บทที่ 522 เจ้าทำได้ดีมาก

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 522 เจ้าทำได้ดีมาก

คิดมาถึงตรงนี้ ใบหน้าที่อ้วนกลมของเจ้าหนูอากวงพลันแสดงออกถึงความดุร้ายขึ้นมาทันที

มันแยกเขี้ยวอวดฟันขาววับ พยายามทำให้ตัวเองดูน่ากลัวมากที่สุด

น่ากลัวไหม?

น่ากลัวมากพอหรือยัง?

อากวงจ้องมองไปยังกลุ่ม ‘คนงานเหมือง’ ด้วยแววตาอาฆาต

คนงานเหมืองเหล่านั้นจ้องมองกลับมาที่เจ้าหนูอากวงโดยไม่รู้ตัว

แต่ความรู้สึกที่พวกเขามีก็คือ…

ช่างน่ารักเหลือเกิน

พวกเขาไม่เคยเห็นเจ้าหนูสีเงินตัวอ้วนพีที่ไหนจะน่ารักขนาดนี้มาก่อน

แน่นอนว่ามันย่อมดูน่ารักมากกว่าเมื่อเทียบกับหลินเป่ยเฉินซึ่งยืนตาไม่กะพริบอยู่ด้านข้าง

“เจ้าทำได้ดีมาก”

หลินเป่ยเฉินพยักหน้ากับอากวงและพูดว่า “ดูแลให้พวกมันทุกคนขุดเหมืองต่อไปอย่าได้หยุดพัก”

อากวงได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

นายท่านยังคงจดจำมันได้อยู่

“นายท่านเป็นบุคคลที่ประเสริฐสุดในใต้หล้า”

มันเขียนข้อความลงบนแผ่นกระดานชนวน

ตอนนั้นเองที่คนงานเหมืองเพิ่งจะรู้ตัว

ปรากฏว่าเจ้าหนูตัวนี้กลับเป็นสัตว์เลี้ยงของหลินเป่ยเฉิน

นี่คือเรื่องที่ทุกคนไม่คาดคิดมาก่อน

ไม่น่าเชื่อว่าบุคคลที่อำมหิตเช่นหลินเป่ยเฉินกลับมีสัตว์เลี้ยงหน้าตาน่ารักน่าชังถึงเพียงนี้

“กราบเรียนนายท่าน ข้าน้อยมีบางอย่างต้องการกราบเรียนให้นายท่านได้รับรู้…”

นายทหารคนหนึ่งในหน่วยนักรบมังกรดำรวบรวมความกล้าพูดออกมาเสียงดัง

หลินเป่ยเฉินหันกลับไปมองด้วยดวงตาคมวาวราวกับคมกระบี่

“ท่านข้าหลวงใหญ่… ไม่ใช่สิ เจ้าตัวบัดซบหนี่หยางได้รับรายงานว่า ก่อนหน้านี้มีทหารส่วนหนึ่งจุดไฟเผาสถานศึกษากระบี่ที่สาม ข้าน้อยไม่ทราบเลยว่าสถานการณ์ ณ บัดนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง…”

นายทหารผู้นั้นรายงานเสียงดังฟังชัด

หลินเป่ยเฉินถึงกับตกตะลึง

และเมื่อเด็กหนุ่มรับฟังเสียงสวดภาวนาอย่างตั้งใจ เขาก็พบว่าบางส่วนของเสียงสวดเหล่านั้นเป็นบุคคลที่อยู่ในสถานศึกษากระบี่ที่สาม จึงพอจะเบาใจได้บ้างว่าที่นั่นคงไม่เกิดเหตุการณ์สังหารหมู่ขึ้นแน่ๆ

แต่เพื่อความสบายใจสูงสุด เขาจำเป็นต้องรีบไปตรวจสอบที่นั่นด้วยตนเอง

หลินเป่ยเฉินหันไปมองหน้าเจ้าหน้าที่คนนั้น “เจ้าทำได้ดีมาก ข้าอยากจะมอบรางวัลให้เจ้าสักหน่อย”

นายทหารรีบตอบรับด้วยความดีใจ “ไม่เป็นไรขอรับ… ข้าน้อยไม่ได้ต้องการของรางวัล ตราบใดที่ข้าน้อยสามารถทำประโยชน์ให้แก่นายท่านได้ ก็ถือว่าข้าน้อยได้รับของรางวัลแล้ว”

หนี่โมหยานมีพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงจึงถูกฆ่าตายในเวลาอันรวดเร็ว ดังนั้นในสายตาของเจ้าหน้าที่คนนี้ เขามีแต่ต้องใช้ไม้อ่อนประจบเอาใจหลินเป่ยเฉินเท่านั้น ถึงจะมีชีวิตรอดต่อไป

หลินเป่ยเฉินมีสีหน้าประหลาดใจล็กน้อย

เขามองนายทหารผู้นั้นและถามว่า “เจ้าพูดจริงหรือ?”

เมื่อเห็นว่าการประจบของตนเองได้ผลดี หัวใจของนายทหารก็พองโตด้วยความลิงโลด รีบรับคำว่า “ฟ้าดินเป็นพยาน ยิ่งข้าน้อยได้ทำงานให้แก่นายท่านมากเท่าไหร่ ก็ถือว่านายท่านให้ของขวัญแก่ข้าน้อยมากเท่านั้น…”

“สรุปว่าเจ้าอยากทำงานหนักมากขึ้นสินะ?”

หลินเป่ยเฉินพยักหน้าและออกคำสั่ง “ตกลง ข้าจะทำให้ความปรารถนาของเจ้าเป็นจริง… อากวง เพิ่มตะกร้าใส่แร่หินให้กับชายผู้นี้อีก 3 ตะกร้า และนับจากนี้ไป ปล่อยให้เขาทำงานเท่ากับคน 3 คน ถ้าเขาทำงานไม่เสร็จ ไม่ต้องให้รับประทานอาหารเด็ดขาด”

รอยยิ้มหายวับไปจากใบหน้าของเจ้าหน้าที่หนุ่มทันที

นี่มันอะไรกันเนี่ย?

เขาไม่ได้หมายความแบบนั้นสักหน่อย

แต่จังหวะที่จะยื่นอุทธรณ์นั้นเอง ร่างของหลินเป่ยเฉินก็ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าและบินหายไปยังทิศทางของตัวเมืองหยุนเมิ่ง

“นายท่านหนูอสูร ข้าน้อย…”

นายทหารหนุ่มพยายามหาทางรอด

เพี๊ยะ!

อากวงสะบัดสายแส้ในมือฟาดเข้าใส่ต้นขาของนายทหารผู้นั้น

เจ้าทหารคนนี้ คิดจะประจบเอาใจนายท่านอย่างนั้นหรือ?

อากวงโยนตะกร้าใบใหญ่ไปให้กับฝ่ายตรงข้าม

จากนั้นมันก็รีบเขียนข้อความลงไปบนกระดานที่แขวนอยู่กับลำคอว่า…

“รีบขุดเหมืองต่อได้แล้ว”

“ถ้าไม่ขุด รับรองว่าตายแน่”

“ใกล้จะหมดเวลาแล้วนะ”

โทรศัพท์มือถือสั่นครืดคราด แจ้งเตือนว่ามีข้อความใหม่ถูกส่งมาจากเทพีกระบี่หิมะไร้นาม

“ทำไมถึงเร็วจัง?”

หลินเป่ยเฉินลอยตัวอยู่ในอากาศ ถึงเขาจะรู้สึกเหนื่อยล้าและหมดแรง แต่ก็ยังลุ่มหลงไปกับการมีพลังจำนวนมหาศาลอยู่ในร่างกายของตนเองอยู่ดี

เมื่อได้กลายเป็นผู้แข็งแกร่ง เขาก็สามารถทำได้ทุกอย่างที่ต้องการ

ยังมีอีกหลายเรื่องที่เด็กหนุ่มยังทำไม่สำเร็จ

ในเวลาเดียวกันนี้ เมื่อเทพีกระบี่หิมะไร้นามเห็นข้อความตอบกลับมาของหลินเป่ยเฉิน นางก็แทบจะเป็นลมด้วยความเดือดดาล

ถ้าไม่ติดว่าต้องการประจบเอาใจเด็กหนุ่ม นางก็คงตัดการเชื่อมต่อกับเขาไปแล้ว

หลินเป่ยเฉินคิดว่าการถ่ายทอดพลังข้ามเขตแดนเช่นนี้ เป็นสิ่งที่สามารถทำได้ง่ายๆ หรืออย่างไร?

เพียงเท่านี้พลังในร่างกายของนางก็แทบจะไม่เหลือแล้ว

“เจ้าเหลือเวลาอีกชั่วชงน้ำชาหนึ่งถ้วย…”

ใบหน้าที่บูดบึ้งของเทพีกระบี่หิมะไร้นามสะท้อนอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ “น้องชาย การถ่ายทอดพลังข้ามเขตแดนคือสิ่งที่ผิดกฏจักรวาล ต่อให้เป็นเทพีกระบี่ นางก็ไม่สามารถถ่ายทอดพลังให้กับเจ้าได้นานนัก”

“ไม่มีปัญหา”

หลินเป่ยเฉินส่งข้อความตอบกลับไปในขณะที่ยังคงบินไปข้างหน้า “แต่ว่าข้ามีเรื่องหนึ่งรู้สึกสงสัยมาตลอด ไม่ทราบว่าสมควรถามออกไปหรือไม่”

“ถามมาได้เลย”

เทพีกระบี่หิมะไร้นามตอบรับโดยไม่ได้คิดอะไร

“จนถึงวันนี้ข้าก็ยังไม่แน่ใจเลยว่า…” หลินเป่ยเฉินส่งข้อความถามกลับไปในที่สุด “ตกลงแล้ว ท่านใช่หรือไม่ใช่กันแน่?”

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”

เทพีกระบี่หิมะไร้นามส่งข้อความถามกลับไปด้วยความงุนงง

หลินเป่ยเฉินส่งข้อความตอบกลับว่า “อิอิ ข้าหมายความว่า ตัวตนที่แท้จริงของท่าน คือเทพีกระบี่ใช่หรือไม่?”

เกิดความเงียบงันตามมา

“อ้าว? เจ้ารู้ได้อย่างไรกันเนี่ย? ฮ่าฮ่าฮ่า โดนจับได้เสียแล้วสิ…”

เทพีกระบี่หิมะไร้นามยอมรับโดยไม่ปิดบัง เพราะนางเบื่อที่จะต้องโกหกต่อไปแล้ว

“หึหึ ข้าแค่อยากจะถามท่านเล่นๆ เท่านั้น ไม่คิดเลยว่าท่านกับกล้ายอมรับออกมาตรงๆ เช่นนี้”

หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะให้กับความเจ้าเล่ห์ของตนเอง คนที่เจ้าเล่ห์อย่างนาง ต้องเจอคนที่เจ้าเล่ห์กว่าอย่างเขานี่แหละ “ในเมื่อท่านยอมรับก็ดีแล้ว เพราะมันหมายความว่าต่อจากนี้ไป ท่านจะโกหกข้าไม่ได้อีก อุ๊วะฮ่าฮ่าฮ่า ท่านโดนหลอกแล้วล่ะ ยิ่งท่านยอมรับว่าตนเองเป็นเทพีกระบี่ ข้าก็ยิ่งมั่นใจว่าท่านไม่ใช่เทพีกระบี่ตัวจริงแน่นอน!”

เทพีกระบี่หิมะไร้นามเบิกตามองข้อความบนหน้าจอโทรศัพท์ด้วยความตะลึงงัน

ให้ตายสิ!

น้องชายคนนี้ช่างโง่เขลาอะไรเช่นนี้

เมื่อสักครู่ นางหลงตกใจนึกว่าตนเองถูกเปิดโปงเสียแล้ว

“ไม่นะ ข้าคือเทพีกระบี่ตัวจริง…”

“แหม แหม แหม เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว ยังคิดจะโกหกต่อไปอีกหรือ? เลิกพูดเหลวไหลได้แล้วน่า”

ระหว่างที่สนทนามาถึงตรงนี้ หลินเป่ยเฉินก็บินกลับมาถึงใจกลางเมืองหยุนเมิ่งพอดี

ร่างของเขาเป็นลำแสงสีเงินในอากาศ

ด้านหลังมีฝูงกระบี่บินตามมาเป็นร้อยเล่ม

ชาวเมืองหยุนเมิ่งต่างก็พร้อมใจกันเงยหน้ามองท้องฟ้าด้วยความปลาบปลื้ม

ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนคุกเข่าลงกับพื้นถนนและสวดมนต์ขอพร

เมื่อหลินเป่ยเฉินบินไปถึงสถานศึกษากระบี่ที่สาม เขาก็พบว่าสถานศึกษาของตนเองมีแต่ควันดำลอยโขมง หอสมุดและอาคารเรียนถล่มกลายเป็นเถ้าถ่าน ต้นไม้ใบหญ้าถูกไฟไหม้เป็นจำนวนมาก… พื้นที่โดยรวมของสถานศึกษาแห่งนี้ได้รับความเสียหายจากพระเพลิงถึงครึ่งหนึ่ง ในระหว่างที่หลินเป่ยเฉินบินวนอยู่บนท้องฟ้านั้น กลุ่มลูกศิษย์และคณะอาจารย์ในสถานศึกษาก็กำลังวุ่นวายอยู่กับการดับไฟ

บางคนถูกไฟลวก ก็กำลังได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน

ดูเหมือนว่าคำสวดภาวนาที่หลินเป่ยเฉินได้ยิน ส่วนใหญ่จะดังมาจากสถานศึกษานี่เอง

โชคดีที่มีคนเสียชีวิตไม่มาก

“เวลาที่มีพลังของเทพีกระบี่อยู่ในร่างกาย ข้าจะสามารถได้ยินเสียงสวดภาวนาของผู้ศรัทธาได้ใช่ไหม?”

เด็กหนุ่มส่งข้อความถามไปในแอปวีแชท

“เสียงที่เจ้าจะได้ยินต้องเป็นเสียงของผู้ศรัทธาที่มีความเชื่อมั่นแรงกล้าเท่านั้น หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ผู้ที่นับถือเทพีกระบี่เพียงผิวเผิน ต่อให้สวดภาวนาแทบตายเจ้าก็คงไม่ได้ยิน เพราะว่าแนวกั้นเขตแดนระหว่างโลกของเจ้ากับโลกของทวยเทพ มีม่านพลังกางกั้นแน่นหนามาก!”

เทพีกระบี่หิมะไร้นามตอบกลับมาอย่างเป็นงานเป็นการ

หลินเป่ยเฉินเข้าใจทุกอย่างแล้ว

เด็กหนุ่มกำลังจะทิ้งตัวลงไปที่สถานศึกษาของตนเอง แต่แล้วเขากลับได้ยินเสียงระดมยิงปืนใหญ่มาจากฝั่งของท่าเรือ ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ในตำแหน่งปัจจุบันของเขา

“นั่นมัน…”

หลินเป่ยเฉินหันหน้ามองไปทางท้องทะเลโดยไม่รู้ตัว

แล้วเขาก็ได้เห็นกองเรือรบจำนวนมากปรากฏขึ้นมาจากใต้ทะเล ตอนแรกพวกมันก็ลอยลำอยู่ห่างออกไป แต่ไม่ทราบเพราะเหตุใด เพียงไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น กองเรือรบของชาวทะเลก็แล่นเข้ามาเต็มแนวชายฝั่ง พร้อมกับบรรดาอสูรทะเลที่สวมใส่ชุดเกราะเหล็กและชุดเกราะโครงกระดูกปกคลุมด้วยสาหร่ายทะเลเต็มไปหมด และด้านหลังนั้นเล่า ก็เป็นคลื่นทะเลที่ก่อตัวขึ้นสูงต้องแหงนหน้ามองคอตั้งบ่า ราวกับว่ามีคลื่นสึนามิกำลังจะซัดถล่มเมืองหยุนเมิ่งในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า…

ภาพที่เห็นทำให้หลินเป่ยเฉินตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง

เขาไม่เคยเห็นอะไรน่ากลัวขนาดนี้มาก่อน

นี่ไม่ใช่เรื่องธรรมดาแล้ว

หรือว่ากำลังจะเกิดสงคราม?

หลินเป่ยเฉินรับรู้ได้ทันทีว่านี่คือเรื่องผิดปกติ

แต่ในทันใดนั้น…

“พอกันที เทพีกระบี่ไม่สามารถมอบพลังให้เจ้าได้นานมากกว่านี้อีกแล้ว น้องชายได้โปรดดูแลตัวเองให้ดี… แล้วพี่สาวคนนี้จะติดต่อกลับมา”

นั่นคือข้อความสุดท้ายที่ส่งมาจากเทพีกระบี่หิมะไร้นาม

แล้วพลังศักดิ์สิทธิ์ในตัวเด็กหนุ่มก็ถูกถอนคืนกลับไป

แม่งเอ๊ย

หลินเป่ยเฉินถูกความอ่อนล้าถาโถมรุนแรง ก่อนที่เขาจะร่วงละลิ่วลงจากกลางอากาศ

ให้มันได้อย่างนี้สิ

คิดจะมอบพลังก็มอบมาโดยไม่บอกไม่กล่าว คิดจะถอนพลังก็ดึงกลับคืนไปตามใจชอบ… แบบนี้ให้อภัยไม่ได้แล้ว!

แต่สติสัมปชัญญะของหลินเป่ยเฉินก็ดับวูบลง ก่อนที่เขาจะมีเวลาส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยซ้ำ