ตอนที่ 26 จอมเทพศักดิ์สิทธิ์และกู่ฉี โดย Ink Stone_Fantasy
การต่อสู้ครั้งนี้ ชางฉงเทียนอวิ๋นและสิงหั่วสวินอีต่างก็ตกอยู่ในการต่อสู้อันยากลำบาก การต่อสู้แปดยกก่อนหน้านี้ พวกเขาล้วนมิได้เปลืองแรงเช่นนี้มาก่อน
ร่างกายของชางฉงเทียนอวิ๋นแข็งแกร่ง ในระดับเดียวกันก็จัดว่าหาได้ยากยิ่งนัก การโจมตีต่อสู้ประชิดตัวของเขาก็โหดร้ายรุนแรงอย่างยิ่งเช่นเดียวกัน หลังได้รับการชี้แนะจากปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่เช่น ประมุขวังเจียงฝู่และคนอื่นๆ แล้ว ร่างกายของเขาและการต่อสู้ประชิดตัวก็ล้วนเพียงพอจะเทียบกับระดับเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าได้แล้ว แต่เขาก็มีข้อบกพร่องที่เห็นได้ชัดมาก…นั่นก็คือวิถีการเคลื่อนไหวค่อนข้างอ่อนแอในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ของเขา ความเร็วด้านวิถีกายของผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์หลายคนล้วนสามารถเหนือกว่าเขาได้ เนื่องจากข้อบกพร่องชัดเจนเกินไป พลังโดยรวมของเขานับได้ว่าเป็นระดับเจดีย์ดาวชั้นที่สี่ระดับยอด
ขณะที่รับมือคู่ต่อสู้คนอื่นๆ ตอนนั้นชางฉงเทียนอวิ๋นก็ทำอย่างง่ายๆ โดยการโจมตีในระยะไกลเสียเลย
เมื่อกระแทกออกไปหมัดหนึ่ง แม้จะเป็นการโจมตีในระยะไกล ก็เพียงพอจะเอาชนะคู่ต่อสู้ได้แล้ว
น่าเสียดายที่กลับไม่มีประโยชน์ต่อสิงหั่วสวินอีเลย
ศาสตร์โบราณเขตลวงของสิงหั่วสวินอีนั้นไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง แม้ชางฉงเทียนอวิ๋นจะสามารถฝืนต้านทานเอาไว้ได้ แต่กลับมักจะแบ่งสมาธิไปเป็นประจำ เมื่อพลังได้รับผลกระทบ ที่สำคัญที่สุดก็คือ อานุภาพการทำลายล้างของ ‘ฟองแตกสลาย’ แข็งแกร่งยิ่งนัก สามฟองที่ทับซ้อนต่อเนื่องกันเพียงพอจะทำร้ายพลังชีวิตของชางฉงเทียนอวิ๋นให้เสียหายได้อย่างแท้จริง ฟองแต่ละฟองปกคลุมชางฉงเทียนอวิ๋นเอาไว้ เขากระแทกออกไปอย่างโมโหครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ขณะที่กระแทกออกไป ฟองก็จะทำร้ายเขาจนได้รับบาดเจ็บเช่นกัน
ที่สำคัญที่สุดก็คือ แต่ละฟองล้วนมีผลในการพันธนาการทั้งสิ้น
การโจมตีระยะไกลของเขาล้วนมิอาจทำให้ ‘ฟอง’ แตกสลายไปได้ การต่อสู้ประชิดตัวของเขาก็มิอาจเข้าใกล้สิงหั่วสวินอีได้ จึงทำได้เพียง ‘เผาผลาญ’ อย่างต่อเนื่องเท่านั้น
“แตกสิ แตกสิ” ชางฉงเทียนอวิ๋นคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว เขาโจมตีฟองที่เข้ามาพันธนาการไม่หยุดอย่างบ้าคลั่ง ฟองโลกาเข้ามาไม่ขาดสาย ทำให้ชางฉงเทียนอวิ๋นรู้สึกทนรับได้ยากยิ่งนัก เขาบุกสังหารออกไปเป็นครั้งคราว แขนขยายออกไปโจมตีสิงหั่วสวินอี ฟองใหม่ก็ร่อนลงมาอีก
สิงหั่วสวินอีก็ระมัดระวังมาก
เพราะหากปะทุออกมา การโจมตีของชางฉงเทียนอวิ๋นรุนแรงเกินไป เกรงว่าเพียงกระบวนท่าหนึ่ง เขาก็อาจจะต้องกระตุ้นสมบัติล้ำค่าคุ้มกายขึ้นมาใช้ เช่นนั้นก็เท่ากับพ่ายแพ้แล้ว
“ร่างกายของเขาก็แข็งแกร่งเกินไปแล้ว” สิงหั่วสวินอีก็รู้สึกว่ากินแรงนัก ‘ฟองแตกสลาย’ เป็นกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา ต้องทุ่มเทอย่างสุดกำลังจึงจะสามารถสำแดงฟองโลกาสามฟองออกมาพร้อมกันได้ ทว่าระดับนี้ก็แค่ทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บได้อย่างพอถูไถเท่านั้น! ความแข็งแกร่งของร่างกายระดับนี้ช่างเย้ยฟ้ายิ่งนัก
การต่อสู้ยกนี้ สิงหั่วสวินอีระมัดระวังมาโดยตลอด มิให้ชางฉงเทียนอวิ๋นเข้าประชิดตัวได้
ส่วนชางฉงเทียนอวิ๋นนั้นราวกับสัตว์ร้ายที่ไร้เทียมทาน เขาก็มิกล้าทำให้ร่างกายใหญ่โตเกินไป เพราะยิ่งร่างกายใหญ่ขึ้น การป้องกันของร่างกายก็จะลดลง ต้องคงร่างกายให้มีขนาดปกติจึงจะมีการป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุด บางครั้งแขนของเขาก็ขยายออกไปหมายจะโจมตีอย่างกะทันหัน
ผ่านไปถึงชั่วจอกชาหนึ่ง
พลังชีวิตของชางฉงเทียนอวิ๋นก็ถูกเผาผลาญไปไม่หยุด ในที่สุดก็ยอมแพ้ไปเอง
“แพ้แล้ว” ชางฉงเทียนอวิ๋นพึมพำ “จากนี้ไปจะต้องคิดหาวิธีทำให้วิถีกายของข้ายกระดับขึ้นอย่างรวดเร็วแล้ว”
ที่ผ่านมาเขาทุ่มเทจิตใจไปกับศาสตร์ลับร่างจักรวาลสิบสองกัลป์ที่เขาได้มาด้วยความบังเอิญ นี่คือศาสตร์ลับของระบบการบำเพ็ญพลรบซึ่งแกร่งที่สุด เป้าหมายของศาสตร์ลับนี้ก็คือใฝ่หาร่างกายที่มีการป้องกันแข็งแกร่งอย่างยิ่งชนิดที่หมื่นกัลป์ไม่แตกสลาย ยิ่งใฝ่หาร่างกายขั้นสุดมากเท่าใด การป้องกันก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น การโจมตีแต่ละกระบวนท่าก็ล้วนแต่แข็งแกร่งมาก เพียงแต่ความเร็วของร่างกายกลับกลายเป็นอ่อนแอมาก นี่ก็คือจุดอ่อนของศาสตร์ลับนี้
“พวกประมุขวังเจียงฝู่ แม่ทัพเทียนกวงและผู้อาวุโสตงป๋อล้วนเคยพูดว่า บำเพ็ญระบบอื่นควบคู่กัน ก็จะสามารถเสริมข้อบกพร่องนี้ได้” ชางฉงเทียนอวิ๋นพึมพำ เวลาหมื่นปีนั้นสั้นเกินไป เขาต้องการเวลาบำเพ็ญที่ยาวนานยิ่งกว่านี้ เชื่อว่าขอเพียงเสริมข้อด้อยนี้ได้ ก็จะนับว่ามีพลังระดับเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าทันที
“ชางฉงเทียนอวิ๋น คิดไม่ถึงว่าร่างกายของเจ้าจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ นับถือๆ” สิงหั่วสวินอีรู้สึกนับถือจริงๆ ‘จักรพรรดิสิงหั่ว’ บิดาเขา นอกจากมีชื่อเสียงด้านเปลวเพลิงเป็นที่สุดแล้ว ความแข็งแกร่งของร่างกายระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เก้าก็มีชื่อเสียงมากเช่นกัน ดังนั้นสิงหั่วสวินอีซึ่งบำเพ็ญตามระบบสายโลหิต จึงนับว่ามีร่างกายที่ค่อนข้างแข็งแกร่งเช่นเดียวกัน
แต่เมื่อเทียบกับชางฉงเทียนอวิ๋นแล้ว ก็ด้อยกว่ามากนัก
เขารู้ว่าชางฉงเทียนอวิ๋นจะต้องมีศาสตร์ลับที่ร้ายกาจอย่างแน่นอน แต่ศาสตร์ลับจะนับเป็นอะไรได้เล่า เขา สิงหั่วสวินอีสามารถได้ศาสตร์ลับมากมายมาได้อย่างง่ายดาย บุคคลสำคัญของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ล้วนสามารถได้รับศาสตร์ลับระดับจักรวาล แต่สุดท้ายแล้วผลสำเร็จจะเป็นเช่นไรนั้น ท้ายที่สุดก็ต้องอาศัยตัวผู้บำเพ็ญไปบำเพ็ญเองอยู่ดี
“ข้านับถือเจ้ามากกว่า ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงหมื่นปีกลับสามารถยกระดับขึ้นได้มากมายถึงเพียงนี้ ข้ายอมแพ้ทั้งปากทั้งใจ” ชางฉงเทียนอวิ๋นกล่าว
……
แม้สิงหั่วสวินอีและชางฉงเทียนอวิ๋น ผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์สองคนซึ่งโดดเด่นที่สุดในงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราครั้งนี้จะกำลังสนทนากันและเดินลงจากเวทีพร้อมกัน
แต่บนแท่นสูง บรรดายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนก็อดมองไปทางชายหนุ่มอาภรณ์ขาวซึ่งนั่งอยู่ริมสุดของห้าปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่แวบหนึ่งมิได้ พวกเขาต่างก็รู้ว่างานชุมนุมใหญ่ดวงดาราครั้งนี้ ชื่อของตงป๋อเสวี่ยอิงจะต้องแพร่สะพัดไปในหมู่ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนอย่างแน่นอน เพราะผลงานของเขาโดดเด่นมากจริงๆ
นอกจากนี้ยังมีปริศนามากมาย
สิงหั่วสวินอีมีเบื้องหลังเช่นนั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับสามารถทำให้เขาก้าวหน้าได้มากมายถึงเพียงนั้นในเวลาสั้นๆ เพียงหมื่นปีเลยหรือ จากอันดับที่สามพันหกร้อยกว่าในการคัดเลือกเบื้องต้นของเจดีย์ดาว จนกลายเป็นอันดับหนึ่งของศึกตัดสินในท้ายที่สุด! ช่างน่าเหลือเชื่อนัก!
“ตงป๋อเสวี่ยอิง” น้ำเสียงเฉียบคมลอยมาจากด้านข้าง
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไป
บรรพชนงูอู่เจ๋อที่อยู่ไกลออกไปด้านข้างยังคงมีสีหน้าเย็นชา เพียงแต่ว่าสายตาของเขาที่มองตงป๋อเสวี่ยอิงกลับเปลี่ยนแปลงไป “ยินดีด้วย สิงหั่วสวินอีที่เจ้าเลือกกลายเป็นอันดับหนึ่งของครั้งนี้จนได้”
“เป็นเพราะตัวเขาเองมีการรับรู้ที่สูงส่งน่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ ทันที เขาก็เข้าใจว่า ด้วยนิสัยของบรรพชนงูอู่เจ๋อแล้ว สามารถเข้ามา ‘แสดงความยินดี’ ด้วยตนเองได้สักประโยคหนึ่งก็หาได้ยากมากแล้ว
บรรพชนงูอู่เจ๋อพูดจบก็หันไปมองเบื้องล่างต่อไป
ผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์สองร้อยคนด้านล่างกำลังได้พลังกลับคืนมา บางคนที่อาการสาหัสก็ยังมียอดฝีมือของงานชุมนุมใหญ่แห่งเจดีย์ดาวเตรียมการรักษาให้
ไม่นานนัก
พวกเขาแต่ละคนก็มุ่งหน้าไปยังเจดีย์ดาวตามลำดับ เพื่อบุกฝ่าเจดีย์ดาว
ผลงานจาก ‘ศึกตัดสิน’ และผลงานจากการบุกฝ่าเจดีย์ดาวสองครั้ง รวมทั้งผลงานจากการขอคำชี้แนะจากปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ในหมื่นปีถัดไป ห้าปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่จะเลือกอีกห้าคนออกมาจากปัจจัยต่างๆ เมื่อรวมกับห้าอันดับแรกจากศึกตัดสิน เป็นทั้งหมดสิบคน พวกเขาสามารถเลือกเข้าร่วมสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งใดก็ได้ในหกแห่งตามใจ และจะกลายเป็นคนสำคัญที่ได้รับการบ่มเพาะอย่างสุดกำลัง
เพียงสองร้อยคน จึงบุกฝ่าเจดีย์ดาวได้รวดเร็วมาก
ระดับเจดีย์ดาวชั้นที่สี่ในครั้งนี้มีถึงสามคน ได้แก่ สิงหั่วสวินอี ชางฉงเทียนอวิ๋นและคั่งหย่ง
ระดับเจดีย์ดาวชั้นที่สามมีหนึ่งร้อยหกสิบเก้าคน ที่เหลืออีกยี่สิบแปดคนล้วนเป็นระดับเจดีย์ดาวชั้นที่สอง
“ตงป๋อ เตรียมตัวให้ดี อีกหมื่นปีให้หลังพวกเจ้ายังต้องสอนวิชาอย่างเปิดเผยอีก” คนทั้งหมดเริ่มลุกขึ้นแล้วจากไป จักรพรรดิสิงหั่ว ตงป๋อเสวี่ยอิงและประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์บินไปเคียงข้างกัน
“ขอรับ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างมาก
หมื่นปีถัดไปค่อยเลือกอีกคนก็เป็นอันใช้ได้ แม้อันดับนี้จะสำคัญมาก แต่ความยากกลับไม่มากนัก ถึงตอนนั้น เขาและปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่อีกสี่คนก็จะสอนวิชาให้เหล่าผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนอย่างเปิดเผย ก็นับว่าเป็นโอกาสอันงามของผู้บำเพ็ญที่อ่อนแอจำนวนนับไม่ถ้วน หลังจากสอนเสร็จแล้ว งานชุมนุมใหญ่ก็จะยุติลงอย่างเป็นทางการ
“อย่างน้อยในงานชุมนุมใหญ่ครั้งนี้ก็มิได้ทำให้วังทวีสูญของข้าเสียหน้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ บนใบหน้าก็มีรอยยิ้มประดับเอาไว้
……
งานชุมนุมใหญ่ดวงดาราดำเนินมาถึงช่วงท้ายแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงแห่งวังทวีสูญก็ถูกพูดถึงในหมู่ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนทั้งหลาย และในเวลานี้เอง โลกทิพย์นิจนิรันดร์กลับมีเรื่องที่ทำให้โลกทิพย์ทั้งห้าและอากาศอันสับสนอลหม่านสะท้านสะเทือนเกิดขึ้น
ณ โลกทิพย์นิจนิรันดร์ ภายในภูเขาลึกแห่งหนึ่งมีลานแห่งหนึ่งอยู่
“วิ้ง…”
คลื่นทุ้มต่ำระลอกหนึ่งแพร่ออกไปจากในลาน ดูเหมือนจะไม่สะดุดตานัก
แต่ทั้งลานกลับกลายเป็นซากปรักหักพังไปอย่างไร้สุ้มเสียง ก้อนหินและต้นไม้ใบหญ้ารอบด้านก็เหี่ยวเฉาและพังทลายลงเช่นกัน แต่นี่ก็แค่แสดงให้เห็นถึงความซ่อนคมอย่างสุดขีดของอานุภาพนี้เท่านั้น
บุรุษผมเงินผู้มีเขาสีทอง‘กู่ฉี’ ยืนอยู่กลางลานที่กลายเป็นซากปรักหักพัง ร่างกายของเขาเหมือนจะแตกออกเป็นร้อยๆ เสี้ยว เศษเสี้ยวเหล่านี้ประสานเข้าด้วยกันแล้วกลายเป็นร่างมนุษย์ เพียงแต่บริเวณที่ร่างกายแตกออกกลับมีแสงสีดำขึ้นมา ซึ่งแสงสีดำเหล่านี้ได้แพร่สะพัดออกไปด้านนอกอย่างไม่ขาดสาย นอกจากนี้บนแผ่นอกของเขายังมีรูที่เห็นได้ชัดปรากฏขึ้นด้วย
กู่ฉีกุมรูบนแผ่นอกเอาไว้ แล้วจ้องไปเบื้องหน้าเขม็ง
เบื้องหน้ามีเงาร่างสายหนึ่งยืนอยู่
เขายืนอยู่ตรงนั้น มิติรอบด้านกลายเป็นเงียบสงบและนุ่มนวล โลกรอบด้านล้วนศิโรราบอยู่ตรงหน้าเขา แม้จะกล่าวว่าบรรพชนทิพย์และบรรพชนโลการ่วมกันสร้างโลกทิพย์นิจนิรันดร์สร้างขึ้น แต่เขาอยู่ตรงนี้ โลกรอบด้านกลับศิโรราบต่อเขา
ผิวหนังของเขาขาวซีด เส้นสายบนใบหน้าอ่อนโยน แม้รูปโฉมจะมิได้งดงาม แต่ไม่ว่าบุรุษผู้หล่อเหลาหรือสตรีโฉมงามคนใดอยู่ตรงหน้าเขาก็จะถูกเปรียบเทียบ…รูปโฉมของเขาเหมือนจะแฝงไว้ด้วยกฎเกณฑ์อันสูงส่งส่วนหนึ่งของอากาศอันสับสนอลหม่าน เมื่อเห็นรูปโฉมของเขา ก็เหมือนกับเชยชมกฎเกณฑ์อันสูงส่ง ต่อให้เป็นบรรดาเทพจักรวาลก็อดที่จะรู้สึกเหมือนบุตรได้มองเห็นบิดาอย่างมิอาจควบคุมได้
บนใบหน้าของเขามีรอยยิ้มนุ่มนวล สายตาก็จริงใจนัก เกรงว่าสายตาของสามีที่ผูกสัมพันธ์เป็นสหายร่วมวิถีร่วมเป็นร่วมตายมองดูภรรยา อย่างมากที่สุดก็คงจะจริงใจได้เพียงเท่านี้เอง
“จอมเทพศักดิ์สิทธิ์!” กู่ฉีปริปากอย่างยากลำบาก น้ำเสียงแหบแห้ง ในลำคอมีแสงสีดำแผ่ซ่านไปทั่ว “เพื่อจะสังหารข้า เจ้าช่างสิ้นเปลืองความคิดจิตใจจริงๆ”
“ข้าเพียงแค่ให้เจ้ากลับคืนสู่ความอลหม่านเท่านั้น” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์นุ่มนวลและจริงใจ “ผู้ที่ขัดขวางข้าล้วนต้องกลับสู่ความอลหม่านทั้งสิ้น ส่วนผู้ที่โอนอ่อนตามข้าแล้วศิโรราบต่อข้า ในภายหน้าเมื่อข้าปกครองทั้งอากาศอันสับสนอลหม่านแล้ว ก็จะเรียกตัวเจ้ากลับมาใหม่เจ้าก็จะจงรักภักดีต่อข้าหาใดเปรียบ ถึงตอนนั้นสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนทั่วทั้งอากาศอันสับสนอลหม่านก็จะสนิทสนมกันราวกับครอบครัวเดียวกัน ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยความสงบสุขจะดีสักเพียงใดกัน”
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์เดินเข้ามาแล้วยื่นมือออกมา ฝ่ามือขาวผ่องนุ่มนวลลูบใบหน้าของกู่ฉี “ข้ามิได้มีจิตคิดสังหารเจ้า และมิได้เกลียดชังแต่อย่างใด เพียงแต่เจ้าขัดขวางข้า ข้าก็ทำได้เพียงให้เจ้ากลับคืนสู่ความอลหม่านชั่วคราวเท่านั้น ไปเถิด ก็เหมือนกับการหลับใหลนั่นแหละ ตอนที่ข้าเรียกเจ้า เจ้าก็จะตื่นขึ้นมาแล้ว”
กู่ฉีคิดจะถอยหนี แต่แสงสีดำได้แผ่ซ่านไปทั่วร่างแล้ว ร่างกายเริ่มค่อยๆ จับตัวแข็ง เขามิอาจเคลื่อนไหวได้เลย แม้แต่ปากก็มิอาจขยับได้
“เรียกข้าหรือ อาศัยแค่เจ้าก็คิดจะควบคุมทั้งอากาศอันสับสนอลหม่านอย่างนั้นหรือ” กู่ฉีควบคุมอากาศแล้วเปล่งเสียงออกมา ผิวหนังทั่วร่างของเขาเริ่มค่อยๆ กลายเป็นก้อนหินสีนิล นัยน์ตาทั้งคู่จับจ้องจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ตรงหน้า
“ไม่มีผู้ใดสามารถขัดขวางข้าได้หรอก เจ้าจะได้เห็นวันนั้นแน่ ถึงตอนนั้น เจ้าก็จะกลายเป็นบุตรชายของข้าแล้ว” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์หันมองไกลออกไป
ไกลออกไปมีเงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้น
บรรพชนทิพย์ยืนอยู่ตรงนั้น โซ่สีดำเส้นแล้วเส้นเล่ารายล้อมอยู่รอบกายเขา เห็นได้ชัดว่าเตรียมการขั้นสุดเอาไว้แล้ว เขาจ้องมองจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ไกลออกไป
“เรื่องที่ข้าจะทำ มิมีผู้ใดสามารถขัดขวางได้ เจ้าเองก็มิอาจขัดขวางได้เช่นเดียวกัน” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์มองบรรพชนทิพย์ “ผู้ที่ขัดขวาง แม้ข้าจะไม่อดทน แต่กลับทำได้เพียงให้เขากลับสู่ความสับสนอลหม่านไปก่อนชั่วคราวเท่านั้น”
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ยิ้ม
แล้วก็หายวับไปในโลกทิพย์นิจนิรันดร์เช่นนี้เอง ราวกับไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน
สีหน้าของบรรพชนทิพย์ไม่น่ามองเอาเสียเลย เขาหันไปมองกู่ฉีซึ่งกลายเป็นรูปหยกสลักไป พลางทอดถอนใจเสียงต่ำว่า “กู่ฉี ข้าไม่สามารถรักษาท่านเอาไว้ได้”
กู่ฉีกลายเป็นรูปหยกสลัก วิญญาณก็แข็งค้างไปด้วย ความคิดก็เชื่องช้าลงอย่างรวดเร็ว
“ยังดีที่ข้ามีศิษย์แล้ว”
“เพียงแต่ศิษย์ของข้ายังมิทันได้มาพบท่านเลย”
ความคิดของกู่ฉีช้าลงเรื่อยๆ
ในที่สุดก็หยุดลงอย่างสิ้นเชิง
รูปหยกสลักสีดำไม่มีระลอกคลื่นใดอีกต่อไป ราวกับวัตถุที่ตายไปแล้วอย่างสมบูรณ์ซึ่งยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบเชียบ สายตาทอดมองไกลออกไป
……
ในที่สุดกู่ฉีก็ถูกจอมเทพศักดิ์สิทธิ์สังหารไป
บรรพชนทิพย์แจ้งข่าวนี้ให้ ‘บรรพชนห้วงอากาศ’ อาจารย์ของกู่ฉีทราบก่อน เมื่อบรรพชนห้วงอากาศทราบข่าวก็ตะลึงงันไปอย่างสิ้นเชิง เขานั่งอยู่คนเดียวลำพังนานแสนนาน เขามีเพียงความรู้สึกเจ็บปวดใจและตำหนิตนเอง ที่เจ็บปวดใจก็เพราะมิอาจลืมวันคืนที่ชี้แนะกู่ฉีลงได้ ศิษย์ผู้รักอิสรเสรี ซึ่งเป็นศิษย์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเขา คนนั้น ที่ตำหนิตนเองก็เพราะอ่อนแอเกินไปจนมิอาจปกป้องศิษย์ได้ หลังจากนั้นติดๆ ข่าวก็ย่อมแพร่ออกไปในหมู่สิ่งมีชีวิตระดับยอดสุดทั้งหลายอย่างรวดเร็ว สิ่งมีชีวิตระดับยอดสุดทั้งหมดต่างก็ล่วงรู้
แม้จะมีบรรพชนทิพย์ขัดขวาง แต่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ยังคงสังหารเทพจักรวาลไปคนหนึ่งอยู่นั้นเอง ครั้งนี้เทพจักรวาลที่โดนดีมีนามว่า ‘กู่ฉี’
…………………….