดัง ผมมองดูแผ่นหลังของอันฮยอนนิ่งๆ 

 

 

เป็นอย่างที่อันฮยอนพูด การเตรียมปาร์ตี้ ไม่สิ การรวมตัวนั้น ทุกอย่างเสร็จสิ้นหมดแล้ว ทุกคนกำลังรอผมอยู่ ผมมองเห็นทุกคนกำลังชะเง้อคอยาว และดูดีใจกันอย่างมาก 

 

 

และทันทีที่ผมเดินเข้าไปที่ที่ทุกคนรวมตัวกันอยู่ จองฮายอนก็ส่งแก้วไวน์มาให้ผมเงียบๆ แก้วเป็นทรงครึ่งวงกลม ถูกเติมด้วยของเหลวใสสีฟ้าครามประมาณหนึ่งในสาม ผมสามารถแยกประเภทมันได้ในทันที 

 

 

ของเหลวสีฟ้าครามนี้มีชื่อว่า ‘น้ำตานางเงือก’ เป็นเครื่องดื่มชั้นสูงที่มีรสซ่าอ่อนๆ และความหอมวานซึมซาบไปทั้งลิ้น นอกจากนั้นชื่อของมันยังมีความหมายว่า ‘ความรุ่งเรื่อง, เกียรติยศ และการพัฒนาที่ไม่สิ้นสุด’ อีกด้วย 

 

 

การเตรียมพร้อมเสร็จสิ้นทั้งหมดแล้ว ผมไม่สามารถเมินเฉยต่อสายตาอันร้อนแรงของเหล่าสมาชิกเผ่าที่จ้องผมมาตั้งแต่เมื่อครู่ได้อีกต่อไปแล้ว จึงเริ่มพูดออกมาช้าๆ 

 

 

“ในทีแรก ผมตั้งใจว่าจะพูดให้ยาวสักหน่อยก่อนจะเริ่มงาน แต่ก็ไม่สามารถทนต่อสายตาของทุกคนได้อีกต่อไปแล้วละครับ ดังนั้นผมขอพูดสั้นๆ เท่านั้น” 

 

 

ผมเพียงแค่พูดเล่นเท่านั้น แต่กลับเห็นเหล่าสมาชิกรู้สึกโล่งใจกันเสียถ้วนหน้า สีหน้าโล่งใจอย่างสุดซึ้งปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพวกเขา ผมจึงพูดต่อทั้งที่รู้สึกไม่เต็มใจนัก 

 

 

“แม้จะเป็นเผ่าที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นได้ไม่ถึงหนึ่งปี แต่ก็มีเหตุการณ์สำคัญมากมายเกิดขึ้น ถ้าให้พูดก็คงพูดได้ไม่มีวันจบ และมันก็เป็นความจริงที่ว่าผมมัวแต่ยุ่งอยู่กับงานภายนอกจนละเลยงานภายในเผ่า นี่จึงเป็นงานพิเศษที่จัดเตรียมขึ้นเพื่อทุกคนโดยคำแนะนำของผู้เล่นจองฮายอน ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ผมจะบอกกับทุกคน ในเวลานี้ โปรดวางสิ่งยุ่งเหยิงวุ่นวายทั้งหมดลงก่อน หวังเพียงให้ทุกคนได้สนุกกับงานรวมตัวในครั้งนี้ ได้ดื่มและทานทุกอย่างตามที่ใจต้องการ เท่านี้ครับ” 

 

 

หลังจากกล่าวจบ ผมก็ยกแก้วไวน์ที่ถือไว้ขึ้นสูง และตะโกนเปิดงานด้วยเสียงที่แข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านั้น 

 

 

“เพื่อเมอร์เซนต์นารี่!” 

 

 

“เพื่อเมอร์เซนต์นารี่!” 

 

 

สมาชิกทุกคนต่างชูแก้วขึ้นแล้วตะโกนออกมาเป็นเสียงเดียวกัน ราวกับรอคอยคำนี้มาแสนนาน และเมื่อผมจรดแก้วที่ริมฝีปาก เหล่าสมาชิกเผ่าก็เริ่มดื่มน้ำตานางเงือกไปพร้อมๆ กัน 

 

 

หืม?