บทที่ 404.1 เยี่ยมเยือน

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เฉินผิงอันไปยังเรือนพักที่ชุยตงซานได้ครอบครองเพียงลำพังก่อน ตอนที่อยู่หน้าประตู หลี่เป่าผิงถามว่าตอนกลางคืนให้เผยเฉียนมานอนกับนางได้หรือไม่ เฉินผิงอันบอกว่าขอแค่เผยเฉียนยอมตอบรับก็พอ

หลี่เป่าผิงยังถามอีกว่าสามารถมอบดาบแคบยันต์มงคลและน้ำเต้าเล็กสีเงินให้เผยเฉียน หรือไม่ก็อาจให้เผยเฉียนยืมได้หรือไม่ ตอนที่เผยเฉียนออกมาท่องยุทธภพจะได้มีบารมีน่าเกรงขามสักหน่อย

เฉินผิงอันยิ้มพูดว่า ตอนนี้ยังไม่ต้องมอบของขวัญล้ำค่าขนาดนี้ให้เผยเฉียน สัมภาระที่เผยเฉียนจะพกไปยามออกท่องยุทธภพในวันหน้า ทุกสิ่งที่จำเป็น เขาที่เป็นอาจารย์ล้วนต้องเตรียมไว้ให้เรียบร้อย แล้วนับประสาอะไรกับที่การออกท่องยุทธภพในครั้งแรกไม่ควรให้สะดุดตาเกินไปนัก พาหนะเป็นแค่ลาตัวเล็กก็ดีมากแล้ว ส่วนดาบก็มีดาบที่ลักษณะคล้ายคลึงกับยันต์มงคล ชื่อว่าหยุดหิมะ กระบี่ก็คือกระบี่ชือซิน ซึ่งต่างก็ถือว่าไม่เลว

หลี่เป่าผิงรู้สึกเสียดายเล็กน้อย

โบกมือลาอาจารย์อาน้อยแล้วก็สะพายหีบไม้ไผ่สีเขียวมรกตใบเล็กพุ่งทะยานจากไป

ไม่รอให้เฉินผิงอันเคาะประตู เซี่ยเซี่ยก็มาเปิดประตูด้วยตัวเองเบาๆ

เฉินผิงอันยิ้มถาม “คงไม่มีอะไรไม่สะดวกกระมัง?”

เซี่ยเซี่ยส่ายหน้า ขยับตัวเบี่ยงหลบให้

สำหรับเฉินผิงอัน นางมีความประทับใจที่ดีกว่าอวี๋ลู่อยู่มาก

อีกอย่างก็เพราะเฉินผิงอันคืออาจารย์ของ ‘คุณชายตนเอง’ เซี่ยเซี่ยไม่กล้าเพิกเฉย ไม่อย่างนั้นสุดท้ายแล้วคนที่ต้องลำบากก็ยังคงเป็นนาง

มองประเมินเฉินผิงอันอย่างโจ่งแจ้งอยู่สองสามที เซี่ยเซี่ยก็กล่าวว่า “เคยได้ยินแค่ว่าหญิงสาวเปลี่ยนตอนอายุสิบแปด เหตุใดเจ้าถึงเปลี่ยนไปมากมายขนาดนี้?”

เฉินผิงอันเข้ามาในเรือนพัก เซี่ยเซี่ยลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังปิดประตูลง ขณะเดียวกันก็รู้สึกเย้ยหยันตัวเองเล็กน้อย ด้วยหน้าตาอัปลักษณ์อย่างที่แทบทนมองไม่ได้ของตนทุกวันนี้ ต่อให้เฉินผิงอันเสียสติกระเดือกได้ลงคอก็ถือว่าเป็นความสามารถของเขาแล้ว

แล้วนับประสาอะไรกับที่เฉินผิงอันเป็นคนแบบใด เซี่ยเซี่ยรู้ชัดเจนดีที่สุด นางไม่เคยรู้สึกว่าพวกเขาสองฝ่ายคือคนบนเส้นทางเดียวกัน ยิ่งไม่มีทางเรียกได้ว่าในใจรู้สึกเลื่อมใสสนิทสนมตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน แต่ก็ไม่รังเกียจ เพียงแค่นี้เท่านั้น

ก็เหมือนกับคนบนโลกมองวิธีการเขียนพู่กัน จะหลงรักตัวอักษรฉ่าวซูที่ปล่อยความเป็นตัวเองได้อย่างเต็มคราบ หรือชื่นชอบตัวอักษรข่ายซู่ที่เป็นระเบียบเรียบร้อย ก็เป็นแค่ความสนใจของใครของมันเท่านั้น ไม่มีการแบ่งสูงต่ำ

เมื่อเทียบกับอวี๋ลู่ที่ไม่ได้รับความสำคัญแล้ว เซี่ยเซี่ยเกรงใจและใจกว้างกับเฉินผิงอันกว่ามาก นางเป็นฝ่ายชี้ไปที่ระเบียงไม้ไผ่เขียวนอกห้องหลักแห่งนั้นด้วยตัวเองแล้วกล่าวว่า “ไม่ต้องถอดรองเท้า นั่นเป็นไผ่มรกตของตระกูลเซียนที่ผลิตขึ้นเป็นพิเศษที่ชิงเซียวตู้ของต้าสุย ฤดูหนาวอบอุ่นฤดูร้อนเย็นสบาย เหมาะแก่การให้ผู้ฝึกตนมานั่งเข้าฌาน ก่อนที่คุณชายจะจากไปได้บอกให้ข้านำความไปบอกแก่หลินโส่วอีว่าสามารถมาฝึกวิชาอสนีที่นี่ได้ เพียงแต่ข้ารู้สึกว่าหลินโส่วอีน่าจะไม่ยอมตอบรับ ก็เลยไม่ได้ไปหาเรื่องใส่ตัว”

เฉินผิงอันยังคงถอดรองเท้าหุ้มแข้งที่เผยเฉียนแอบซื้อมาให้จากเมืองหูเอ๋อร์ แล้วสุดท้ายนำมามอบให้เขา

นั่งขัดสมาธิบนพื้นที่ปูด้วยไผ่มรกตช่างสบายจริงๆ เฉินผิงอันบิดข้อมือเล็กน้อย หยิบเอาเหล้าเซียนบ่อน้ำไหหนึ่งที่ซื้อจากท่าเรือหางผึ้งออกมาจากวัตถุจื่อชื่อ ถามว่า “ดื่มไหม? เป็นแค่เหล้าหมักของพวกชาวบ้านร้านตลาดเท่านั้น”

เซี่ยเซี่ยที่นั่งเอียงๆ อยู่บนบันไดห่างไปไม่ไกลพยักหน้ารับ

เฉินผิงอันจึงโยนกาเหล้าไปให้นางเบาๆ

เซี่ยเซี่ยรับกาเหล้ามา เปิดออกแล้วดม “ไม่เลวเลยนี่นา ไม่เสียแรงที่เป็นของที่เอาออกมาจากวัตถุฟางชุ่น”

เซี่ยเซี่ยไม่ได้รีบร้อนดื่ม ยิ้มถามว่า “ชุดคลุมบนร่างเจ้าตัวนี้คงเป็นชุดคลุมอาคมกระมัง? เพราะว่าอยู่ในเรือนหลังนี้ ข้าจึงสัมผัสได้ถึงการโคจรของปราณวิญญาณเล็กๆ น้อยๆ จากมัน”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ชุดคลุมมีชื่อว่าจินหลี่ ข้าบังเอิญได้มาตอนอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งที่เรียกว่าร่องเจียวหลงระหว่างเดินทางไปภูเขาห้อยหัว”

เซี่ยเซี่ยหันหน้ามา มองไปทางประตูเรือนด้วยสีหน้าซับซ้อน พึมพำเบาๆ ว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็โชคไม่เลวเลยจริงๆ”

เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้าหนึ่งอึก

เซี่ยเซี่ยยิ้มกล่าว “ดื่มเหล้าเป็นแล้วจริงๆ หรือนี่ ออกจากบ้านไปท่องยุทธภพในครั้งนี้นับว่าไม่เสียเที่ยว”

เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ยื่นมือออกไปลูบพื้นไม้ไผ่ ปราณวิญญาณเล็กละเอียดไหลริน แม้จะเทียบไม่ได้กับปราณวิญญาณที่มีอยู่ในจวนตระกูลเซียนหรือถ้ำสวรรค์ แต่ก็ถือว่าเปี่ยมล้นยิ่งกว่าห้องระดับเยี่ยมที่สุดในโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนของราชวงศ์โลกมนุษย์มากแล้ว

รอบด้านเงียบสงบ

เซี่ยเซี่ยพึมพำกับตัวเองว่า “แสงดาวส่องสว่างสี่ทิศ อยู่ท่ามกลางแม่น้ำสีเงิน (เปรียบเปรยถึงทางช้างเผือก) จะดับร้อนได้หรือไม่? กระท่อมตระกูลเซียนช่างเย็นสบาย”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “เป็นบทกลอนที่กวีท่านใดของราชวงศ์สกุลหลูพวกเจ้าเขียนไว้หรือ?”

เซี่ยเซี่ยส่ายหน้าช้าๆ “เมื่อนานมากมาแล้ว เป็นค่ำคืนหนึ่งที่คล้ายๆ กับคืนนี้นี่แหละ อาจารย์ของข้าท่องประโยคนี้ออกมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย นางบอกว่าถ้อยคำที่ ‘พัฒนามาจากบทกวี’ เป็นแค่วิถีเล็กๆ อย่างหนึ่งเท่านั้น เหมือนกับการเขียนพู่กันและการเล่นหมากล้อม ไม่มีค่าพอให้พูดถึง”

เฉินผิงอันกล่าว “ตอนที่อยู่เรือนหลิงจือของภูเขาห้อยหัว เดิมทีข้าเตรียมของขวัญไว้ให้เจ้าและหลินโส่วอีคนละชิ้น ของขวัญของเจ้า ตอนนั้นข้าเข้าใจผิดคิดว่าเป็นแค่เสื้อเกราะน้ำค้างหวานผุพังที่ไม่สามารถซ่อมแซมแก้ไขได้ชิ้นหนึ่ง จึงซื้อมาในราคาที่ถูกมาก ภายหลังถึงได้รู้ว่ามันคือหนึ่งในเสื้อเกราะบรรพบุรุษแปดชิ้นของเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้าง ก็เลยบอกให้เพื่อนคนหนึ่งช่วยซ่อมให้ เมื่อครั้งที่เจอกับชุยตงซานที่แคว้นชิงหลวน เกี่ยวกับเรื่องนี้ ชุยตงซานบอกว่าไม่ต้องมอบของที่ราคาแพงขนาดนี้ให้เจ้า พวกเราไม่ได้สนิทกันถึงขนาดนั้น ไม่แน่ว่าอาจจะยังถูกเจ้าเข้าใจผิดคิดว่าข้ามีเจตนาอย่างอื่นก็เป็นได้ ข้ารู้สึกว่ามีเหตุผลมาก เลยคิดว่าควรจะเก็บเอาไว้ก่อน วันใดที่พวกเรากลายเป็นเพื่อนกันจริงๆ แล้วค่อยมอบให้เจ้าก็ยังไม่สาย ดังนั้นวันนี้จึงมอบสิ่งนี้ให้เจ้าก่อน รับไป”

เซี่ยเซี่ยหันหน้ามา ยื่นมือออกมารับหยกมันแพะขนาดเล็กที่สลักกลึงอย่างประณีตและงดงาม นั่นก็คือหยกวัวขาวคาบหลิงจือ

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “คือของรางวัลเล็กๆ ที่ทางเรือนหลิงจือของภูเขาห้อยหัวมอบให้ อย่าได้รังเกียจ”

เซี่ยเซี่ยยิ้มรับ “เจ้ากำลังบอกข้าเป็นนัยๆ ว่า ขอแค่กลายเป็นเพื่อนของเจ้าเฉินผิงอันก็จะได้รับอาวุธสำคัญของสำนักการทหารที่มีมูลค่าควรเมืองชิ้นหนึ่งหรือ?”

เฉินผิงอันเพียงคลี่ยิ้ม ไม่เอ่ยอะไร

เซี่ยเซี่ยกำชิ้นหยกที่ให้ความรู้สึกถึงเนื้อวัสดุที่ละเอียดอุ่น เรียบลื่น พูดพึมพำกับตัวเองว่า “เจ้าไม่ใช่คนแบบนั้น”

เฉินผิงอันชูน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ขึ้นสูง กลั้นยิ้มพูดว่า “ขอบคุณนะ” (ขอบคุณออกเสียงว่าเซี่ยเซี่ย)

เซี่ยเซี่ยชำเลืองตามองเฉินผิงอัน “โอ้โห จากไปแค่ไม่กี่ปีก็หัดเล่นลิ้นเป็นแล้วหรือ? สมกับคำว่าไม่พบสามวันกลายเป็นอื่นจริงๆ”

เฉินผิงอันรัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ตรงเอวให้เรียบร้อย สอดสองมือประสานกันอยู่ในชายแขนเสื้อ กล่าวอย่างปลงอนิจจังว่า “คราวนั้นที่หลี่ไหวถูกคนนอกรังแก เจ้า หลินโส่วอีและอวี๋ลู่ล้วนมีน้ำใจอย่างมาก ข้าได้ยินแล้วก็รู้สึกดีใจมากจริงๆ ดังนั้นพอข้าได้ยินว่าเสื้อเกราะชิ้นนั้นเป็นเสื้อเกราะน้ำค้างหวานซีเยว่ ใช่ว่าอยากจะโอ้อวดอะไรกับเจ้า แต่เป็นเพราะหวังว่าจะมีวันนั้น วันที่ข้าจะได้กลายเป็นเพื่อนกับเจ้าเซี่ยเซี่ยจริงๆ อันที่จริงข้าเองก็มีใจที่เห็นแก่ตัวอยู่เหมือนกัน ต่อให้พวกเราเป็นเพื่อนกันไม่ได้ ข้าก็หวังว่าเจ้าจะเป็นเพื่อนกับเป่าผิงน้อยและหลี่ไหว กลายเป็นเพื่อนรักของพวกเขา วันหน้าอยู่ในสำนักศึกษาก็ช่วยดูแลพวกเขาให้มากๆ หน่อย”

และยังมีเหตุผลอีกข้อหนึ่งที่เฉินผิงอันไม่ได้พูดออกมา

ไม่ว่าจะมีกลอุบายมากน้อยแค่ไหน ถึงอย่างไรตอนนี้เฉินผิงอันก็เป็นอาจารย์ของชุยตงซานในนาม เขาจึงอาจจะกลายเป็นผู้ต้องสงสัยว่าอบรมสั่งสอนอีกฝ่ายได้ไม่ดี

ชุยตงซานรับเซี่ยเซี่ยเป็นสาวใช้ประจำตัว ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ล้วนเป็นการทำร้ายผู้มีพรสวรรค์ในการฝึกตนที่เป็นคนของอดีตราชวงศ์สกุลหลูอย่างเซี่ยเซี่ยผู้นี้

เพียงแต่เรื่องราวในโลกนั้นซับซ้อน หลายครั้งที่ความต้องการของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมองดูเหมือนเป็นความปรารถนาดี แต่กลับกลายเป็นว่าจะทำให้เรื่องเลวร้ายลง

บาดแผลของคนอื่นไม่ไปแตะต้องก็ไม่มีปัญหา

แต่หากเปิดมันออก เลือดสดก็ไหลนอง

เฉินผิงอันนั่งสวมรองเท้าหุ้มแข้งบนขั้นบันไดด้านล่าง

เซี่ยเซี่ยเอ่ยเบาๆ “ข้าไม่ไปส่งแล้ว”

เฉินผิงอันโบกมือ “ไม่ต้องหรอก”

เฉินผิงอันจากไปแล้ว เซี่ยเซี่ยก็ปิดปากหัวเราะคิกอย่างไร้สาเหตุ

ไม่รู้ทำไม นางถึงรู้สึกว่าคนผู้นั้นเหมือนแมวที่แอบดอดมากินของคาว ย่องกลับเข้าบ้านกลางดึกย่อมหนีไม่พ้นจะถูกแม่เสือที่บ้านออกฤทธิ์ออกเดชใส่

แน่นอนว่านี่เป็นเพียงความคิดพิลึกพิลั่นของเซี่ยเซี่ยเท่านั้น

จิตใจของสตรีประหนึ่งเข็มที่จมอยู่ก้นมหาสมุทร (เปรียบเปรยว่าจิตใจของผู้หญิงเปลี่ยนแปลงง่าย ยากเกินกว่าจะคาดเดา)

บอกได้แค่ว่าตอนนี้เซี่ยเซี่ยอารมณ์ดีไม่น้อย

เซี่ยเซี่ยยกมือขึ้น ชูหยกวัวขาวคาบหลิงจือชิ้นนั้นขึ้นสูง

สวยจริงๆ

……

เฉินผิงอันออกไปจากพื้นที่ฮวงจุ้ยพิเศษที่มีเพียงหนึ่งเดียวในสำนักศึกษาแห่งนี้ อวี๋ลู่อาศัยอยู่ในหอพักเพียงลำพัง แม้ว่าเวลานี้ในห้องจะดับไฟแล้ว แต่เฉินผิงอันก็ยังเคาะประตูอย่างไม่มีความลังเล

เพียงไม่นานอวี๋ลู่ก็ลุกขึ้นเหยียบรองเท้าลวกๆ เดินมาเปิดประตู ยิ้มกล่าวว่า “แขกที่หาได้ยากๆ”

อวี๋ลู่หันตัวไปจุดตะเกียงก่อน เฉินผิงอันช่วยปิดประตูลงให้ คนทั้งสองนั่งอยู่ตรงข้ามกัน

ในห้องของอวี๋ลู่นอกจากสิ่งของที่ทางหอพักจัดเตรียมไว้ให้ลูกศิษย์ของสำนักศึกษามาตั้งแต่แรกแล้วก็ไม่มีของอย่างอื่นอีกแม้แต่ชิ้นเดียว

นี่ก็คืออวี๋ลู่

ราวกับว่าในใจไม่เคยห่วงพะวงถึงสิ่งใด

ในฐานะรัชทายาทของราชวงศ์ใหญ่ หลังจากแคว้นล่มสลายแล้ว เขาก็ยังคงไม่แก่งแย่งชิงดีกับคนบนโลก ต่อให้เผชิญหน้ากับชุยตงซานที่เป็นหนึ่งในตัวการสำคัญก็ยังไม่มีความเกลียดแค้นเข้ากระดูกดำอย่างเซี่ยเซี่ย

ในข้อนี้ อวี๋ลู่ค่อนข้างคล้ายคลึงกับคนคลั่งวรยุทธ์จูเหลี่ยนที่มีชาติกำเนิดมาจากตระกูลชนชั้นสูง

ปีนั้นระหว่างทางที่เฉินผิงอันเดินทางมายังสำนักศึกษาต้าสุย ส่วนใหญ่แล้วเป็นเขากับอวี๋ลู่สองคนที่ผลัดกันเฝ้ายามตอนกลางคืน คนหนึ่งครึ่งคืนแรก อีกคนหนึ่งครึ่งคืนหลัง หากคนที่เฝ้าครึ่งคืนแรกไม่รู้สึกง่วงก็จะมานั่งอยู่ข้างกองไฟ แต่อันที่จริงกลับไม่มีเรื่องอะไรให้คุยกันมากนัก มักจะเป็นเฉินผิงอันที่ฝึกยืนนิ่งเจี้ยนหลูหรือไม่ก็เดินนิ่งหกก้าว หากเป็นยืนนิ่ง อวี๋ลู่ก็จะนั่งเหม่ออยู่กับตัวเอง หากเป็นเดินนิ่ง อวี๋ลู่ก็จะมองอยู่พักหนึ่ง

อวี๋ลู่ไม่ดื่มเหล้า

เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้ดื่มเหล้า

มอบตำราเทพเซียน ‘จารึกภูเขาและทะเล’ ที่ซื้อจากภูเขาห้อยหัวเช่นเดียวกันให้แก่อวี๋ลู่

อวี๋ลู่กล่าวขอบคุณอย่างเป็นธรรมชาติ บอกว่าเขายากจน ไม่มีของขวัญมอบกลับคืนให้ ได้แต่เดินไปส่งเฉินผิงอันที่หน้าหอพักเท่านั้น

หลังจากเฉินผิงอันจากไป

อวี๋ลู่ก็ปิดประตูลงเบาๆ

เขาหลับตา ‘เดินเตร่’ อยู่ในห้องที่มืดสนิทจนมองไม่เห็นนิ้วทั้งห้าของตัวเองต่อไป หมัดสองข้างหนึ่งกำหนึ่งคลาย ทำอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา

ในขณะที่อวี๋ลู่ฝึกวิชาหมัด เซี่ยเซี่ยที่นั่งอยู่บนระเบียงไผ่มรกตก็กำลังมุมานะฝึกตนเช่นกัน

……

พอหลินโส่วอีได้พบหน้าเฉินผิงอัน เขาก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร

อันที่จริงเขารู้มาก่อนแล้วว่าเฉินผิงอันมาที่สำนักศึกษา เพียงแต่หลังจากลังเลอยู่ชั่วขณะก็ไม่คิดจะไปหาเฉินผิงอันที่หอพัก

เฉินผิงอันมอบตำราวิชาอสนีของลัทธิเต๋าฉบับไม่สมบูรณ์ที่ซื้อมาจากเรือนหลิงจือให้หลินโส่วอี ซึ่งตอนนั้นทางเรือนหลิงจือเขียนคำอธิบายเอาไว้ว่า ‘มีเล่มเดียวบนโลก น่าเสียดายที่ขาดไปหลายสิบหน้า หาไม่แล้วมีเงินมากเท่าใดก็ไม่อาจซื้อได้’

หลินโส่วอีไม่ได้ปฏิเสธ

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เซี่ยเซี่ยฝากข้ามาบอกเจ้าว่า หากไม่ถือสา ขอให้เจ้าไปฝึกตนที่เรือนของนาง”

หลินโส่วอีคิดแล้วก็พยักหน้ารับ “ตกลง ขอแค่ตอนกลางวันข้ามีเวลาว่างก็จะไป”

เฉินผิงอันไม่ได้รั้งรออยู่นาน นั่งก้นยังไม่ทันร้อน อยู่ไม่ถึงครึ่งก้านธูปก็เตรียมจะบอกลาจากไป ก่อนจะมาเปิดประตู เห็นได้ชัดว่าหลินโส่วอีกำลังนั่งบนเบาะรองใบหนึ่งเพื่อฝึกวิชาเข้าฌานทำสมาธิ

หลินโส่วอีพลันยิ้มถามว่า “เฉินผิงอัน รู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงยอมรับของขวัญที่ล้ำค่าขนาดนี้เอาไว้?”

เฉินผิงอันหยุดเดิน หันกลับมาถาม “หมายความว่าไง?”

หลินโส่วอีที่ไม่เคยรั้งใครไว้ในหอพักของตัวเองเดินมาหยุดอยู่ข้างโต๊ะ รินน้ำชาสองถ้วยรับรองแขกอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เฉินผิงอันจึงหันตัวกลับมานั่งลงอีกครั้ง

หลินโส่วอีที่กลายเป็นคุณชายหนุ่มผู้สง่างามเงียบงันไปครู่หนึ่งถึงกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าในภายภาคหน้าตัวเองต้องตอบแทนเจ้ากลับคืนด้วยของที่ล้ำค่ายิ่งกว่าได้แน่นอน”

เฉินผิงอันจึงยิ้มพลางพยักหน้ารับ

ไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ เจ้าหมอนี่ยังคงมีนิสัยเย็นชาอยู่เช่นเดิม

หลินโส่วอีหันไปมองหีบไม้ไผ่แวบหนึ่ง ยกมุมปากตวัดขึ้นเป็นรอยยิ้ม “อีกอย่างก็คือ มีเรื่องหนึ่งที่ข้าซาบซึ้งใจในตัวเจ้ามาก เจ้าลองเดาดูสิว่าเป็นเรื่องอะไร”

เจ้าทำท่าทางถึงขนาดนี้แล้ว ยังต้องเดาอะไรอีก เฉินผิงอันตอบอย่างระอาใจ “ก็เรื่องที่มอบหีบไม้ไผ่ใบหนึ่งให้เจ้าไม่ใช่หรือ แม้ว่าปีนั้นข้าจะใช้ไม้ไผ่ที่เติบโตหลังถูกย้ายจากภูเขาชิงเสินมาปลูกบนภูเขาฉีตุนมาทำหีบไม้ไผ่ แต่บอกตามตรงว่ามันเทียบกับตำราวิชาอสนีของลัทธิเต๋าเล่มนี้ไม่ได้แน่นอน”

หลินโส่วอีส่ายหน้าพร้อมอมยิ้มบางๆ “เดาใหม่”

เฉินผิงอันย้อนนึกถึงความทรงจำในการเดินทางครั้งนั้นแล้วถามหยั่งเชิง “เมื่อครั้งที่ไปพักในโรงเตี๊ยม?”

หลินโส่วอียังคงส่ายหน้า หัวเราะร่าเสียงดัง ก่อนจะลุกขึ้นยืนเป็นการไล่คน พูดหยอกล้อว่า “อย่าอาศัยว่าเอาของขวัญมามอบให้ข้าแล้วจะถ่วงเวลาการฝึกตนของข้าได้”

เฉินผิงอันเดินออกมาจากหอพักของอีกฝ่ายด้วยความมึนงง

ได้พบกับคนทั้งสามแล้ว เขาก็ยังไม่ได้เดินย้อนกลับไปทางเดิม

การส่งมอบของขวัญเสร็จเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ครึ่งชั่วยาม เฉินผิงอันเดินอ้อมไปไกลกว่าเดิมเล็กน้อย เดินไปตามมุมที่เงียบสงบของสำนักศึกษา

ตอนที่เดินผ่านหอพัก เฉินผิงอันก็เห็นว่าหลี่ไหววิ่งเข้ามาหาเขาด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ เพียงลำพัง

เห็นหน้าเฉินผิงอันแล้ว หลี่ไหวก็เพิ่มความเร็วฝีเท้า พูดอย่างเร่งร้อนว่า “เฉินผิงอัน ข้าจะมาถามคำถามเจ้าข้อหนึ่ง ไม่อย่างนั้นข้านอนไม่หลับแน่”

เฉินผิงอันยิ้ม “เกี่ยวกับเผยเฉียน? ถามมาสิ”

หลี่ไหวพูดเสียงเบา “ตอนแรกข้ารู้สึกว่าเผยเฉียนแค่คุยโว แต่ข้ายิ่งฟังกลับยิ่งรู้สึกว่าเผยเฉียนร้ายกาจมาก เฉินผิงอัน เจ้าช่วยบอกความจริงแบบที่ควักใจมาพูดกับข้าสักคำ เผยเฉียนเป็นองค์หญิงที่พลัดพรากมาอยู่ในหมู่ชาวบ้านจริงหรือ?”

เฉินผิงอันจินตนาการได้เลยว่าตอนที่เผยเฉียนพูดเรื่องเหลวไหลพวกนี้ นางต้องตีหน้าเคร่ง แต่ในใจแอบหัวเราะสนุกสนาน ไม่แน่ว่าอาจจะหัวเราะเยาะหลี่ไหวสามคนที่ยอมเชื่อนางว่าเป็นคนโง่อีกด้วย

อย่าว่าแต่หลี่ไหวเลย ตอนนั้นแม้แต่มือปราบสามคนของเมืองหูเอ๋อร์ริมชายแดนต้าเฉวียนที่มีประสบการณ์โชกโชนก็ยังถูกเผยเฉียนที่พูดจาส่งเดชหลอกให้ตกอกตกใจ หลี่ไหว หลิวกวาน หม่าเหลียนสามคนเป็นแค่เด็กตัวสูงเท่าก้น ไม่หลงกลนางสิถึงจะแปลก

เพียงแต่การเล่นสนุกอย่างไร้เดียงสาระหว่างเด็กๆ เช่นนี้ เฉินผิงอันไม่คิดจะขัดอารมณ์ ไม่มีทางเปิดโปงคำคุยโวของเผยเฉียนต่อหน้าหลี่ไหว

—–