บทที่ 74 Lose Ink Stone_Fantasy

แน่นอนว่าหลงเฉียงไม่ได้ปีนข้ามไป แต่กลับนั่งยองอยู่บนพื้น เอามือกุมไว้บนหัว…อืม ท่าทางแบบนี้ ทำให้ความทรงจำในอดีตบางอย่างของเฉียงจื่อหวนย้อนกลับมาไม่มากก็น้อย

แต่เมื่อก่อนอย่างมากก็แค่ถูกพวกไม้ตะบองของตำรวจฟาด แต่ไม่ใช่…ปืนกลนะ!

 “คุณตำรวจ! คุณตำรวจ! ผมไม่รู้เรื่องลักพาตัวอะไรจริงๆ นะ! ก็อย่างที่ผมบอกไปเมื่อกี้ ผมแค่ช่วยพาผู้หญิงคนหนึ่งไปที่คุกเท่านั้นเอง! ผมอธิบายทุกอย่างไปหมดแล้วนะครับ ผมไม่ใช่โจรเรียกค่าไถ่อะไรจริงๆ นะ ผมถูกใส่ร้ายต่างหาก!”

พวกเขายังอยู่บนทางหลวง

โจวจื่อเหา เจ้าหลงเฉียง พร้อมกับเจ้าหน้าที่ทุกคนจากสถานีตำรวจที่ออกปฏิบัติการครั้งนี้…แล้วยังมีรถตู้ที่จอดกลางคันด้วย

 “เซอร์หลิน โทรไปถามที่เรือนจำแล้วครับ ที่นั่นมีนักโทษชื่อเจ้าอ้วนจางอยู่จริงๆ และหลงเฉียงคนนี้มีลงบันทึกเยี่ยมหลายครั้งด้วยครับ”

เซอร์หลิน…หลินเฟิงรู้สึกเก้อเขินวางตัวไม่ถูก ราวกับคนหลงทาง

จากที่กล่าวมานี้ บางทีนี่คงไม่ใช่คดีลักพาตัวร้ายแรง?

หรือว่า…ทำพลาดจนเป็นเรื่องใหญ่โตซะแล้ว?

ถ้าทำพลาดจนเป็นเรื่องใหญ่โต หลินเฟิงก็นึกภาพเซอร์หม่าหลังกลับมาจากพักผ่อนได้ทันที…เซอร์หม่าจะต้องฟาดแฟ้มเอกสารแรงๆ ใส่หน้าเขา พร้อมกับด่าเขาด้วยท่าทางน่ากลัวราวกับหมิงหวัง* ‘นายสมองทึบหรือไง!’

หลินเฟิงหวาดผวาขึ้นมาทันที

“ไม่ใช่ลักพาตัว? ไม่ใช่การลักพาตัวแล้วพวกคุณจับคนขึ้นรถมาทำไม? จะบอกหรือไม่บอก!” หลินเฟิงขมวดคิ้ว ตบหัวหลงเฉียงไปแรงๆ ทีหนึ่ง

“นี่…นี่ ผมนึกว่าผู้หญิงคนนี้แกล้งทำเป็นสาวใสซื่อบริสุทธิ์คิดจะเรียกราคาสูงน่ะ”

หลงเฉียงบอกไปตามความจริง “เซอร์ คุณไม่รู้หรอก ผู้หญิงส่วนมากก็เป็นแบบนี้ ตอนแรกก็ทำเป็นเล่นตัว สุดท้ายพอให้เงินมากหน่อยก็พากันถอดกางเกง ตอนนี้ผมต้องรีบไปเยี่ยมนักโทษ ไม่มีเวลามาพูดมากกับเธอหรอก”

หลินเฟิงพูดอย่างดูถูกว่า “ทางที่ดีคุณสารภาพมาซะดีกว่า! อย่ามาพูดเรื่องมโนไร้สาระกับผมที่นี่!”

“หา? เซอร์ครับ ผมถูกใส่ร้ายจริงๆ นะ!” หลงเฉียงทำหน้าระทมทุกข์ “คุณบอกว่าผมลักพาตัวจริงๆ ผมจะโง่จับตัวมาแลกค่าไถ่ในที่แบบนี้เลยเหรอ? ถ้าผมจะจับตัวมาเรียกค่าไถ่ ผมจะพามาที่แบบนี้เหรอ?”

“แต่เขาได้ยินกับหูว่าคุณต้องการค่าไถ่แปดล้าน! แปดล้าน คุณยังจะมาแก้ตัวอีกเหรอ”

หลงเฉียงนิ่งอึ้ง “แปดล้านอะไรกันครับ? ผมบอกว่าแปดร้อยหยวนต่างหาก”

“แปดร้อยหยวน?” หลินเฟิงงุนงง ยกนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ขึ้นมาคว่ำลงเป็นสัญลักษณ์มือ “แปดร้อย?”

“อืม แปดร้อยน่ะสิ! เซอร์ครับ ผู้หญิงคนนั้นกัดหูของผม ผมแค่อยากได้ค่ารักษาพยาบาลแปดร้อยหยวน คงไม่เยอะไปใช่ไหมครับ…คุณลองดูหูผมข้างนี้สิ!” หลงเฉียงพูดราวกับอยากร้องไห้ “เซอร์ครับ ผมถูกใส่ร้ายจริงๆ นะ! ถ้าคุณไม่เชื่อ ก็ไปถามเจ้าอ้วนจางดูได้เลย เขาให้ผมพาตัวผู้หญิงคนนี้ไปหาเขาที่คุก!”

“เซอร์หลินครับ ตอนนี้เอาไงดีครับ” เจ้าหน้าที่ตำรวจเดินมาถาม

หลินเฟิงมองท้องฟ้า แล้วจู่ๆ ก็ถามขึ้นว่า “แล้วคุณโจวจื่อเหาเป็นยังไงบ้าง”

“รู้สึกตัวแล้วครับ ตอนนี้พักผ่อนอยู่บนรถ” เจ้าหน้าที่เอ่ยต่อ “ถ้าสิ่งที่หลงเฉียงคนนี้พูดเป็นความจริง ถาวซย่ามั่นน่าจะซ่อนตัวอยู่แถวๆ นี้ไม่กล้าโผล่ออกมา พวกเราจะเรียกทีมค้นหามาไหมครับ”

“อืม เรียกมาเลย”

หลินเฟิงพยักหน้า “ที่นี่ห่างจากเรือนจำเฉาอวิ๋นไม่ไกลมากนัก คุณลองพาคนสักสามสี่คนไปหาเจ้าอ้วนจางคนนั้นดู ถามเขาดูว่าเรื่องเป็นยังไงกันแน่ ไม่สิ…คุณไปบอกกับทางเรือนจำหน่อยว่า ให้คุมตัวเจ้าอ้วนจางคนนี้มา ผมจะให้เขากับหลงเฉียงพูดยืนยันกันต่อหน้าสักหน่อย พวกเราจะได้ไม่ต้องวิ่งไปวิ่งมาให้ยุ่งยาก!”

“เข้าใจแล้วครับ!”

“มีใครอยู่ที่นี่ไหมคะ ที่นี่ที่ไหนกัน”

ถาวซย่ามั่นนั่งคุดคู้อย่างหวาดกลัว เสียงก็สั่นเครือ…เสื้อผ้าบนตัวเปียกชื้นไปหมด ในถ้ำบนภูเขาก็ทั้งหนาวเย็นมืดมิด เธอรู้สึกหนาวเหน็บ จนสีหน้าถึงกับซีดขาว

“คุณ…คุณเอาเสื้อตัวนี้คลุมไว้ก่อนเถอะ” เหล่าเฝิงถอนหายใจ แล้วถอดเสื้อคลุมออก พร้อมกับพูดเสียงเบา

“คุณอย่าเข้ามานะ คุณเป็นใคร…ที่นี่ที่ไหนกัน?” ถาวซย่ามั่นพูดหยุดอย่างตระหนก ก่อนลุกพรวดขึ้นมา

แต่เธอเพิ่งจะลุกขึ้นไม่ทันไร เท้าของเธอก็รู้สึกเจ็บแปลบ ก่อนล้มลงไปบนพื้น เหล่าเฝิงเห็นดังนั้น ก็รีบมาพยุงตัวเธอขึ้น “น่าจะเท้าแพลง อย่าเพิ่งขยับสิ!”

เหล่าเฝิงพูดเสียงเบาๆ ว่า “อย่ากลัวไปเลย ผมไม่ใช่คนไม่ดี ผมอาศัยอยู่แถวๆ นี้ ตอนที่ผมจับปลาอยู่ริมแม่น้ำ เห็นคุณตกน้ำ ก็เลยลากตัวคุณขึ้นมา”

ถาวซย่ามั่นพยายามนึกย้อนดู ก็นึกขึ้นได้ว่าตนเองวิ่งลนลานไม่ดูทาง แล้วบังเอิญลื่นล้มกระแทกพื้น…ดูเหมือนว่าจะตกลงไปในน้ำจริงๆ

“คุณ…คุณช่วยชีวิตฉันไว้จริงๆ เหรอ?” แต่เธอยังไม่แน่ใจว่าคนตรงหน้าคนนี้เป็นใคร…เธอมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ได้ยินแค่เสียง

“วางใจเถอะครับ ผมไม่ใช่คนไม่ดีจริงๆ” เหล่าเฝิงถอนหายใจ “ผมก็แค่คนแก่ ไม่มีอะไรทั้งนั้น ทำอะไรก็ไม่ไหวแล้ว หากคุณไม่เชื่อ…ไม่เชื่อละก็ คุณลองใช้มือคลำผมดูก็ได้”

เขาคว้ามือของถาวซย่ามั่นขึ้นมาเบาๆ “คุณลองคลำมือผมดู หรือจะลองคลำหน้าผมดูก็ได้ เรี่ยวแรงของผมยังสู้คุณไม่ได้เลย”

มือใหญ่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น หนังหุ้มกระดูกแห้งกร้านเล็กน้อย

ส่วนใบหน้านั้นหยาบกระด้างยิ่งกว่า แล้วยังมีตอเคราสากมือด้วย

“คุณสวมเสื้อคลุมก่อนเถอะ อย่าปล่อยให้หนาวอยู่เลย” เหล่าเฝิงเห็นถาวซย่ามั่นสงบลงบ้างแล้ว ก็กระซิบเสียงเบา “ผมก่อกองไฟให้คุณแล้วกัน แบบนี้คุณจะได้อุ่นขึ้นหน่อย”

“ขอบคุณค่ะ… คุณลุง” ถาวซย่ามั่นพยักหน้า

สติสัมปชัญญะบอกเธอว่า เธอไม่ควรไว้ใจคนตรงหน้าง่ายๆ แบบนี้

ยังไงเธอก็ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายเป็นแค่คนแก่หง่อม เหมือนอย่างที่บอกจริงๆ หรือเปล่า

วิธีที่จะเสแสร้งก็มีหลายวิธี

แต่ไม่รู้ว่าทำไม ตอนที่คลำมือของคนที่พูดอยู่นี้ เธอถึงรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด…ความรู้สึกปลอดภัยราวกับความสงบแผ่ขยายครอบคลุมหัวใจเธอ

ตัวเธอยังคงหนาวเล็กน้อย แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ความรู้สึกอบอุ่นเล็กๆ กลับผลิบานอยู่ในใจเงียบๆ…จนเธอรู้สึกแปลกใจทีเดียว

ความรู้สึกสนิทสนมอย่างน่าประหลาด

“ไม่เป็นไรหรอก”

เหล่าเฝิงบอกว่าจะก่อไฟ แต่เขาก็มองไปรอบๆ แล้วดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรใช้จุดไฟได้เลย

เขาไม่สูบบุหรี่ ย่อมไม่มีนิสัยพกไฟแช็กติดตัวอยู่แล้ว แต่ขณะที่เหล่าเฝิงเดินออกมาจากปากถ้ำด้วยความลำบากใจนั้น กลับเห็นกิ่งไม้แห้งๆ กองหนึ่งโดยไม่คาดฝัน…ข้างๆ กิ่งไม้ยังมีใบไม้แห้งอยู่ด้วย

และยังมีไฟแช็กอีกอันหนึ่ง

ราวกับว่าวางเตรียมไว้ให้ตั้งนานแล้ว

เหล่าเฝิงมองไปรอบๆ อย่างประหลาดใจ…นี่น่าจะเป็นสิ่งที่เจ้าของร้านอะไรนั่นเตรียมไว้ให้แต่แรกแล้วสินะ?

เหล่าเฝิงไม่คิดว่า แค่พาพวกเขากลับไปพร้อมกันจะเป็นเรื่องยากสำหรับเจ้าของร้านคนนี้ แต่เขากลับทิ้งตัวเองไว้กับถาวซย่ามั่นในที่แบบนี้

เหล่าเฝิงไม่เข้าใจว่าเจ้าของร้านมีแผนอะไรกันแน่ เขาก็รู้สึกซับซ้อนมากเช่นกัน

แต่ตอนนี้ถาวซย่ามั่นมองไม่เห็น แล้วเขาจะพาถาวซย่ามั่นหนีออกไปจากสถานที่ไม่รู้จักแห่งนี้ได้ยังไง

ท้องฟ้ามืดลงแล้ว รอบข้างเปลี่ยวร้างไร้ผู้คนราวกับอยู่กลางป่า บวกกับถาวซย่ามั่นที่เท้าบาดเจ็บจนขยับไม่ได้ หากเคลื่อนไหวในที่แบบนี้ยามกลางคืนก็มีแต่อันตรายยิ่งกว่าเดิม

ตอนที่ฟืนไฟลุกโชนส่งเสียงดังเปรี๊ยะๆ ความร้อนก็เริ่มแผ่ขยายไปถึงข้างเท้าของถาวซย่ามั่น เธอจึงอดถามไม่ได้ว่า “คุณลุง คุณลุงจุดไฟแล้วเหรอคะ ทำไมยังมืดอยู่แบบนี้ล่ะ”

“คุณหนู ไฟติดแล้วจริงๆ ครับ ไม่เชื่อคุณก็ลองเขยิบเข้ามาอีกหน่อยสิ”

“แต่…แต่ทำไมฉันยังมองอะไรไม่เห็นเลยล่ะคะ”

เหล่าเฝิงคิดแล้ว ก็นึกถึงคำพูดของเจ้าของร้านขึ้นมาได้ จึงตอบอย่างลังเลว่า “คุณหนู ตอนผมลากคุณขึ้นมา เห็นว่าหน้าผากคุณถูกกระแทก เป็นไปได้ไหมว่าสมองอาจจะได้รับการกระทบกระเทือน คุณมองไม่เห็นจริงๆ เหรอ”

ถาวซย่ามั่นคลำไปบนหน้าผากของตนเองทันที…รู้สึกเจ็บจริงๆ เธอคงลนลานจนเกินไปถึงเพิ่งสังเกตเห็น

“ฉันมองไม่เห็นค่ะ…ฉันมองไม่เห็น…ฉันมองไม่เห็นแล้ว! ทำไมถึงเป็นแบบนี้…ทำไมถึง…”

ถาวซย่ามั่นตะลึงพรึงเพริด ก่อนเริ่มสะอื้นไห้

เหล่าเฝิงเหมือนถูกมีดกรีดหัวใจ รีบพูดปลอบใจทันทีว่า “คุณหนู คุณอย่าเพิ่งใจร้อนสิ ผมเห็นดวงตาคุณยังปกติดีอยู่เลย อาจจะมองไม่เห็นแค่ชั่วคราวเท่านั้น ในทีวีก็มีพูดอยู่บ่อยๆ ไม่ใช่เหรอ ว่าอะไรนะ บางครั้งเลือดคั่งทับเส้นประสาทเลยสูญเสียการมองเห็นไปชั่วคราว แล้วเดี๋ยวก็จะค่อยๆ ดีขึ้นเอง ใจเย็นๆ อย่ากลัวไปเลยนะ ผมจะอยู่เป็นเพื่อนคุณเอง ไม่ต้องกลัวนะ!”

เหล่าเฝิงพูดประโยคสุดท้ายออกมาด้วยเสียงหนักแน่น

ถาวซย่ามั่นสงบลงได้แล้วจริงๆ เธอนั่งกอดเข่าตนเอง แล้วนั่งเงียบๆ อยู่แบบนี้ ไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น

ในถ้ำบนหุบเขา นอกจากเสียงเปลวไฟแล้ว ก็เงียบสงัดมาก

“คุณลุงคะ คุณลุงยังอยู่ไหมคะ?” จู่ๆ ถาวซย่ามั่นก็ถามขึ้นอย่างลังเล

“อยู่ ผมยังอยู่!”

“ฉัน…ฉันรู้สึกกลัวนิดหน่อยค่ะ คุณลุงช่วยคุยเป็นเพื่อนฉันหน่อยได้ไหมคะ” ถาวซย่ามั่นหัวเราะเจื่อยๆ “ไม่รู้ว่าทำไม ได้ยินเสียงคุณลุงแล้ว ฉันรู้สึกสบายใจน่ะค่ะ”

“งั้น งั้นเหรอ?” เหล่าเฝิงทำเสียงขึ้นจมูก เอาแต่หักกิ่งไม้อยู่เงียบๆ แล้วโยนเข้ากองไฟ

“คุณลุงคะ ที่นี่ที่ไหนหรือคะ”

“อ้อ ก็แถวๆ หมู่บ้านแห่งหนึ่งนั่นแหละ” เหล่าเฝิงคิดแล้วพูดต่อ “ผมอยู่ที่นี่ตั้งแต่เด็กๆ แล้ว รู้แค่ว่าที่นี่เป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำ”

“คุณลุงไม่เคยออกมาเลยหรือคะ” ถาวซย่ามั่นถามอย่างสงสัย

เหล่าเฝิงส่ายหน้า ถอนหายใจพูดว่า “บางทีอยู่ที่นี่มานานเกินไป จนไม่อยากออกไปที่ไหนทั้งนั้น จะว่าไป ข้างนอกก็ไม่มีที่ให้ผมอยู่แล้วด้วย”

“ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะคะ” ถาวซย่ามั่น ถามด้วยความแปลกใจ “คุณลุง ครอบครัวของคุณลุงล่ะคะ”

“ครอบครัว?” เหล่าเฝิงเงียบอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “ภรรยาของผมจากไปนานแล้ว แต่ยังมีลูกสาวอีกคน ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้พบเธอมานานมากแล้ว”

ถาวซย่ามั่นรีบพูดขอโทษ “ขอโทษนะคะ ฉันไม่น่าถามเรื่องพวกนี้เลย”

“ไม่เป็นไรหรอก” เหล่าเฝิงส่ายหน้า เขามองถาวซย่ามั่นภายใต้แสงไฟ ใบหน้านี้ทำให้เขานึกถึงภรรยาที่จากไปของเขา

เหล่าเฝิงก็เหม่อมองเธอนิ่งๆ แล้วน้ำตาก็รินไหลโดยไม่รู้ตัว

“คุณลุงคะ? คุณลุง? คุณลุงยังอยู่ไหมคะ” ถาวซย่ามั่นยื่นมือออกมาปัดป่ายอย่างตระหนก “คุณลุง?”

“อยู่ ผมอยู่นี่” เหล่าเฝิงรีบเปล่งเสียงพูดออกมา “คุณหนู ไม่ต้องกลัวนะ ไม่ต้องกลัว จริงสิ คุณนั่งอยู่ตรงนี้แป๊บหนึ่งนะ เมื่อกี้ผมเห็นผลไม้ในป่า ผมไปเก็บมาให้คุณกินแล้วกัน ผมว่าคุณคงหิวแล้วเหมือนกัน”

“คุณลุง ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันไม่หิว คุณลุง? คุณลุง?”

เธอได้ยินแต่เสียงฝีเท้าเดินจากไปไกลเรื่อยๆ

ถาวซย่ามั่นนั่งกอดเข่า…เธอสูญเสียการมองเห็นแถมยังหนาวอีก เท้าก็ยังมาบาดเจ็บจนขยับไม่ได้ ขนาดกองไฟตรงหน้าก็ยังมองไม่เห็นเลย จะไม่ให้หวาดกลัวได้อย่างไรกันล่ะ

เธอรู้สึกว่าตนเองเป็นเหมือนเด็กน้อยหลงทางไร้ความช่วยเหลือ

ประสบการณ์แบบนี้ช่างน่ากลัวเหลือเกิน เธอนึกไม่ถึงว่าชั่วชีวิตของเธอจะต้องมาเจอกับเหตุการณ์แบบนี้อีก

จำได้ว่าตอนเด็กๆ มีอยู่ครั้งหนึ่งเธอแอบออกไปเล่นกับเด็กเพื่อนบ้าน เล่นไปเล่นมาไม่รู้ว่าวิ่งกันไปถึงไหน รู้ตัวอีกทีก็หลงทางเสียแล้ว ได้แต่อยู่รอข้างทางคนเดียว

เธอค่อยๆ หลับตาลง

เพียงแต่ครั้งนี้ คงจะไม่มีใคร…มาตามหาเธออีกแล้วสินะ?

พ่อคะ

*หมิงหวัง เป็นชื่อของเทพประเภทที่สามในศาสนาพุทธนิกายวัชรยาน รองจากพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ตามลำดับ