ทุกวันของชีวิตจะเริ่มต้นในตอนเช้าตรู่
แดนกวนจงในเดือนหกขณะที่ดวงอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้า
คลื่นลมอันแสนอ่อนล้ากำลังซัดสาดไปทั่วพื้น ระฆังโบราณของสถานศึกษาอันนั้นก็ยังคงดังขึ้นตามกฎเหมือนดั่งเคย แม้ว่าจะก่อตั้งเป็นเวลาไม่นานนัก สถานศึกษาอวี้ซันกลับมีกลิ่นอายของความเรียบง่ายแบบโบราณและห่างไกลจากทางโลกอยู่หลายส่วน
มันจะไม่เปลี่ยนแปลงใดๆ อันเพราะเนื่องจากการเข้าร่วมของใครบางคน การนั่งนานๆ ในฤดูร้อนเดิมก็เป็นงานที่น่าเบื่อมาก ม้านั่งจะเปียกโชกหลังจากทุกครั้งที่เลิกชั้นเรียน ดังนั้นจึงต้องมีคนคนหนึ่งทำหน้าที่เช็ดล้างด้วยน้ำเปล่าวันละรอบทุกวัน แต่เดิมนั้นมีนักเรียนเข้าเวรทำความสะอาด แต่หลังจากที่ซ่านอิงมาแล้วการทำความสะอาดเช็ดถูโต๊ะและเก้าอี้ที่ของนักเรียนปีหนึ่งได้กลายเป็นหน้าที่หลักของเขาไป
เมื่อวานนี้เป็นเพราะเขาไม่ทันระวังไปกระแทกเข้ากับข้อศอกของหลี่โอ้วขณะที่ตักอาหารจนทำให้ชามข้าวต้มหกใส่ศีรษะของหลี่อั้น แม้ว่าจะไม่ได้เจตนาแต่เขาก็ยังถูกลงโทษให้ทำความสะอาดเช็ดถูทั้งห้องเรียนเป็นเวลาสามวัน
ส่วนเรื่องเมื่อครั้งก่อน เป็นขณะที่เขากำลังหาบน้ำ ตะขอบนคานหาบจู่ๆ ก็หลุดจากถังน้ำและสะบัดกระเด็นออกไปติดอยู่ที่บั้นท้ายของเมิ่งปู้ถงซึ่งก็ดูเหมือนว่าค่อนข้างจะอาการหนักอยู่ เมิ่งปู้ถงต้องนอนคว่ำอยู่บนเตียงถึงสองวันก่อนจึงลุกขึ้นได้ หลังจากนั้นมาทุกครั้งพี่พบซ่านอิงเขาจะเอามือกุมบั้นท้ายและอยู่ให้ห่างๆ เขาเข้าไว้
สำหรับเคราะห์กรรมที่หลี่ไท่ได้รับในระหว่างคาบเรียนศิลปะการต่อสู้นั้นมากพอที่จะทำให้ผู้พูดรู้สึกเศร้าและผู้ฟังน้ำตาตก เดิมทีนั้นได้รวบรวมเหล่ายอดฝีมือจำนวนมากเตรียมที่จะเบ่งบารมีให้เด็กนักเรียนใหม่ได้เปิดหูเปิดตา ใครจะรู้ผ่านไปเพียงสิบห้านาทีเท่านั้น เหล่ายอดฝีมือก็ลงไปนอนกองอยู่กับพื้นเป็นกองสูง และผู้ที่อยู่ล่างที่สุดก็คือหลี่ไท่
หลังจากบีบผ้าเช็ดพื้นจนแห้งแล้วจึงพาดตากไว้บนเชือกที่มุมห้อง ซ่านอิงยืดตัวตรงขขึ้น หิ้วถังไม้ขึ้นและเทน้ำสกปรกลงในบ่อแล้วเตรียมจะไปล้างถังไม้ในแม่น้ำที่อยู่หน้าประตูซึ่งนี่ก็เป็นกฎเช่นกัน
อันที่จริงเขาเป็นคนชอบทำงาน บางครั้งวันหนึ่งหากเขาไม่ได้ทำอะไรเลยเขาจะรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว ในห้องเรียนเขาเป็นเด็กที่อายุมากที่สุด กลุ่มเด็กชายอายุสิบเอ็ดสิบสองปีที่กำลังจะโต รู้สึกนับถือเขาเป็นอย่างมากเพราะซ่านอิงมีความสามารถปกป้องพวกเขาได้ ไม่เพียงแต่เอาชนะนักเรียนระดับชั้นที่สูงกว่าซึ่งชอบวางอำนาจจนหนีหัวซุกหัวซุน แต่ยังแย่งงานไปทำให้อีก คนประเภทนี้หากไม่ยกให้เป็นลูกพี่แล้วจะให้ใครเป็นกัน
ดังนั้นในกระเป๋านักเรียนของซ่านอิงจึงไม่เคยขาดขนมหวานนานาชนิด ซึ่งนี่เป็นของที่เหล่านักเรียนชั้นปีที่ต่ำกว่ากลับบ้านและตั้งใจนำมาฝากเขาโดยเฉพาะ แต่ละคนทำตัวเหมือนขโมยเพราะสถานศึกษาไม่อนุญาตให้นักเรียนนำอาหารมาจากบ้าน บ่อยครั้งที่จะถูกริบเอาไป ซึ่งผู้ที่คุมควบดูแลตามกฎข้อนี้ก็คือเหล่าคุณชายจอมเสเพลซึ่งเป็นรุ่นพี่ที่ชั้นปีสูงกว่า โดยมักจะไม่ไว้หน้าใครทั้งสิ้น สำหรับอาหารที่ถูกค้นพบจะหายไปไหนนั้นสถานศึกษาไม่เคยถามถึง
ไม่มีใครกล้าที่จะค้นกระเป๋านักเรียนของซ่านอิง หลังจากคราวที่แล้วคนที่ค้นเจอขนมถูกประตูหนีบมือก็ไม่มีใครกล้าค้นกระเป๋านักเรียนของเขาอีกเลย ดังนั้นทั้งสถานศึกษาจึงมีเพียงเขาคนเดียวที่สามารถนำอาหารจากบ้านมายังสถานศึกษาได้ ดังนั้นบรรดาน้องๆ ทั้งหลายจึงพากันขอร้องเขา แม้ว่าจะต้องแบ่งไปครึ่งหนึ่งก็ตาม แต่ซ่านอิงก็มองว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว พ่อของพ่อของพ่อของเขาเป็นหัวหน้าโจรที่นั่งรอคอยการแบ่งส่วน แล้วตนเองจะเป็นข้อยกเว้นได้อย่างไร
หลังจากที่หลี่ไท่เสียเปรียบครั้งใหญ่ก็เรียนรู้ที่จะทำตัวให้เรียบร้อยขึ้น ตั้งใจเชิญให้ซ่านอิงเข้าลองฝ่าเขาวงกตโดยเฉพาะเพื่อเป็นการขอโทษที่ตนเองหัวเราะเยาะซ่านอิง ซึ่งจะเชิญทุกๆ เจ็ดวัน หลังจากการเชิญแต่ละครั้งเขาจะมอบยารักษาแผลขวดใหญ่ให้อีกด้วย ทั้งยังไปขอให้เมิ่งปู้ถงไปช่วยทายาให้โดยเฉพาะ นี่เป็นยาน้ำที่อาจารย์ซุนปรุงขึ้นเป็นพิเศษ หากต้องการกระจายฤทธิ์ยาจะต้องถูอย่างแรง ซึ่งเมิ่งปู้ถงก็ออกแรงอย่างเต็มที่ บางครั้งยังกัดฟันออกแรงถูอีกด้วย แม้จะรู้ว่าสองคนนี้ไม่มีเจตนาดีแต่ซ่านอิงก็ยังเต็มใจที่จะรับคำเชิญ
เรื่องทั้งหมดนี้ก็อยู่ในสายตาของอวิ๋นเยี่ย แต่เขาก็ไม่ได้เข้าไปห้าม ซ่านอิงจะต้องปรับตัวเรื่องการใช้ชีวิตร่วมกัน มุมมองการใช้ชีวิต ประสบการณ์ และการวิเคราะห์ถูกผิดของเด็กคนนี้มีการเบี่ยงเบนอย่างรุนแรง ซึ่งก็คงยากที่จะแก้ไขให้ถูกต้อง มีเพียงกาลเวลาเท่านั้นที่บางทีอาจจะค่อยๆ รักษาบาดแผลที่เขาเคยประสบมาได้
ตอนนี้อวิ๋นเยี่ยไม่มีเวลามาวิเคราะห์เรื่องการอบรมสั่งสอนซ่านอิง เขามีบุคคลสำคัญมากคนหนึ่งที่จะต้องรอต้อนรับ ยอดคนท่านหนึ่งที่สามสิบเอ็ดครอบครัวในหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นร่วมกันลงนามแนะนำ ได้ยินว่าเป็นยอดอัจฉริยะที่หาตัวจับได้ยากที่ไม่ขาดตกบกพร่องใดๆ เลยทั้งในด้านความรู้และคุณธรรม
ตอนนี้แต่ละครอบครัวในหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นล้วนแล้วแต่เป็นพวกสายตาสูงส่ง หากพบคนนอกหมู่บ้านพวกเขาก็ขี้เกียจที่จะทักทาย แต่กลับมีบุคคลท่านนี้ที่ได้รับความนิยมชมชอบจากพวกเขาทุกคน ทั้งยังไปหาคนที่บ้านเพื่อขอให้พาไปพบท่านย่าเป็นกรณีพิเศษอีกด้วย ต้องบอกว่าได้รับเกียรติไม่น้อย
อย่างไรเสียก็ต้องไว้หน้าแต่ละครอบครัวในหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นบ้าง หากไม่ต้องการที่จะให้ตระกูลอวิ๋นถูกมองว่าดูถูกพวกเขา ดังนั้นอวิ๋นเยี่ยจำเป็นต้องพบคนคนนี้ ทั้งยังห้ามเสียมารยาทด้วย เพื่อเข้าเรียนในสถานศึกษา บ้างก็มีผู้ที่คุกเข่าเป็นเวลานานอยู่ด้านหน้าประตู บ้างก็วางอำนาจบาตรใหญ่ บ้างก็ดูถูกเหยียดหยาม สำหรับผู้ที่อาศัยสัมพันธภาพของคนที่รู้จักกันโดยผ่านเหล่าครอบครัวในหมู่บ้านอย่างเป็นทางการก็มีท่านนี้แหละเป็นคนแรกที่ทำ
ชายหนุ่มผู้สุภาพเรียบร้อย ชุดผ้าป่านสีน้ำเงินที่ถูกซักจนซีด ชายแขนเสื้อเริ่มเป็นขุยขนแล้ว สวมรองเท้าฟาง ถึงแม้ว่าจะดูเรียบง่าย แต่ลายปักบนรองเท้าฟางนั้นกลับดูดีกว่าคนอื่นๆ เกล้าผมขึ้นไปอย่างพิถีพิถัน และใช้ผ้าป่านเส้นหนึ่งผูกไว้ ดูท่าทางแล้วเหมือนจะถูกฉีกออกจากเสื้อผ้า หากตอนนี้อวิ๋นเยี่ยถกเสื้อของเขาขึ้นมา คงจะได้เห็นเนื้อผ้าส่วนใดส่วนหนึ่งขาดหายไปเป็นชิ้นใหญ่แน่นอน
แต่สิ่งที่ดึงดูดสายตาของอวิ๋นเยี่ยมากที่สุดคือดวงตาคู่นั้นที่กลิ้งกลอกไปมาอยู่ในเบ้าตา ซึ่งไม่ค่อยจะหยุดนิ่งอยู่ที่ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง ซึ่งนี้ไม่ใช่คนที่จะไว้เนื้อเชื่อใจได้ ถ้วยน้ำของอวิ๋นเยี่ยถูกเจ้าหนุ่มคนนี้รินเพิ่มให้ถึงแปดครั้งแล้ว ซึ่งที่จริงแล้วเพียงแค่จิบเพียงคำเดียวเขาก็จะรินเพิ่มหนึ่งครั้ง
ในช่วงเวลานั้นอวิ๋นเยี่ยไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ ไม่ใช่เพราะเขาไม่อยากพูดแต่เขาไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นตรงไหนดี กระดาษคำตอบที่สถานศึกษาใช้ในการทดสอบนักศึกษาใหม่จนถึงตอนนี้ก็ยังคงว่างเปล่า ซึ่งก็หมายความว่าเจ้าหนุ่มคนนี้ทำอะไรไม่เป็นเลย ทำไมเพียงแค่คำปฏิเสธนั้นจะเอ่ยออกจากปากได้ยากถึงเพียงนี้
ที่ด้านล่างสุดของกระดาษคำตอบเขียนไว้เพียงสุภาษิตบทหนึ่งว่า ‘โลกไม่มีวันหยุดนิ่ง คนเราควรรู้จักปรับตัวไปตามกาลเวลา ไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่จะพัฒนาตนเอง!’
“เจ้ารู้ความหมายของประโยคนี้หรือไม่” หลังจากครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วอวิ๋นเยี่ยจึงเอ่ยปากถาม
“ผู้เยาว์พอจะรู้อยู่บ้าง ความหมายก็คือ เมื่อสวรรค์ได้ลิขิตไว้แล้ว พวกเราควรคิดว่านี่คือการผายลม แน่นอนว่าควรปิดจมูกและปากของเรา ทนกลั้นหายใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วมันจะผ่านพ้นไป อาจารย์คิดว่าคำตอบของผู้เยาว์นั้นเป็นเช่นไร” ชายหนุ่มมองอวิ๋นเยี่ยอย่างตั้งตารอคอย
อวิ๋นเยี่ยนั้นสีหน้าค่อนข้างบึ้งตึง แล้วมองไปที่บรรทัดนั้นที่พอจะเขียนได้ตามหลักเกณฑ์การเขียนอักษรพู่กัน แล้วมองไปที่ใบหน้าของชายหนุ่มผู้ตั้งตารอคอย พยายามฝืนระงับอารมณ์และถามอีกครั้งว่า “เจ้าเคยเรียนหนังสือมาก่อนหรือไม่ ท่านใดคืออาจารย์ ข้าอยากพบคนคนนี้”
“ผู้เยาว์ไม่เคยเรียนหนังสือมาก่อน ประโยคนี้ผู้เยาว์ได้ยินมาจากปากของคุณชายตระกูลจาง ฟังดูแล้วมีพลังน่าเกรงขามมากจึงได้จดจำไว้ ไม่เข้าใจถึงความหมายที่แท้จริง จึงไปถามคุณชายตระกูลจาง คุณชายก็ได้อธิบายให้ผู้เยาว์ฟังดังนี้ ผู้เยาว์จึงจดจำขึ้นใจและไม่กล้าลืม” พูดพลางหันไปประสานมือโค้งคำนับทางประตูราวกับกำลังขอบคุณเจ้าขยะตระกูลจาง
“เจ้าไม่ใช่ลูกหลานของผู้มีชาติตระกูลอย่างนั้นหรือ” อวิ๋นเยี่ยถามเขาอีกครั้ง ลูกหลานผู้มีชาติตระกูลของต้าถังไม่ควรจะถูกคนทำให้เหลวแหลกได้ถึงเพียงนี้ มีเหตุผลเพียงข้อเดียวที่ทำให้ตระกูลจางกล้าดูถูกผู้มีความรู้ถึงเพียงนี้นั่นก็คือชายหนุ่มคนนี้อยู่ในสถานะชนชั้นต่ำ
คิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มจะหยิบเอกสารทะเบียนราษฎร์ออกมาจากอกเสื้อด้วยสีหน้าอันแดงก่ำและพูดเสียงดังว่า “ผู้เยาว์เป็นลูกหลานผู้มีตระกูลตั้งแต่เดือนที่แล้ว แม่ของข้าก็เช่นกัน เป็นตั้งแต่เดือนที่แล้ว นี่เป็นเอกสารที่ทางที่ว่าการฉางอันมอบให้”
อวิ๋นเยี่ยจับข้อสงสัยได้จากคำพูดของเขาแต่ไม่พูดอะไรแล้วรับเอกสารมา เปิดออกอ่านเป็นไปตามที่คาดไว้ นี่เป็นเอกสารประกาศเลิกฐานะทาสซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อเดือนที่แล้ว ทว่าข้อความบนเอกสารนั้นทำให้อวิ๋นเยี่ยต้องตกตะลึง
เพื่อให้ได้มาซึ่งสถานะของหญิงชราที่ขาเน่าและมีเงินเพียงแปดร้อยเหวิน ชายหนุ่มชวีจั๋วได้ทำงานในตระกูลจางพ่อค้าข้าวมานานกว่าสิบปี ไม่รู้ว่าทำไมตอนนั้นชวีจั๋วจึงต้องเซ็นสัญญาเช่นนี้ แต่เมื่ออ่านจากสัญญาเขาที่อายุแปดขวบในตอนนั้นควรจะเป็นลูกหลานของผู้มีตระกูลแต่ไม่ใช่ทาส
ชาติกำเนิดของเขานั้นควรค่าแก่การเห็นอกเห็นใจ แต่ความรู้ของเขายังห่างไกลจากมาตรฐานการรับเข้าเรียนของสถานศึกษามากนัก หากใจอ่อนชั่วขณะแล้วยอมรับเขาไว้มันจะไม่ยุติธรรมอย่างที่สุดสำหรับนักเรียนคนอื่นๆ ที่สอบเข้าเรียน
“ชวีจั๋ว ความรู้ของเจ้ายังห่างไกลเกินไป สถานศึกษาไม่สามารถรับเจ้าเข้าเรียนได้ อีกทั้งเจ้าก็ยังพลาดเวลาสอบไปแล้ว ดังนั้นเจ้ากลับไปเสียเถอะ ไปปรับพื้นฐานความรู้ของเจ้าแล้วค่อยมาใหม่อีกครั้ง”
อวิ๋นเยี่ยค่อนข้างทนดูท่าทีที่ผิดหวังของชวีจั๋วไม่ได้ จึงตั้งใจก้มหน้าลง เคราะห์กรรมที่เขาเผชิญและความเข้มแข็งของเขาได้ทำให้อวิ๋นเยี่ยมีความรู้สึกที่ดีสำหรับเขาพอสมควร
เขาไม่ได้ยินเสียงถอนหายใจของความผิดหวังและไม่ได้ยินเสียงร้องไห้ มีเพียงเสียงแสดงความดีใจ อวิ๋นเยี่ยประหลาดใจจนเงยหน้าขึ้นและพบว่าชวีจั๋วกำลังหัวเราะอย่างมีความสุข ไม่เศร้าโศก เพียงแต่กำลังดีใจและหัวเราะอย่างใสซื่อ
บางทีอาจเป็นเพราะเห็นสีหน้าอวิ๋นเยี่ยที่แปลกประหลาดใจ ชวีจั๋วพูดเสียงดังว่า “อาจารย์ สถานศึกษาอวี้ซันเป็นสถานศึกษาที่ดีที่สุดในต้าถังและเป็นสถานศึกษาหลวงด้วย ท่านบอกว่าข้าถูกปฏิเสธเพราะไม่มีความรู้เพียงพอใช่หรือไม่”
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ เนื่องจากความรู้ของเจ้ายังไม่ผ่านเกณฑ์ ไม่ใช่ด้วยเหตุผลอื่นใด” อวิ๋นเยี่ยก็เข้าใจทันทีว่าว่าทำไมเขาถึงหัวเราะอย่างมีความสุข จึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
“ข้าไม่กลัวว่าอาจารย์จะหัวเราะเยาะ ข้ารู้จักหนังสือไม่กี่ตัว ตัวอักษรที่เขียนได้ก็ลอกมาจากบนป้ายหิน ข้ารู้ดีว่าความรู้ไม่เพียงพอ ดังนั้นผู้เยาว์จึงไม่ได้มาสมัครเป็นนักเรียน ข้าอยากทำงานเบ็ดเตล็ดในสถานศึกษา อาจารย์เห็นเป็นอย่างไร”
คำพูดนี้ทำให้อวิ๋นเยี่ยแทบอยากกระอักเลือด ตนเองตกหลุมพลางของเจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเข้าให้แล้ว แทนตัวเองว่าผู้เยาว์ทุกประโยคทำให้อวิ๋นเยี่ยเชื่อสนิทใจว่าเจ้าหนุ่มคนนี้ต้องการมาสมัครเป็นนักเรียน ใครจะรู้ว่าเขาเพียงแค่ต้องการทำงานเบ็ดเตล็ด ไม่ผ่านเกณฑ์การเป็นนักเรียน หรือจะบอกว่าจะทำงานเบ็ดเตล็ดทั่วไปก็ไม่ผ่านเกณฑ์
เมื่อปฏิเสธคนไปครั้งหนึ่งแล้ว หากจะปฏิเสธครั้งที่สองก็ไม่ค่อยดีนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าหนุ่มคนนี้ได้นำชั้นเชิงด้านประสบการณ์การหางานในยุคปัจจุบันออกมาใช้ อวิ๋นเยี่ยอยากจะเห็นว่าปีศาจน้อยประเภทนี้จะเดินอยู่ในสถานศึกษาไปได้ไกลถึงขั้นไหนกันแน่
อย่างไรเสียในสถานศึกษาตอนนี้ก็เต็มไปด้วยปีศาจมารร้าย เมื่อครู่ก็มีคนหนึ่งที่เพิ่งจะหิ้วถังน้ำผ่านไป ใต้น้ำตกก็มีคนหนึ่งชอบเล่นเหล็ก ในหอเก็บอักษรก็มีคนที่เก็บตัวในห้องสมุดที่ไม่ยอมออกไปไหนยกเว้นทานอาหาร เข้านอน และเข้าเรียน ในสถานที่ประเภทนี้มักจะมีพวกสองโง่คนที่พยายามพิสูจน์ฝีมือกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ฟากซุนซือเหมี่ยวเองก็มีอยู่คนหนึ่งที่มักจะชอบโยนเหล็กและทองแดง หรือแม้แต่ก้อนเงินที่ยืมจากอวี้ฉือเพื่อโยนลงไปในกรดซัลฟิวริกเพื่อดูว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือไม่
เมิ่งปู้ถงมองดูท้องฟ้าตลอดทั้งวัน จินตนาการว่าสักวันหนึ่งเขาจะบินได้ มองหวงสู่ที่ไปทั่วทุกหนทุกแห่งเพื่อค้นหาไผ่ทองของสุสานโบราณ หลีสือที่นั่งอยู่ในห้องเก็บโครงกระดูกไดโนเสาร์ที่คิดถึงอดีตและอนาคตของหิน จ้าวเอี๋ยนหลิงที่เอาแต่ตวงน้ำตลอดทั้งวัน ตระกูลกงซูที่ใช้ท่อนฟืนมาสร้างพระราชวังเล็กๆ
สำหรับคนบ้าที่กระโดดหน้าผาด้วยร่มชูชีพ ได้แทงเข็มไว้บนร่างกายตนเอง ฝึกแสดงการบรรยายกับต้นไม้ไม่หยุดหย่อน สำหรับสถานศึกษาแล้วตอนนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
ชวีจั๋วก้มตัวลงและหดคอเหมือนคนรับใช้ทั่วไป แต่ดวงตาของเขากลับจ้องมองชั้นวางหนังสืออย่างหิวกระหาย อวิ๋นเยี่ยจึงยิ้มเล็กน้อย ปีศาจมารร้ายก็มีจำนวนไม่น้อยแล้ว เพิ่มอีกหนึ่งจะเป็นอะไรไป