บทที่ 645 หวนคืน (2)
ภายใน ‘จักรวาลอะตอม’ นาตาชายังคงฝึกฝนอย่างหนักทุกวัน โดยที่หยุดพักเอาแรงเพียงไม่กี่นาที

‘ดาบยุติธรรมจืดจาง’ เปล่งประกายวูบ พลันปรากฏช่องว่างบนดาวเคราะห์ธาตุทั้งหลาย ก่อนที่มันจะแผ่ขยายออกเป็นรอยร้าวเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วน ดาวเคราะห์ดวงน้อยที่ถูกนางทารุณมานานดูเหมือนจะรับการโจมตีต่อไปมิได้อีกและกำลังจะพลังทลายลง

แปะๆๆ จากความมืดมิดไร้อากาศหายใจ กลับมีเสียงปรบมือดังลอยมา

นาตาชาหันหลังขวับด้วยความประหลาดใจ แล้วก็พบกับชายหนุ่มผู้สวมหมวกทรงสูงสีดำกำลังเดินออกมาจากอวกาศอันลึกล้ำ ชายหนุ่มผู้นั้นกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มผ่อนคลาย “ในระหว่างที่เราแยกห่างกัน ดูเหมือนว่าเจ้าจะพัฒนาขึ้นอีกแล้วนะ”

นาตาชาขยี้ตาทั้งสองข้าง ก่อนจะมีท่าทีขึงขังขึ้นมา “เจ้าปีศาจ รับนี่ไปซะ!”

ดาบฟาดฟันเข้าใส่เขา ลูเซียนค่อนข้างผวาทีเดียว นี่นาตาชาไปโดนเวทมนตร์คุณไสยมาหรือไร

ก่อนที่เขาจะทันได้คิดว่าควรโจมตีตอบโต้หรือทำให้นางหมดสติไปเสีย แสงจากปลายดาบก็พลัยหาบลับไป นาตาชาบินมายืนอยู่ตรงหน้าแล้วโผเข้าสวมกอดลูเซียน แนบใบหน้าของทั้งสองเข้าหากัน ลมหายใจของนางหอบกระชั้นเล็กน้อย และน้ำเสียงนางก็ปริ่มล้นด้วยความสุขใจ “นี่แหละกลิ่นที่ข้าคุ้ยเคย!”

‘และส่วนผสมที่ฉันคุ้นเคยดีใช่ไหม’ ลูเซียนคิดในใจขณะรู้สึกอบอุ่นร้อนรุ่มและมีความสุขกับการต้อนรับอย่างเร่าร้อนของนาตาชา เขากระชับอ้อมแขนกอดนางแน่น ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงแผ่วทุ้ม “เจ้าเป็นกังวลว่าข้าอาจตกอยู่ในอันตรายเช่นนั้นหรือ”

“แน่นอน เจ้าคือสามีและคนรักของข้านะ ข้าจะไม่เป็นกังวลได้อย่างไรหลังจากที่เจ้าหายตัวไปเบื้องหลังเตาหลอมวิญญาณนั่นน่ะ” ด้วยความอารมณ์ดี นาตาชาจึงยอมรับอย่างตรงไปตรงมามิคิดลังเล นางเอนตัวถอยแล้วสำรวจมองลูเซียนจนถี่ถ้วน ท้ายที่สุด นางก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงร่าเริงสดใส “เจ้ามิได้บาดเจ็บใช่หรือไม่”

“ไม่เลย แถมข้ายังได้ของดีๆ มาอีกเพียบ” ลูเซียนแย้มยิ้มก่อนจะจุมพิตลงบนริมฝีปากของนาตาชา “ข้าได้มาทั้งน้ำพุแห่งความอ่อนเยาว์ ถุงมือมัมมี่ แกนเนตรของผีร้อยเนตรชั้นตำนาน หุ่นเชิดตัวตายตัวแทน และหัตถ์คำสาปอีกเยอะแยะเลย”

จากนั้น ลูเซียนก็มองไปรอบๆ พลางเอ่ยหยอกเย้า “เจ้าฝึกฝนอย่างหนักเพื่อจะเข้าไปช่วยข้าหลังจากที่เจ้ากลายเป็นผู้มีพลังชั้นตำนานสินะ ในเมื่อเจ้ายังเลื่อนขั้นไม่ได้ ช่วงที่ผ่านมาเจ้าจึงรู้สึกอ่อนแอเปราะบาง ไม่มั่นใจ และนึกชังตนเองมาตลอดใช่หรือไม่”

ลูเซียนจะหยอดมุกเช่นนี้กับนาตาชาเพียงคนเดียวเท่านั้น

นาตาชาพยายามฝืนยิ้ม “ข้าเป็นคนเช่นนั้นรึ ข้ามั่นใจในตัวเองมาตลอด ข้าคงเลื่อนขั้นขึ้นเป็นอัศวินชั้นตำนานแล้วล่ะหากเจ้าหายตัวไปอีกหนึ่งเดือน!”

“งั้นหรือ แล้วใครกันที่เล่น ‘ชะตาชีวิต’ ในหอคอยเวทมนตร์น่ะ” ลูเซียนเปิดเผย ‘อย่างไร้ปรานี’

นาตาชาหลุบดวงตาแสนงดงามหลบไปทางอื่น ก่อนจะประคองศีรษะของลูเซียน และจูบเขาเนิ่นนาน

“เป็นอย่างไรเล่า เจ้าสัมผัสได้ถึงความมั่นใจของข้าหรือไม่” หลังจากที่ริมฝีปากของทั้งสองผละห่างออกจากกัน นาตาชาก็เอ่ยขึ้นขณะหายใจหอบกระชั้น

ลมหายใจของลูเซียนเองก็ไม่ต่างกันนัก เขาหัวเราะขัน “แน่นอน เจ้าก้าวหน้าถึงเพียงนี้ ย่อมเลื่อนขั้นขึ้นเป็นอัศวินชั้นตำนานภายในอีกไม่กี่ปีแน่”

ในอีกสองสามปี เขาคงมีโอกาสเลื่อนขั้นขึ้นเป็นผู้มีพลังชั้นตำนานระดับสามแล้ว

“เมื่อถึงตอนนั้น ข้าก็จะเดินทางไปสำรวจพร้อมกับเจ้าได้” นาตาชากล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เพื่อที่จะก้าวเข้าสู่ขอบเขตของชั้นตำนาน เรายังไม่วางแผนมีลูกในตอนนี้ดีหรือไม่”

ลูเซียนพยักหน้าเบาๆ “ข้าสนับสนุนเจ้าเต็มที่”

จากนั้น เขาก็โน้มศีรษะลงมาและผ่อนลมหายใจออกข้างใบหูนาตาชา ก่อนที่เขาจะหัวเราะ “แต่ว่า เจ้าต้องชดเชยให้ข้านะ”

อาการคันบนใบหูเตือนให้นางนึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่นางอยากจะลืมเลือน เป็นผลให้สองแก้มนวลของนาตาชาแดงก่ำ

ภายในสถาบันอะตอม สปรินต์กับจอมเวทคนอื่นๆ กำลังยุ่งอยู่กับการทำการทดลองที่ต้องทำซ้ำเดิม ฉับพลันนั้น พวกเขาก็ได้ยินกระแสเสียงเป็นมิตรแสนคุ้นหู “ข้าดีใจจริงๆ ที่พวกเจ้าขยันกันถึงเพียงนี้”

‘โอ้ อาจารย์ของเรากลับมาแล้วหรือ’ ไฮดี้หันขวับและเอ่ยน้ำเสียงร่าเริงสุขใจ “อาจารย์ ยินดีต้อนรับกลับมาเจ้าค่ะ! เรามีคำถามที่อยากจะถามอาจารย์เยอะแยะเลยค่ะ”

เพราะภารกิจสำรวจโลกแห่งวิญญาณนั้นถือเป็นความลับสุดยอด พวกเขาจึงมิได้ล่วงรู้ถึงภยันตรายทั้งหลายที่ลูเซียนต้องฝ่าฟันมาและคิดเพียงว่ามันเป็นเพียงการเดินทางไปทำภารกิจทั่วๆ ไป ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงมิได้มีท่าทางตื่นเต้นหรือกระตือรือร้นเป็นพิเศษเมื่อเห็นเขากลับมา

ขณะจับสังเกตไฮดี้ด้วยใบหน้ายิ้มๆ ลูเซียนก็พูดกับแอนนิคและลูกศิษย์คนอื่นๆ “นี่ไฮดี้ตัวจริงถูกจับตัวไปแล้วถูกแทนที่ด้วยปีศาจงั้นรึ เหลือเชื่อจริงๆ ที่นางเป็นคนเริ่มถามคำถามเป็นคนแรก!”

“นั่นเป็นเพราะเรามีความคืบหน้าอย่างใหญ่หลวงในโครงงานการวิจัยที่อาจารย์มอบให้ข้ากับเชลีย์อย่างไรเล่าเจ้าคะ” ไฮดี้ประกาศกร้าวด้วยความภาคภูมิใจ

ลูเซียนเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้น “งานวิเคราะห์กลไกของวงแหวนเวทช่วยคำนวณน่ะหรือ”

“เจ้าค่ะ!” ดูเหมือนว่าไฮดี้จะอดใจรอไม่ไหวที่จะได้นะเสนอผลงานของนาง

ในตอนนั้นเอง สปรินต์ก็หันกลับมาพูดกับไฮดี้ “อาจารย์เพิ่งจะกลับมาเองนะ เราควรจะรายงานประเด็นสำคัญก่อนสิ”

“ประเด็นสำคัญอะไรงั้นรึ” ลูเซียนถามด้วยความมึนงง นาตาชามิได้พูดถึงเรื่องพวกนี้เลย แต่ก็นะ นางอุทิศตนให้กับการฝึกฝนตนเองและการพัฒนาตัวเองในช่วงหลังๆ มานี้ มันจึงเป็นเรื่องปกติที่นางจะไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น

คาทรินาแย้มยิ้มสดใสขณะตอบ “ยินดีด้วยนะเจ้าคะที่ท่านชนะรางวัลอีวานส์รางวัลแรกในสาขาอาร์คานา ร่วมกับท่านเดียป สำหรับคุณงามความดีอันยอดเยี่ยมที่ท่านมีต่อทวิภาคของคลื่น–อนุภาคและการเลี้ยวเบนของอิเล็กตรอน ชื่อของเหรียญรางวัลก็คือ ‘ทวิภาค’ เจ้าค่ะ”

ขณะกล่าว นางก็แสดงภาพรางวัลอีวานส์สาขาอาร์คานาด้วยเวทฉายภาพ เหรียญรางวัลมีพื้นหลังสีดำครึ่งบน ซึ่งมีรูปดาวเคราะห์สีเงินที่เป็นตัวแทนของโลกมหัพภาคฝังเอาไว้ ส่วนครึ่งล่างมีพื้นหลังเป็นสีเงิน และมีสัญลักษณ์อะตอมสีดำวาดเอาไว้ เป็นตัวแทนของโลกจุลภาค ตัวเหรียญดูน่าหลงใหลไม่น้อย

นั่นคือรูปลักษณ์พื้นฐานของรางวัลอีวานส์สาขาอาร์คานาที่ลูเซียนออกแบบโดยยึดจาก ‘ไทชิ’ หรือวิชามวยไท่เก๊ก ตรงกลางนั้นมีคำว่า ‘ทวิภาค’ สลักไว้

“เหตใดจึงมีรูปภาพกันเล่า ใครไปรับรางวัลแทนข้างั้นหรือ” ลูเซียนสงสัยว่าสภาเวทมนตร์จะจัดงานเฉลิมฉลองนี้ล่วงหน้าเพื่อกลบข้อเท็จจริงที่ว่าจอมเวทชั้นตำนานอันดับต้นๆ หลายคนหายตัวไป

เลย์เรียนิ่วหน้าอย่างห้ามไม่อยู่เมื่อนางนึกถึงเหตุการณ์นั้น “เป็นมังกรครัสตัลที่ไปรับรางวัลแทนอาจารย์เจ้าค่ะ”

พวกเขาค่อนข้างคุ้ยเคยกันดีกับอัลเฟอร์ริส เจ้ามังกรคริสตัลตัวน้อย

‘ฉันมั่นใจว่าเขาต้องเอาเหรียญรางวัลกลับไปที่บ้านตัวเองแน่นอน เหมือนส่งเนื้อเข้าปากเสือเลย…’ ลูเซียนส่ายศีรษะยิ้มๆ เขาหาได้สนใจอะไรกับเหรียญรางวัล แต่เพื่อหยุดยั้งความละโมบของอัลเฟอร์ริสและสร้างนิสัยมังกรที่ดี เขาจึงต้องสั่งให้เจ้ามังกรน้อยคืนเหรียญรางวัลให้เขาเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม

ลูกศิษย์ทุกคนผลัดกันรายงานเรื่องสำคัญที่เกิดขึ้นภายในสภาเวทมนตร์ให้เขาฟัง เช่นเดียวกับความก้าวหน้าทางงานวิจัยในช่วงที่ผ่านมาซึ่งควรค่าแก่การให้ความสนใจ รวมถึงการดำเนินการของวิทยาเวทมนตร์โฮล์ต

หลังจากฟังรายงานทั้งหมด ลูเซียนก็ถามเบลค โลวี อัลฟาเลีย และผู้ช่วยคนอื่นๆ ถึงความคืบหน้าของพวกเขา ก่อนที่เขาจะตรงไปที่ห้องประชุมและเรียกประชุมสามัญในท้ายที่สุด หลังจากที่แอนนิคและลูกศิษย์คนอื่นๆ กลายเป็นจอมเวทและนักเวทระดับกลาง ลาซาร์กับสหายจึงมิจำเป็นต้องอยู่ในสถาบันตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงออกไปทำภารกิจหลักของปีนี้ด้วยกัน

ไฮดี้ไม่รีบร้อนอีกต่อไป นางเอ่ยอย่างโผงผาง “อาจารย์เจ้าคะ สปรินต์กับแอนนิคเพิ่งนำเสนอสมมติฐานเกี่ยวกับปรากฏการณ์ช่องเปิดที่ผิดปกติของเส้นสเปกตรัมล่ะเจ้าค่ะ”

“สมมติฐานอะไรรึ” ลูเซียนพอจะเดาออกว่ามันคืออะไร เขามองไปทางสองหนุ่มด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

แอนนิคตอบด้วยท่าทางเขินอายเล็กน้อย “มันเป็นเพราะสปินของอิเล็กตรอนน่ะขอรับ แต่ว่า จากผลลัพธ์ที่เราคำนวณออกมา…”

ยิ่งเขาพูด เสียงเขาก็ยิ่งเผ่วลงเรื่อยๆ สปรินต์จึงช่วยเขาพูดต่อให้จบ “ความเร็วของสปินของอิเล็กตรอนบนพื้นผิวที่เราใช้คำนวณคือสิบเท่าของความเร็วเสียง…”

เขาเอ่ยเสียงดังในช่วงแรก แต่แล้วเขาก็หมดความมั่นใจลงเช่นกันเมื่อพูดใกล้จบประโยค

“ขอต้นฉบับหน่อยซิ” ลูเซียนร้องขอต้นฉบับและอ่านอย่างตั้งอกตั้งใจ

ไฮดี้เอ่ยแทนสหายทั้งสอง “มันไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นหรอกนะเจ้าคะ มีจอมเวทหลายคนที่ทดลองเกี่ยวกับการเล่นแร่แปรธาตุสมัยใหม่แล้วรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับกรอบความคิดเรื่องสปินของอิเล็กตรอน อีกอย่าง ไม่ใช่ว่าแบบจำลองการเล่นแร่แปรธาตุสมัยใหม่ที่นำเสนอโดยกลศาสตร์เมตริกซ์ ได้ละทิ้งแนวคิดที่ผ่านการสังเกตการณ์มาแล้วอย่างวิถีโคจรไปหรอกหรือ แล้วสปินมาจากไหนกัน แบบนี้แทบจะเหมือนกับระบบฟิสิกส์ดาราศาสตร์อีกแล้วนะเจ้าคะ”

“แต่ว่า แบบจำลองสปินนี้ใช้อธิบายปรากฏการณ์ช่องเปิดได้อย่างสมบูรณ์แบบและเข้ากันได้ดีกับการทดลองอื่นๆ ส่วนภาพเดิมที่มีส่วนสัมพันธ์กัน มันไม่จำเป็นต้องเหมือนกับสปินของดาวเคราะห์ทั้งหลายเหมือนอย่างที่เราคิด ในโลกจุลภาค เราเข้าใจได้เพียงสิ่งที่ยืนพื้นจากคณิตศาสตร์และข้อมูลการทดลอง ในเมื่อมันไม่จำเป็นต้องเป็นสปินที่เรารู้จัก จึงเป็นไปได้ว่าความเร็วของสปินจะไร้สัญญาณและพลังงาน เหมือนกับคลื่นความเร็วของอิเล็กตรอนในงานของเดียป เรื่องนี้ไม่ได้ฝ่าฝืนทฤษฎีสัมพัทธภาพเลย” ลูเซียนกล่าวอย่างคร่าวๆ และไม่เจาะจงแม่นยำ “เจ้าส่งงานชิ้นนี้ให้กับทางคณะกรรมการตรวจสอบอาร์คานาได้เลย”

“แต่เจ้าอาจต้องเจอกับความกังขาอีกมากมายในภายหลัง ข้าขอแนะนำให้เจ้าจัดการกับปัญหาเกี่ยวกับสปินด้วยกลศาสตร์เมตริกซ์เสียก่อน และดูว่าเจ้าจะได้อะไร ข้าเองก็จะลองดูเรื่องนี้เช่นกัน”

“ขอรับ อาจารย์” แอนนิคดูท่าทางมั่นใจขึ้นหลังจากได้รับการยินยอมจากอาจารย์ตน ส่วนสปรินต์นั้นโล่งอกอย่างยิ่ง เขาคิดจะส่งรายงานนี้อยู่แล้วแม้ว่าอาจารย์เขาจะไม่เห็นด้วยก็ตาม

หลังจากตอบข้อสงสัยของพวกเขาเสร็จ ลูเซียนก็มองไปทางไฮดี้แล้วเอ่ยถาม “แล้วเจ้าเล่า ความคืบหน้าใหญ่หลวงที่เจ้าว่าคืออะไรงั้นหรือ”

ไฮดี้พลันรู้สึกเขินอาย “ก็ไม่เชิงความคืบหน้าใหญ่หลวงหรอกเจ้าค่ะ ตอนที่เราวิเคราะห์วงแหวนเวทช่วยคำนวณอยู่นั้น เราพบว่าพวกมันช่วยเรื่องการคำนวณได้ก็เพราะผลลัพธ์ของฟังก์ชั่นต่างๆ ถูกเก็บไว้ในนั้นล่วงหน้าแล้ว หลังจากที่เราใส่ข้อมูลลงไป พวกมันก็จะตรวจหาคำตอบจากคลัง แล้วคำนวณอย่างง่ายๆ กับคำตอบนั้นๆ…จริงๆ แล้วเราได้ข้อสรุปนี้หลังจากอ่านงานเขียนที่เกี่ยวข้องน่ะเจ้าค่ะ แต่ว่า เรามีความคืบหน้ากว่าก้าวหนึ่งและหาคำอธิบายให้กับทุกขั้นตอนจำเพาะในกระบวนการทั้งหมด”

“ตอนนี้เรามีฟังก์ชั่นอยู่มากเกินไปและแทบจะมีผลลัพธ์อย่างไม่สิ้นสุด ดูเหมือนว่าวงแหวนเวทช่วยคำนวณจะใช้การได้กับโจทย์ง่ายๆ เท่านั้น อืม พอจะคิดวิธีพัฒนาพวกมันเอาไว้หรือไม่ เอาแบบที่พอเราใส่ข้อมูลกับคำสั่งลงไปก็จะได้ผลลัพธ์อย่างรวดเร็วน่ะ เราลองทำให้พวกมันมีกระบวนการเช่นนั้นได้ไหม หากเป็นเช่นนั้น การทำให้มันเป็นที่นิยมในหมู่ผู้ฝึกใช้มนตราก็จะง่ายขึ้นด้วย” ลูเซียนกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง

ไฮดี้ถามด้วยความสับสนมึนงง “เพื่อจะแก้โจทย์ส่วนใหญ่ให้ได้ เราจะต้องเพิ่มฟังก์ชั่นกับผลลัพธ์เข้าไปเพื่อให้มันใช้คำนวณ ซึ่งจะทำให้ต้องใช้วงแหวนเวทมากขึ้นและนั่นจะยิ่งทำให้พวกมันมีราคาสูงขึ้น ก็เหมือนกับที่วงแหวนเวทช่วยคำนวณที่เราใช้แตกต่างจากของที่อาจารย์ใช้อย่างไรล่ะเจ้าคะ แบบนี้จะได้ผลตรงกันข้ามกับเป้าหมายในการทำให้มันเป็นที่นิยมแพร่หลายนะเจ้าคะ”

เชย์ลีพยักหน้าเห็นด้วย วิธีการพัฒนาทั้งสองรูปแบบนั้นดูจะไปคนละทิศคนละทางเลย

“นั่นคือเหตุผลที่ข้าบอกว่าเจ้าต้องมีความคิดสดใหม่ เจ้าเคยฉุกคิดหรือไม่ว่ากลไกของวงแหวนเวทช่วยคำนวณแตกต่างจากการจัดเรียงตามตรรกะการคิดและคำนวณโดยทั่วไปของเรา เจ้าเคยพิจารณาหรือไม่ว่าการสร้างวงแหวนเวทช่วยคำนวณขึ้นมาใหม่ตามนั้น แล้วแทนที่ฟังก์ชั่นส่วนใหญ่ในสมองเราด้วยวัตถุแปรธาตุหรือวงจรไฟฟ้าน่ะ” ลูเซียนพยายามดลใจลูกศิษย์เพิ่มขึ้นไปอีก

การพัฒนาอุปกรณ์เวทมนตร์ไว้ใช้รับส่งข้อมูลได้หลายทางในขนาดพกพาคือหนึ่งในเป้าหมายของลูเซียนในการพัฒนาไปในทิศทางนี้

…………………………………