บทที่ 766 สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

เมื่อมองจากที่ไกลๆ ดาวเคราะห์มหาทัณฑ์นั้นครึ่งหนึ่งมีสีฟ้าและอีกครึ่งหนึ่งมีสีเหลือง ส่วนสีฟ้าคือทะเล  อีกส่วนคือผืนดิน พลังชีวิตกล้าแกร่งกระจายอยู่ทั่วดาวเคราะห์ แสดงให้เห็นว่าต้นกำเนิดดาราของดาวเคราะห์ดวงนี้ช่างน่าตื่นตะลึงยิ่งนัก

ถึงจะไม่ได้มีขนาดใหญ่เท่าดาวเอกอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ แต่การมีอยู่ของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ก็ทำให้ดาวเคราะห์แห่งนี้เหนือชั้นกว่าดาวเอกของราชวงศ์ เมื่อผนวกเข้ากับดาวเคราะห์ครามทองคำและดาวเคราะห์ผนึก ดาวทั้งสามจึงเป็นผู้ปกครองทั้งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์

 บนดาวเคราะห์แห่งนี้มีวงแหวนปราณแกร่งกล้าจนน่าสะพรึงกลัวตั้งอยู่ วงแหวนนี้ห้อมล้อมไปทั้งดาวเคราะห์ เป็นวงป้องกันแข็งแกร่งพร้อมด้วยดาวบริวารรอบๆ ทั้งเจ็ดที่สามารถต้านทานพลังผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ได้!

นอกจากนี้ยังมีผู้อาวุโสระดับดาวพระเคราะห์ของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์คอยคุ้มกันอยู่ ตัวตนของเขาเป็นเหมือนดังดวงอาทิตย์ที่ฉายแสงให้ดาวเคราะห์ทั้งใบ ราวกับเทพที่ทุกคนให้ความเคารพ!

ผู้ฝึกตนมากมายเดินทางเข้าออกดาวเคราะห์มหาทัณฑ์ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นศิษย์สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์นับล้านหรือศิษย์จากสำนักในสังกัด ทำให้ดาวเคราะห์มหาทัณฑ์ครึกครื้นอยู่ตลอดเวลา

พวกเขาสร้างท่าอากาศยานกว่าพันแห่ง และยังมีลานฝึกหลากหลายรูปแบบจำนวนๆ เท่ากันซึ่งเป็นของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ด้วย เมื่อหวังเป่าเล่อมาถึงก็ได้พบวงแหวนปราณที่ส่องแสงเป็นประกายเหมือนสายรุ้ง และรู้สึกได้ถึงคลื่นพลังกดดันที่แผ่ออกมาจากวงแหวนปราณซึ่งสั่นคลอนไปถึงดวงวิญญาณ

วงแหวนปราณนี่…แข็งแกร่งมาก! เขาหันมองดาวบริวารรอบๆ ของดาวเคราะห์มหาทัณฑ์และสัมผัสถึงพลังของวงแหวนปราณอีกครั้ง จากนั้นก็ไล่ความคิดยุ่งเหยิงในหัวออกไปและมุ่งหน้าไปยังน่านฟ้าที่กำหนดไว้ตามกฎของดาวเคราะห์มหาทัณฑ์

ผู้ฝึกตนไม่สามารถเข้าไปในดาวเคราะห์มหาทัณฑ์จากที่ใดก็ได้ มีเพียงสามจุดบนวงแหวนปราณที่เปิดเป็นทางให้เข้าได้ ผู้ฝึกตนทุกคนและเรือบินรบทุกลำจะต้องลงทะเบียนยืนยันตัวตนและผ่านเข้าไปตามคุณสมบัติที่กำหนด ถ้ามีระดับไม่สูงพอ หลังจากเข้าไปในดาวเคราะห์มหาทัณฑ์แล้ว จะไม่สามารถย่างกรายไปยังพื้นที่ห้ามเข้าได้แม้แต่ก้าวเดียว ใครที่ฝ่าฝืนกฎ…จะถูกวงแหวนปราณของดาวเคราะห์มหาทัณฑ์กำจัดทิ้ง!

หวังเป่าเล่อแบกรับพลังกดดันจากวงแหวนปราณขณะมุ่งหน้าไปยังดาวเคราะห์ทัณฑ์สวรรค์อย่างระมัดระวัง เขาหยิบแผ่นหยกประจำตัวออกมาให้ทหารเฝ้ายามของดาวเคราะห์มหาทัณฑ์ที่มองมาด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นก็ได้รับอนุญาตให้ผ่านเข้าไปด้านในเพราะมีชื่ออยู่ในรายชื่อแขก แต่สถานที่ที่ชายหนุ่มเข้าไปได้นั้นมีจำกัด รวมถึงเส้นทางก็ถูกกำหนดไว้ให้แล้ว

หวังเป่าเล่อไม่ได้คิดอะไรมาก หลังจากผ่านเข้าวงแหวนปราณและก้าวเข้าไปในดาวเคราะห์มหาทัณฑ์ นอกจากจะสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตอันน่าสะพรึงกลัวแล้ว เขายังสัมผัสได้ถึงปราณวิญญาณอันหนาแน่นด้วย

ด้วยสัมผัสสวรรค์ของชายหนุ่ม ถึงแม้ว่ามันจะไม่ครอบคลุมทั้งดาวเคราะห์ แต่เขาก็สามารถสัมผัสได้ว่าหลายๆ ส่วนบนดาวเคราะห์มหาทัณฑ์มีปราณวิญญาณอัดแน่นอยู่มากผิดปกติ

ส่วนเหล่านั้น…คือทางเข้าสู่ภูเขาสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์อย่างไม่ต้องสงสัย!

มีทางเข้าอยู่เจ็ดแห่ง แต่ละแห่งนั้นหรูหรามาก เป็นภูเขาแฝดสองลูกที่สร้างขึ้นจากศิลาวิญญาณดึกดำบรรพ์ซึ่งตั้งสูงเฉียดฟ้า และระหว่างภูเขาทั้งสองลูก…คือประตูสู่สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์!

ทางเข้าบางแห่งตั้งอยู่บนทะเล บางแห่งก็ตั้งอยู่บนยอดภูเขา บ้างก็เป็นเหมือนกระบี่ที่ปักลงมาจากสวรรค์สู่ทะเลทราย พลังมหาศาลที่แผ่ออกมาสั่นคลอนไปทั่วบริเวณ!

ด้านในประตูนั้นยิ่งพิเศษกว่า!

ตามที่เต๋อคุณจื่อบอกมา ถึงแม้ว่าสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์เหมือนจะตั้งอยู่บนดาวเคราะห์มหาทัณฑ์ แต่จริงๆ แล้วมันตั้งอยู่ในห้วงอวกาศที่แยกตัวออกมาต่างหาก… หวังเป่าเล่อยืนอยู่เหนือทะเลและจ้องมองภูเขาเบื้องหน้าที่ตั้งสูงจากพื้นน้ำดูงดงามดั่งกระบี่ปักษาสวรรค์ ชายหนุ่มสูดหายใจลึกและเตรียมพร้อมเข้าไปด้านใน

ทันใดนั้นเมฆหมอกบนท้องฟ้าเบื้องหลังชายหนุ่มก็หมุนวน แรงสั่นสะเทือนกระจายไปทั่วพื้นที่ ส่วนของใบหน้าขนาดใหญ่ยักษ์พลันปรากฏขึ้นมาจากหมู่เมฆ!

แม้จะเป็นแค่ส่วนหนึ่งแต่พลังที่ปล่อยออกมาก็มีมากขนาดสั่นสะเทือนฟ้าดินและทำให้ทะเลสั่นคลอน คลื่นน้ำแหวกออกเหมือนงูที่กำลังเลื้อยหนี พลังกดดันมหาศาลทำให้หวังเป่าเล่อหายใจถี่รัว ดวงวิญญาณสั่นไหว ร่างกายของเขาสั่นเทิ้มและถอยร่นออกไปอย่างควบคุมไม่ได้

ขณะที่กำลังถอยหนี ใบหน้าในหมู่เมฆก็ปรากฏขึ้นเกือบครบทุกส่วน เห็นเป็นหน้าไร้อารมณ์ของมนุษย์ ดูแล้วไม่เหมือนเป็นผู้ฝึกตน แต่เหมือนสร้างขึ้นจากโลหะมากกว่า นอกจากจะมีสีดำสนิทแล้ว ยังมีตัวอักขระมากมายเปล่งแสงอยู่บนใบหน้า

นี่มัน… เมื่อเห็นความแปลกประหลาดของใบหน้านั้น ความคิดหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในหัวของหวังเป่าเล่อทันที ไม่ต้องรอให้ได้คำตอบชัดเจน ใบหน้าบนฟ้าก็หดเล็กลงอย่างรวดเร็ว ท้ายที่สุดมันก็หดตัวลงอย่างสมบูรณ์และกลายเป็นชุดเกราะที่มีร่างเงาสวมใส่อยู่!

เส้นผมสีดำขลับปลิวไปตามสายลม รูปโฉมอ่อนช้อยเหมือนดั่งหยก หุ่นโค้งเว้าสวยงาม ชัดเจนว่าร่างเงานี้เป็นสตรีที่ดึงดูดสายตาใครหลายคนได้ด้วยรูปร่างหน้าตาอันสะสวย!

ใบหน้าสวยสดงดงามนั้นไร้ซึ่งอารมณ์ แม้แต่สายตาก็ดูเย็นชา นางสวมชุดเกราะสีดำ จุติลงมาจากสวรรค์และย่างผ่านหวังเป่าเล่อไป นางผ่านเข้าไปในประตูภูเขาแฝด ก่อนจะแหวกอากาศและหายวับไป

ตั้งแต่ต้นจนจบ นางไม่ได้ปรายตามองหวังเป่าเล่อเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าสำหรับนางแล้ว ชายหนุ่มไม่ได้มีตัวตนอยู่กระนั้น

ขั้นจิตวิญญาณอมตะ! กับ…เรือบินรบเวท! หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึก พลังที่แผ่ออกมาของนางแข็งแกร่งกว่าผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึก แต่ก็ยังอ่อนด้อยกว่าระดับดาวพระเคราะห์ หากพิจารณาตามความจริงข้อนี้ ในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ นางจะต้องอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะ

ส่วนร่างเงายักษ์ที่กลายเป็นชุดเกราะนั้น หวังเป่าเล่อรู้จักดี มันคือเรือบินรบเวท มีระดับเทียบเท่าอาวุธเวท! ในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์นั้น มีเพียงสามสำนักใหญ่และตระกูลราชวงศ์เท่านั้นที่สามารถหลอมเรือบินรบเวทได้โดยใช้เคล็ดวิชาหลอมวัตถุเวทขั้นสูง

เป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้ฝึกตนธรรมดาจะได้ควบคุมเรือบินรบเวท มีเพียงผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะเท่านั้นที่มีสิทธิ์ทำเช่นนั้น!

วัตถุที่หลอมขึ้นจากจากเคล็ดวิชาหลอมวัตถุเวทขั้นสูงสุดของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์… ดวงตาหวังเป่าเล่อฉายแววสนใจใคร่รู้อันแรงกล้าซึ่งไม่สามารถสังเกตเห็นได้ เขาได้ยินเรื่องเรือบินรบเวทมาก่อน พอได้เห็นกับตาเป็นครั้งแรกก็ถึงกับตื่นตะลึงไป แม้เรือบินรบเวทจะมีไอพลังด้อยกว่าวัตถุเวทแห่งความมืด แต่ก็แข็งแกร่งกว่าหอกของผู้นำสหพันธรัฐ เหมือนว่าจะอยู่ในระดับเดียวกับแขนอาวุธเทพ

ความแตกต่างระหว่างเหล่าผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะที่มีเรือบินรบเวทกับพวกที่ไม่มีนั้นช่างน่าตื่นตะลึงยิ่งนัก! หวังเป่าเล่อนึกถึงเกราะจักรพรรดิของตนเองขึ้นมาทันที

ถ้าข้าหลอมเรือบินรบเวทได้ จะเอามาใช้กับเกราะจักรพรรดิได้หรือไม่นะ… หวังเป่าเล่อรู้สึกสนใจมากขึ้นเมื่อคิดได้เช่นนั้น แต่เขาก็รู้ดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามัวคิดอะไรเช่นนั้น ชายหนุ่มสูดหายใจลึก ปัดความคิดทิ้งไป และมุ่งหน้าตรงไปยังประตูภูเขาแฝดด้วยการขยับตัวเพียงครั้งเดียว

พื้นที่ระหว่างภูเขาแฝดดูกว้างใหญ่ แต่พอเข้าไปใกล้เขาก็รู้สึกเหมือนแหวกเข้าไปในม่านน้ำ คลื่นน้ำไหวกระเพื่อมเมื่อเขาถูกหลอมรวมกับพื้นที่ตรงนั้นและหายวับไป

เวลาเหมือนจะหยุดนิ่งชั่วขณะ หลังจากผ่านม่านน้ำเข้ามาได้ ร่างของหวังเป่าเล่อก็เหมือนจะสูญเสียการทรงตัว ขณะเดียวกัน ดวงจิตเย็นเยียบขนาดใหญ่ก็เคลื่อนตัวผ่านเขาไปมา ราวกับกำลังตรวจสอบยืนยันตัวตนและตรวจดูข้าวของทั้งหมดของเขา!

 นี่คือจุดตรวจ และเป็นการทดสอบขั้นสุดท้ายว่าหวังเป่าเล่อสามารถสวมรอยเป็นหลงหนานจื่อได้อย่างแท้จริงหรือไม่ เขาได้เรียนรู้ส่วนสำคัญหลายๆ อย่างจากเต๋อคุนจื่อ จึงมั่นใจว่ากระบวนท่าสารัตถะของตนจะผ่านการทดสอบสุดท้ายนี้ได้แน่นอน

และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ไม่ว่าสำนักไหนบนดาวเคราะห์ในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ก็ไม่มีทางมองพลังเทพที่ศิษย์พี่เฉินชิงสร้างขึ้นมาได้ ไม่ว่าดวงจิตจะตรวจสอบอย่างไร สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็ปกติดี ไม่พบปัญหาอะไรทั้งสิ้น หลังจากนั้นประมาณเจ็ดถึงแปดชั่วลมหายใจ ร่างของหวังเป่าเล่อก็ถูกพลังที่นุ่มนวลส่งไปด้านหน้า และหลุดออกจากสภาพที่เหมือนโดนผนึกไปได้ ชายหนุ่มปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ที่แท้จริง!

บนฟากฟ้าสีครามมีฝูงนกกระเรียนสีขาวโบยบินอยู่ ทั่วพื้นที่เต็มไปด้วยบรรยากาศอันศักดิ์สิทธิ์ บนท้องนภามีห้วงอวกาศที่เป็นดั่งเส้นสายรุ้ง มียอดเขามากมายที่ปกคลุมด้วยหมอก ระหว่างยอดเขามีทุ่งวิญญาณจำนวนมากที่มีทั้งเสียงนกและกลิ่นหอมของดอกไม้คละเคล้ากันไป ระหว่างท้องฟ้าและผืนดินมีเงาผู้ฝึกตนอยู่ไม่น้อย บ้างก็กำลังคุยกันอย่างมีความสุข บ้างก็กำลังทะเลาะกัน บ้างก็วิ่งวุ่นไปมา…

หวังเป่าเล่อได้ยินเสียงร้องคำรามของอสูรศักดิ์สิทธิ์ ได้เห็นศีรษะของมังกรสีเงินขนาดใหญ่กำลังเคลื่อนตัวไปในห้วงอวกาศ ทั้งหมดนี้ทำให้ชายหนุ่มหรี่ตาลง

จุดที่เขาอยู่ในตอนนี้คือแท่นบูชาโบราณบนยอดเขา รอบตัวเต็มไปด้วยเสาค้ำที่มีตัวอักขระสลักอยู่ ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังมองไปยังฟากฟ้าและผืนดินภายใต้พลังอันยิ่งใหญ่นี้ หญิงสาวนางหนึ่งในชุดสวมใส่ในวังก็เดินออกมาจากหมู่เมฆบนสวรรค์!

แม้ระดับการฝึกตนของนางจะอยู่เพียงขั้นจุติวิญญาณ และสวมใส่เครื่องแต่งกายของทางวัง ทว่าหน้าตาของนางก็สะสวยยิ่ง มีโหนกแก้มสูงชัดและไฝเสน่ห์ขนาดเท่าเล็บก้อยอยู่ตรงมุมปาก…

แต่ความงดงามและระดับการฝึกตนไม่ได้ช่วยลดความโอหังบนใบหน้าของนางลงเลยสักนิด นางหยุดอยู่เหนือแท่นบูชา ก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงเย็นเยียบ “หลงหนานจื่อ ตามข้ามา เราจะไปเข้าเฝ้าจักรพรรดิ”

……………………………