ตอนที่ 203-1 ชำระหนี้แค้น

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

นั่งเรือลำเล็กกลับทางเดิมเป็นไปไม่ได้แล้ว เพราะว่าช้าเกินไป กลุ่มเสิ่นเวยสามคน อ้อไม่ใช่สิ กลุ่มสี่คนจึงขึ้นฝั่งขี่ม้าเดินทาง

 

 

เหตุใดถึงเปลี่ยนเป็นสี่คนน่ะหรือ คนที่เพิ่มเข้ามาแน่นอนว่าเป็นคุณชายฟู่คนโง่ผู้นั้น คืนนั้นเสิ่นเวยเพิ่งจะลงเรือลำเล็ก คุณชายฟู่ก็กระโดดลงมาจากข้างบน เชิดหน้ายิ้มซื่อๆ ยียวน “พี่ชายจะไปหาเรื่องคนแซ่หมิ่นหรือ ข้าน้อยจะไม่ไปด้วยได้อย่างไร พวกเราเป็นพี่น้องที่ร่วมตกทุกข์ได้ยากมาด้วยกัน” เสิ่นเวยชายตามองเขาปราดหนึ่งก็อนุญาตโดยนัยแล้ว

 

 

ตอนที่เมืองทงโจวอยู่ตรงหน้าก็เข้าสู่บ่ายวันที่สองแล้ว พวกเขาไม่ได้เข้าเมืองทันที แต่เข้าโรงเตี๊ยมเล็กๆ แห่งหนึ่งเพื่อกินข้าวพักเท้าให้พอแล้วจึงถือโอกาสเข้าเมืองในช่วงที่อาทิตย์ตกดิน แน่นอนว่ามีคนคอยช่วยเหลือ สามวันก่อนเข้ามาก็เช่าเรือนหลังเล็กไว้เรียบร้อยแล้ว ต่างฝ่ายต่างเข้าห้องนอนพักเอาแรง

 

 

“เจ้ามั่นใจหรือว่าคลังลับของหมิ่นซือเหนียนอยู่ที่นี่” คุณชายฟู่ชี้คฤหาสน์ที่เคยขังเขาไว้แล้วถามด้วยความสงสัย

 

 

ดูผิดหรือไม่ คลังลับไม่ใช่ว่าต้องคุ้มกันอย่างเข้มงวดหรอกหรือ คฤหาสน์หลังนี้ถูกไฟไหม้แล้วก็กลายเป็นคฤหาสน์ร้างหนึ่งหลัง พวกเขาเข้ามานานแล้ว แม้แต่เงาผียังมองไม่เห็น หมิ่นซือเหนียนจะเก็บคลังลับไว้ที่นี่หรือ คุณชายฟู่แสดงท่าทีไม่เชื่อ

 

 

เสิ่นเวยเองก็มองเสี่ยวตี๋ที่อยู่สืบข่าวอยู่ที่เมืองทงโจว ในใจนางก็ไม่มั่นใจ ตามวิธีจัดการของคนทั่วไป ในเมื่อรังแห่งนี้ถูกเปิดเผยแล้ว เพื่อป้องกันคนอื่นมาสืบสวน คฤหาสน์หลังนี้ก็ต้องกำจัดทิ้งทันที หมิ่นซือเหนียนเองก็คล้ายจะทำเช่นนี้เหมือนกัน มิเช่นนั้นก็คงมีช่างเข้ามาซ่อมแซมแล้ว แต่คลังลับที่สร้างไว้ที่นี่เขาไม่เอาแล้วหรือไร

 

 

เสี่ยวตี๋กล่าว “ไม่ผิดเจ้าค่ะ อยู่ที่นี่” นางกล่าวอย่างมั่นใจ “เพราะว่าเวลากระชั้นชิด ผู้น้อยจึงสืบหาได้แค่เพียงคลับลับสองแห่งของหมิ่นซือเหนียน แห่งหนึ่งอยู่ที่นี่ อีกหนึ่งแห่งอยู่ในจวนตระกูลหมิ่น หมิ่นซือเหนียนไม่ได้ลืมที่นี่ เขากำลังสั่งคนให้มาขนย้ายอย่างลับๆ อยู่ เพียงแต่ที่หอซิ่งชุนคล้ายเกิดเรื่องอะไรขึ้น จึงถูกพวกเราเจาะหาโอกาสนี้ได้”

 

 

เสิ่นเวยพยักหน้า กล่าวในใจ หมิ่นซือเหนียนชายผู้นี้ยังนับได้ว่ามีสมอง ที่ที่อันตรายที่สุดก็คือที่ที่ปลอดภัยที่สุด ใครจะคิดได้ว่าในเรือนแห่งนี้ซึ่งขัง ‘สินค้า’ ที่หามาด้วยวิธีต่างๆ นานา ใต้ดินกลับสร้างคลังลับเอาไว้

 

 

“เอาล่ะ คลังลับอยู่ไหน เจ้านำทางไปเถอะ” เสิ่นเวยกวาดสายตามองคุณชายฟู่ปราดหนึ่ง หลังจากนั้นก็พูดกับเสี่ยวตี๋

 

 

เสี่ยวตี๋นำทุกคนมายังเรือนข้างเรือนหลักหลังหนึ่ง เสิ่นเวยมองดู ดีจริงๆ นี่ไม่ใช่เรือนหลังนั้นที่ขังนางไว้หรอกหรือ คลังลับสร้างอยู่ข้างใต้นี้เองหรือ ช่างบังเอิญจริงๆ

 

 

ไม่ได้เข้าไปในห้อง เสี่ยวตี๋เดินไปยังภูเขาจำลองลูกหนึ่งในลานบ้าน กดลงบนผนังหินหลายครา ในท้องภูเขาจำลองก็ปรากฎเส้นทางเล็กๆ ที่ลงไปข้างล่างหนึ่งสาย เดินลงไปตามเส้นทางสายเล็กก็จะเป็นคลังลับของหมิ่นซือเหนียน

 

 

“โห คนแซ่หมิ่นนี่มีเงินจริงๆ ครั้งนี้พวกเรารวยแล้ว” คบไฟจุดขึ้นมา คุณชายฟู่ก็มองเห็น**บที่เต็มไปด้วยเงินทองแต่ละใบๆ ดวงตาก็ตะลึงงัน

 

 

ทว่าเสิ่นเวยกลับมีสีหน้าเรียบเฉย ไร้ซึ่งอารมณ์ เรื่องพวกนี้นางทำมาเยอะแล้ว ไม่ได้ตื่นเต้นดีใจเหมือนตอนแรกแล้ว

 

 

“เร่งมือ ขนของออกไปให้หมด ลงมือเบาๆ อย่าทำให้เกิดการเคลื่อนไหวที่มากเกินไป” เสิ่นเวยออกคำสั่งทันที เวลากระชั้นชิด จัดการเรื่องนี้เสร็จแล้วยังมีเรื่องใหญ่ให้ต้องไปทำอีก

 

 

“คุณชายวางใจเถอะ คนที่เฝ้าเวรกลางดึกหลายคนนั้นถูกควันสลบของพวกเราแล้ว นอนหลับเหมือนหมูตาย” พลลับสามกล่าว

 

 

“นั่นก็ต้องระวังไว้ก่อนเหมือนกัน” เสิ่นเวยกำชับอย่างจริงจัง ระมัดระวังจึงจะประสบความสำเร็จได้

 

 

กลุ่มของเสิ่นเวยมีคนสิบกว่าคน ไปๆ มาๆ ไม่กี่รอบก็ขนคลังลับออกไปหมดเกลี้ยงแล้ว พวกเขาไม่ได้ขนเงินกลับไปที่เรือนหลังเล็กชั่วคราว แต่กลับกระจายเงินทองเหล่านี้ออกไปทั้งหมด หาครอบครัวที่มีชีวิตยากจนนั้น โยนเงินทองเข้าไปในบ้านของคน คนที่ไม่มีบ้านก็วางไว้ข้างประตู

 

 

เรื่องเหล่านี้มีทหารลับไปทำ เสิ่นเวยกับคุณชายฟู่ รวมถึงโอวหยางไน่และเสี่ยวตี๋ก็ไปยังหอซิ่งชุน

 

 

หอซิ่งชุนในคืนนี้จุดไฟสว่างไสว ร้องรำทำเพลงสนุกสนาน ในขณะที่กำลังครึกครื้น เสิ่นเวยและคนอื่นๆ ก็ไม่ได้เข้าไปทางประตูใหญ่ แต่ปีนเข้าทางเปลี่ยวไปยังที่พักของแม่เล้าฉิน

 

 

แม่เล้าฉินเคยมีชื่อที่ไพเราะอย่างยิ่ง ชื่อว่าฉินฟังฟัง นางเองก็เป็นสตรีในตระกูลดี แต่ชีวิตตกระกำลำบากจนต้องเข้ามาในหอโคมเขียว หลังจากผ่านความยากลำบากมาก็ไม่มีกระจิตกระใจจะหนีแล้ว นางหน้าตาดี คนก็ยังฉลาด เรียนรู้เร็ว ค่อยๆ มีชื่อเสียงขึ้นมา แขกผู้ร่ำรวยที่ตามชื่อเสียงมาก็เยอะอย่างยิ่ง ในช่วงที่อายุยังน้อยนางก็กอบโกยรายได้จำนวนมาก

 

 

คิดถึงอนาคตแม่เล้าฉินก็เกิดหวาดกลัวในใจ คนเช่นพวกนางจุดจบที่ดีที่สุดก็คือการเป็นอนุภรรยาของคนร่ำคนรวย แต่แม่เล้าฉินไม่ยอมไปถูกเปรียบเทียบกับภรรยาหลวง จึงถือโอกาสไถ่ตัวเอง ใช้เงินเก็บซื้อหอซิ่งชุนแห่งนี้ จากนั้นก็ซื้อเด็กสาวที่ท่าทางดีจำนวนหนึ่ง ประกอบอาชีพเดิม ส่วนตนเองก็เป็นแม่เล้า

 

 

หมิ่นซือเหนียนก็คือที่พึ่งของแม่เล้าฉิน นางอยู่กับเขามาเกือบยี่สิบปีแล้ว ไม่ใช่สามีภรรยาก็ยิ่งกว่าสามีภรรยา หอซิ่งชุนแห่งนี้พูดในอีกความหมายหนึ่งก็คือคฤหาสน์อีกหลังของหมิ่นซือเหนียน อีกทั้งยังเป็นคฤหาสน์ที่นำความมั่งคั่งมาให้เขา อย่างไรเสียกำไรครึ่งหนึ่งของหอซิ่งชุนในทุกๆ ปีต่างก็เข้ากระเป๋าเขา ดังนั้นหมิ่นซือเหนียนจึงให้ความสำคัญกับแม่เล้าฉินอย่างยิ่ง

 

 

เรือนหน้าเต็มไปด้วยเสียงออดอ้อนอ่อนหวาน ดนตรีบรรเลงอย่างต่อเนื่อง ทว่าในเรือนเล็กของแม่เล้าฉินกลับมีบรรยากาศคุกรุ่น

 

 

“หนีสิ กล้านักเจ้าก็หนีไปแล้วอย่าถูกจับกลับมา นางแพศยาให้หน้าไม่เอาหน้า ต่อให้เจ้าหนีออกไปแล้วก็ยังเป็นนางแพศยาอยู่ดี” หมิ่นซือเหนียนบีบคางของสตรีที่ถูกมัดไว้กับเสาผู้นั้น กล่าวด้วยใบหน้าดุร้าย

 

 

“เหอะ” สตรีผู้นั้นก็เป็นคนดื้อรั้นเช่นกัน พยายามส่ายหน้าคิดจะดิ้นให้หลุดจากการบีบบังคับของหมิ่นซือเหนียน ครู่ใหญ่ก็ยังไม่เป็นดั่งหวัง นางจ้องมองหมิ่นซือเหนียน ในปากเต็มไปด้วยความเคียดแค้น

 

 

“ยังไม่ยอมแพ้อีกหรือ ข้าจ่ายเงินก้อนใหญ่ซื้อเจ้ามา ทั้งยังจ่ายเงินอีกก้อนใหญ่เพื่ออบรมเลี้ยงดูเจ้า ไม่ได้ให้เจ้ามายั่วโมโหข้า ในเมื่อไม่เชื่อฟัง เช่นนั้นข้าก็จะตีจนกว่าเจ้าจะเชื่อฟัง” หมิ่นซือเหนียนหรี่ตาลง พร้อมด้วยปราณที่อันตราย

 

 

แม่นมฉินเห็นท่าทีแล้วก็รีบส่งสายตาให้สตรีผู้นั้น “ลูกข้า รีบสำนึกผิดกับพ่อเจ้าเสีย เร็วเข้า มิเช่นนั้นพ่อเจ้าจะตีเจ้าตาย” นางเองก็เข้ามาเช่นนี้ ตอนนี้แม้ว่าตนจะเป็นแม่เล้า แต่ก็ยังดีกับเหล่าสตรีในหอทั้งหมด หากมีแขกยินดีไถ่ตัวสตรี ปกติแล้วนางก็จะปล่อย บางครั้งแม้แต่ค่าตัวก็ยังไม่เอา

 

 

สำหรับนิสัยที่โหดเ**้ยมของหมิ่นซือเหนียนนางเข้าใจดีที่สุด ดังนั้นนางจึงเป็นกังวล ตีแม่นางจนยับเยินแล้วไม่ใช่นางที่ขาดทุนหรือไร

 

 

“ถุย ใครเป็นลูกเจ้า เลิกคิดเอาเองฝ่ายเดียวได้แล้ว พ่อแม่ข้านอนอยู่ใต้ดิน ในเมื่อถูกพวกเจ้าจับกลับมาแล้ว คุณหนูเช่นข้าก็ไม่คิดจะมีชีวิตอยู่แล้ว” สตรีผู้นั้นบ้วนน้ำลายใสหน้าหมิ่นซือเหนียน

 

 

หมิ่นซือเหนียนเดือดดาล “ข้าว่าเจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว ในเมื่อเจ้าอยากตาย เช่นนั้นข้าก็จะทำให้เจ้าสมปรารถนา เอาแส้มา” เขาตะโกนเสียงดัง

 

 

แส้โบยลงบนหลังของสตรีผู้นั้น ไม่ทันไรเสื้อผ้าก็ถูกโบนจนขาดวิ่น บนหลังเป็นรอยเลือดแต่ละขีดๆ สตรีผู้นั้นกัดฟันกรอด ไม่ส่งเสียงเลยแม้แต่นิดเดียว

 

 

“หึ อดทนเก่งดีนี่ วันนี้ข้าจะดูสิว่ากระดูกของเจ้าจะแข็งหรือว่าแส้ที่แข็งกว่า” หมิ่นซือเหนียนพูดไปพลาง แส้ในมือก็ออกแรงเพิ่มขึ้น

 

 

แม่เล้าฉินขมวดคิ้ว ทนดูไม่ได้ นางอยากเข้าไปร้องขอ แต่เห็นหมิ่นซือเหนียนทุ่มแรงเช่นนั้นแล้วก็ลังเล วิธีทรมานคนของหมิ่นซือเหนียนไม่ได้มีเพียงเท่านี้ เพื่อสตรีที่วิ่งหนีคนหนึ่งเอาตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวจะคุ้มกันหรือไม่

 

 

เพียงแค่ลังเลเช่นนี้ สตรีผู้นั้นก็ถูกโบยจนสลบแล้ว หมิ่นซือเหนียนโยนแส้ลงบนพื้นอย่างแรง “ลากไปที่ห้องเก็บฟืน ปล่อยให้หิวสามวัน ดูสิว่าหลังจากนี้จะยังกล้าหนีไปไหนได้อีก”

 

 

“นายท่านสามเหนื่อยแล้วสิท่า ไปเถอะ ข้าจะดื่มสุราเป็นเพื่อนท่าน” แม่เล้าฉินแย้มยิ้มดุจบุปผาเข้ามาควงแขนหมิ่นซือเหนียนไว้ทันที สีหน้าของหมิ่นซือเหนียนจึงผ่อนคลายลง “ยังคงเป็นชิงชิงที่เข้าใจ”

 

 

เสิ่นเวยและคนอื่นๆ ในมุมมืดก็ตะลึงงันกับการโบยลงโทษครั้งนี้ หากไม่ใช่ว่าเสิ่นเวยห้ามไว้ คนโง่แซ่ฟู่ก็คงจะพุ่งออกไปแล้ว รอหมิ่นซือเหนียนและแม่เล้าฉินไป เสิ่นเวยจึงจะบอกเป็นนัยให้โอวหยางไน่ปล่อยคนโง่แซ่ฟู่

 

 

เมื่อปากของคนโง่แซ่ฟู่เป็นอิสระก็บ่นพึมพำอย่างไม่พอใจ “เจ้า คาดไม่ถึงว่าทหารคุ้มกันของเจ้าจะปิดปากข้า ใจดำจริงๆ ถุยๆๆ” เขาพยายามถ่มน้ำลาย

 

 

“ไม่ปิดปากเจ้าไว้แล้วจะยอมให้เจ้าโวยวายหรือ เจ้าอยากตายแต่ข้ายังไม่อยากนี่” เสิ่นเวยกำลังจะพ่ายแพ้ให้ตาทึ่มผู้นี้แล้วจริงๆ จะบอกว่าเขาเชื่อถือไม่ได้ เขาก็ดันแก้ไขปัญหาได้ จะบอกว่าเขาเชื่อถือได้ เขาก็ทำเรื่องสมองกลวง เจ้าบอกว่าเจ้ามาลอบสังหาร เปิดเผยตำแหน่งตัวเองล่วงหน้า นี่ไม่ใช่ว่ารนหาที่ตายหรือไร

 

 

“เจ้า” คนโง่แซ่ฟู่สำลัก “เมตตาคนอ่อนแอเห็นใจคนจนเป็นคุณลักษณะของสัตบุรุษรุ่นข้า แม่นางผู้นั้นน่าสงสารยิ่งนัก พี่ชายไม่สงสารบ้างเลยหรือ” เขากล่าวเสียงเบา

 

 

“น่าสงสารหรือ ใต้หล้านี้คนน่าสงสารมีเยอะถมไป เจ้าจะดูแลได้หมดหรือ” เสิ่นเวยมองเขาอย่างเย็นเยียบปราดหนึ่ง “เวลามีคนน่าสงสาร เจ้าสงสารตัวเจ้าเองก่อนจะดีกว่า เจ้าคิดเองว่าติดหนี้ข้าอยู่เท่าไร” ตอนที่ออกจากเมืองทงโจวขึ้นเรือ คนโง่แซ่ฟู่ผู้นี้ก็ดึงดันจะตามไปด้วย บอกว่าเขาผ่านทางมาพอดี เขาจะไปหาญาติที่เมืองหลวง สำหรับค่าเรือและค่าข้าว แม้แต่เสื้อผ้าทุกตัวที่เขาเปลี่ยนล้วนแต่เป็นสิ่งที่เสิ่นเวยให้ เขาผู้ไม่มีอะไรเลยย่อมต้องติดหนี้ไว้ก่อน

 

 

คนโง่แซ่ฟู่นึกถึงเรื่องนี้ ชั่วขณะก็หยุดเถียงทันที ไม่โวยวายว่าเสิ่นเวยไม่รู้จักเมตตาแล้ว อันที่จริงก็ไม่กล้า อดแค้นใจตัวเองเงียบๆ ไม่ได้ เงินทองแต่ละ**บๆ เมื่อครู่ เหตุใดเขาถึงไม่เก็บมาสักนิดเล่า ไม่ได้ ไม่ได้ เขาเป็นสัตบุรุษ จะยึดติดอยู่กับเงินทองได้อย่างไร ต้องเห็นเงินทองเป็นของไร้ประโยชน์จึงจะถูก

 

 

การลอบสังหารของเสิ่นเวยเงียบเชียบไร้เสียง แต่ก็ยังคงทำให้หมิ่นซือเหนียนรู้ตัว เขาดึงแม่นมฉินข้างๆ เข้ามาบังไว้หน้าตัวเอง ตนกลิ้งไปหลบอยู่ข้างๆ “มีมือสังหาร” เสียงที่แหลมเปรียวดังกังวาลเป็นพิเศษในราตรีที่เงียบสงัด

 

 

อันที่จริงไม่ต้องให้หมิ่นซือเหนียนตะโกน คนที่คุ้มกันเขาซึ่งหลบอยู่ในที่มืดก็สัมผัสได้ถึงเสียงอาวุธทลายอากาศอยู่ก่อนแล้ว คนสามคนกระโดดออกมาต่อสู้กับเสิ่นเวยและคนอื่นๆ หลังจากนั้นก็มีผู้คุ้มกันเรือนที่พักอยู่ห้องข้างๆ อีกสามคนออกมา หมิ่นซือเหนียนเห็นแล้วก็วางใจลง ทั้งตกใจทั้งโกรธอย่างอดไม่ได้ บนพื้นที่ในทงโจวยังมีใครกล้าลงมือกับเขา รนหาที่ตายจริงๆ

 

 

ฝั่งเสิ่นเวยสี่คนสู้กับคนหกคนของฝั่งหมิ่นซือเหนียน แม้ว่าจะเสียเปรียบในด้านจำนวนคน แต่ฝั่งเสิ่นเวยก็ล้วนแต่เป็นมือดีอันดับหนึ่ง ชั่วขณะกลับไม่เสียเปรียบ อีกทั้งเสิ่นเวยยังไม่ได้คิดจะเอาชีวิตของหมิ่นซือเหนียนอย่างสิ้นเชิง ตายแล้วจะเป็นการเสียเปรียบเขามิใช่หรือ ไม่ใช่ว่าเขาอยากได้ขานางหนึ่งข้างหรือ เช่นนั้นก็ดี นางขอขาของเขาสองข้างก็พอ ข้างหนึ่งเป็นของนาง อีกข้างหนึ่ง อืม ให้คนโง่แซ่ฟู่แล้วกัน อย่างไรเสียเขาก็ออกแรง ไม่แบ่งผลประโยชน์ให้หน่อยก็คงจะไม่เหมาะ

 

 

ดูสิ เสิ่นเวยเป็นคนที่ยุติธรรมเที่ยงตรงถึงเพียงนี้