ตอนที่ 100 เจ้าจิ้งจอกจอมล่อลวงเป่ยเฉิน ออกมาให้ข้าสับซะ (3)

 

 

 

ซือหม่าหรุ่ยและซินเยว่เยี่ยนพาจงรั่วปิงกลับมา

 

 

เมื่อเดินมาถึงกำแพงเมือง ก็เห็นฉากดุเดือดเลือดพล่านนี้

 

 

แม่นางทั้งสามตะลึงงันไปเล็กน้อย ทั้งสามมองหน้ากัน…

 

 

ซือหม่าหรุ่ยไม่เข้าใจ “เกิดอะไรขึ้น”

 

 

ซินเยว่เยี่ยนถูคางไปมา คิดถึงครั้งก่อนที่พบคนทั้งสอง ก็เหมือนจะเป็นฉากที่พวกเขาจะต่อยตีกัน เอ่ยเบาๆ ว่า “คงไม่ใช่เพราะความหึงหวงหรอกนะ”

 

 

มุมปากซือหม่าหรุ่ยกระตุกอย่างอดรนทนไม่ไหว

 

 

….

 

 

เช้าตรู่เช่นนี้ บุรุษสองคนยืนบนกำแพงเมือง ใช้สายตาเย็นชามองฝ่ายตรงข้าม ไอสังหารแผ่กระจาย ที่น่ากลัวที่สุดคือ ด้านล่างกำแพงมีคนกลุ่มใหญ่ชะโงกหัวออกมา พวกทหารช่างซุบซิบนินทาไม่รักษาหน้าที่ของตัวเองให้ดี

 

 

การกระทำรุนแรง เสียงดังสนั่น หากเป็นความหึงหวงอย่างที่ซินเยว่เยี่ยนว่าจริงๆ

 

 

อย่างนั้นก็น่าขันเกินไปแล้ว

 

 

ในเวลานี้สายตาจงรั่วปิงกลับมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนและจิ่วหุนสลับกันไปมาครู่หนึ่ง ในที่สุดสายตานางก็ตกอยู่ที่ร่างของบุรุษที่มีกลิ่นอายปีศาจ

 

 

บุรุษที่เข้มแข็งเช่นนี้ ถึงเป็นลักษณะที่นางชอบ

 

 

นางจ้องเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ถามคนข้างกายว่า “เขาก็คือเป่ยเฉินเสียเยี่ยนหรือ”

 

 

ซือหม่าหรุ่ยพยักหน้า “ไม่ผิด นั่นก็คือองค์ชายสี่แห่งราชวงศ์เป่ยเฉินที่เป็นเสมือนปีศาจตามคำเล่าลือ ทั้งยังเป็นองค์ชายตามคำเล่าลือ…แค่ก…”

 

 

ซินเยว่เยี่ยนที่อยู่ด้านข้าง มองซือหม่าหรุ่ย “ที่เจ้าพูด คงไม่ใช่คำเล่าลือนั้นหรอกนะ”

 

 

จงรั่วปิงหันกลับมองพวกเขา มุมปากยกยิ้มเย็นชา ยามนี้นางรู้แล้วว่าพวกนางคิดพูดอะไรกัน

 

 

นางเอ่ยรับคำต่อไปว่า “ตามคำเล่าขาน ยามที่องค์ชายสี่ถือกำเนิด ท้องฟ้าเกิดความผิดปกติ เมฆครึ้มปกคลุมทั่วท้องฟ้าในยามราตรี ดวงจื่อหยุนอ่อนแสง ราชครูทำนายว่า หลังจากองค์ชายผู้นี้เกิดมา ภายหน้าจะมีเภทภัยใหญ่ ราชวงศ์เป่ยเฉินในภายหน้าจะล่มสลายในมือเขา”

 

 

จงรั่วปิงเอ่ยเสียงไม่ดัง เพียงพวกนางสามคนได้ยินเท่านั้น

 

 

แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ ซินเยว่เยี่ยนยังคงมองนางอย่างตักเตือน “คำพูดพวกนี้ภายหน้าอย่าเอ่ยอีกแล้ว โดยเฉพาะอย่าเอ่ยให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้ยิน อย่างไรเสียเจ้าก็เข้าใจดี นี่เป็นหัวข้อต้องห้าม ใครก็ห้ามเอ่ยถึงทั้งนั้น”

 

 

ซือหม่าหรุ่ยก็พยักหน้าเช่นกัน

 

 

หัวข้อนอกนอกจากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่ชอบฟังแล้ว ฮ่องเต้เองก็มิยินยอมสดับรับฟัง หรือบอกได้ว่าฮ่องเต้ไม่กล้าฟัง คนที่เอ่ยเรื่องนี้ออกมา ประสบเคราะห์ถึงชีวิตได้อย่างง่ายดาย

 

 

สายตาที่จงรั่วปิงมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน กลับเพิ่มความชื่นชมขึ้นหลายส่วน “ข้าล่ะสงสัยเสียจริง ในปีนั้นเขามีชีวิตรอดจากราชวังได้อย่างไร ผ่านเรื่องราวในอดีตอย่างไรมา ถึงได้เป็นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนในวันนี้”

 

 

เกรงว่าคงไม่มีใครคิดถึง ในปีนั้นฮ่องเต้และฮองเฮาทำกับเขาเช่นนั้น…

 

 

สุดท้ายเขาไม่ตาย ทั้งยังเปลี่ยนมาเป็นคนเช่นนี้ ทำให้คนทั่วหล้าเมื่อได้ยินชื่อเขา ต่างก็ตกใจตัวสั่นอย่างไร้การควบคุม แม้กระทั่งฮ่องเต้ยังเคยถูกเขาถีบตกบัลลังก์มังกร ถึงเกิดโทสะก็ไม่กล้าตรัสอะไร

 

 

ซือหม่าหรุ่ยฟังความชื่นชมในคำพูดออก หันกลับมองจงรั่วปิง “ทางที่ดีเจ้าอย่าได้สนใจในตัวเขา เจ้ารู้ว่าเขาร้ายกาจแค่ไหน หลายวันมานี้ข้าอยู่ในเมือง เห็นการกระทำของเขาก็มองออกแล้ว คำเล่าลือที่เกี่ยวข้องกับเขาพวกนั้นล้วนมิได้โกหก”

 

 

คำเล่าลือที่ว่าเขามีนิสัยเลวร้ายเพียงใด จากมุมไหนๆ ก็สามารถมองออกได้ ไม่ใช่คำที่กุขึ้นเพื่อว่าร้าย เขาเป็นปีศาจตนหนึ่ง

 

 

เมื่อตระหนักได้แล้ว ซือหม่าหรุ่ยคิดว่าบุรุษอย่างเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เกรงว่านอกจากเยี่ยเม่ยแล้ว คงไม่ชื่นชอบกับคนอื่นอีกแน่

 

 

จงรั่วปิงนิ่งไป แววตาลุ่มลึก แต่มิได้เอ่ยอะไร สายตานางมองที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยังไม่ถอนกลับ

 

 

ถัดมา

 

 

จิ่วหุนพลันลงมือ กระบี่ยาวพุ่งเข้าจู่โจมเป่ยเฉินเสียเยี่ยน

 

 

กระบวนท่าของเขา มิใช่ไร้ท่าเปล่าไร้พลังในการสังหาร แต่นับตั้งแต่ออกกระบี่ไป เสี้ยววินาทีนั้นก็มีความสามารถบั่นหัวคนขาดได้ จิตสังหารรุนแรง ไม่มีน้ำใจเลยสักน้อย

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยกมุมปากขึ้นน้อยๆ

 

 

เขาหาได้ใส่ใจกระบวนท่าจู่โจมของจิ่วหุน หรือเรียกว่าเขาคาดเดาได้อยู่ก่อนแล้วว่าฝ่ายตรงข้ามจะลงมือ ก็จะพุ่งมาจู่โจมเอาชีวิตเขาโดยตรง

 

 

นัยน์สีเขียวพลันเปล่งแสงแดงออกมาภายในเสี้ยวนาที

 

 

ระหว่างยื่นมือไป กำลังภายในก็แผ่ออกมา พุ่งใส่ใบหน้าของจิ่วหุน

 

 

ความจริงแล้ว…

 

 

ก็เหมือนกับที่จิ่วหุนคิดทำลายใบหน้าของเขา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ไม่ชอบหน้าตางดงามของจิ่วหุนมานานมากแล้ว

 

 

เวลาเพียงเสี้ยววินาที

 

 

กระบี่ปะทะกับกำลังภายในไร้รูปลักษณ์

 

 

กลับเกิดเป็นแสงสว่าง กำลังภายในเปลี่ยนเป็นวงกลมกระจายออกจากตัวพวกเขาที่เป็นเหมือนศูนย์กลาง แหลมคมราวกับมีดดาบ ตัดต้นไม้ใหญ่ในรัศมีร้อยเมตรหัก

 

 

นี่แค่การปะทะกันอย่างเรียบง่ายเท่านั้น ก็เกิดพลังทำลายล้างถึงขั้นนี้

 

 

ความสามารถของคนทั้งสอง ช่างชวนให้ตกตะลึงมากนัก

 

 

ส่วนเซียวเยว่ชิงและหลูเซียงฮั่วในยามนี้อยากร่ำไห้ออกมาแล้ว

 

 

นี่มันเรื่องอะไรกันแน่…

 

 

เป็นเพราะอะไรกันเล่า

 

 

ภายใต้กระบวนท่าเดียว ต้นไม้ใหญ่ก็กลายสภาพน่าอนาจเช่นนี้แล้ว พวกเขาไม่กล้าคิดจริงๆว่า หากคนทั้งสองลงมือต่อสู้กันต่อไป จะทำให้หอสังเกตการณ์พังทลายไปด้วยหรือเปล่า

 

 

หากเป็นเช่นนี้ เมืองชายแดนจะรับข้าศึกอย่างไร

 

 

ยังดีที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนและจิ่วหุนต่างก็รู้ดี ยามนี้เยี่ยเม่ยเป็นผู้นำทัพของเมือง นางมุ่งมั่นว่าจะเอาชนะศึก หากกำแพงเมืองพังทลาย จะส่งผลถึงการศึกได้อย่างรวดเร็ว

 

 

เหล่าทหารต้ามั่วไม่จำเป็นต้องโจมตี ก็ทะลวงเข้าเมืองมาได้ เรื่องนี้ต้องส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของเยี่ยเม่ยแน่ ทั้งส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของพวกเขาในใจของเยี่ยเม่ย

 

 

ดังนั้นระหว่างที่พวกเขาทั้งสองประมือกันก็ระวัง ไม่ให้พลังทำลายล้างกระทบถูกกำแพงเมือง

 

 

ซือหม่าหรุ่ยเห็นฉากตรงหน้า สายตาปรากฏความแตกตื่น “คิดไม่ถึงจริงๆ…เจ้าหนุ่มนี่ ร้ายกาจถึงเพียงนี้”

 

 

กระบวนท่าเมื่อครู่มองแล้วก็ผ่อนคลายสบายมาก แต่ความจริงล้วนอยู่ที่กำลังภายในของทั้งสอง

 

 

หากมีใครคนหนึ่งรับไม่ไหว ยามนี้คงถูกกำลังภายในของอีกฝ่ายกระแทกตัวปลิวไปแล้ว

 

 

ในเวลานี้จงรั่วปิงอดไม่ไหวชื่นชมจิ่วหุน สายตาของนางล้ำลึก จ้องไปทางจิ่วหุน เอ่ยว่า “เจ้าหนุ่มนี่ ก็ไม่เลว”

 

 

นางเป็นจอมยุทธ์อันดับหนึ่งของใต้หล้า ย่อมรู้พลังทำลายล้างของกระบวนท่าคนทั้งสองดี

 

 

ภายใต้กระบวนท่าเดียว ทั้งสองคนไม่บาดเจ็บ ก็มากเพียงพอทำให้รับรู้แล้วว่าเจ้าหนุ่มนี่ร้ายกาจมาก

 

 

ในขณะที่พวกนางตกอยู่ในความตะลึง

 

 

ร่างของจิ่วหุนไหววูบ ความเร็วชนิดที่สายตาไม่อาจมองเห็นได้ กลับทำให้คนเห็นร่างจิ่วหุนเป็นจำนวนมาก ในมือถือดาบยาว พุ่งเข้าจู่โจมเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมาจากทิศที่แตกต่างกันออกไป

 

 

น้ำเสียงเขาต่ำลง ทั้งค่อยๆดังขึ้นว่า “เงาสังหาร”

 

 

ทหารทั้งหมดด้านล่างเห็นเหตุการณ์ ต่างก็สูดลมหายใจลึก เดิมพวกเขาคิดว่า ยามที่พวกเขาเห็นจิ่วหุนในสนามรบ ก็ร้ายกาจมากพอแล้ว

 

 

คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมีความสามารถถึงขั้นนี้

 

 

นี่…

 

 

ใครสามารถแยะออกได้ว่าคนไหนถึงจะเป็นจิ่วหุนตัวจริง มี…มีตั้งมากมายเช่นนี้…

 

 

ทว่าถัดมา

 

 

สายตาของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนปรากฏแสงมารมองจิ่วหุน ทั้งมีความชื่นชมอยู่ไม่น้อย กำลังภายในในมือ พุ่งทะลวงไปเบื้องหน้า “เพลิงผลาญเงา”

 

 

สิ้นเสียงของเขา

 

 

เปลวไฟไร้รูปลุกโหมขึ้นจากพื้นดิน ยึดเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็นศูนย์กลางพวยพุ่งกระจายออกไปทั่วทั้งสี่ด้านแปดทิศ คล้ายกับพื้นถูกราดน้ำมันเอาไว้ เปลวเพลิงกองแล้วกองเล่าลุกโหมขึ้นอย่างว่องไว

 

 

เปลวเพลิงห้อมล้อมเป่ยเฉินเสียเยี่ยน แผดเผาเงาทั้งหลาย

 

 

ใครก็รู้ว่าเปลวเพลิงพวกนั้นหาใช่ไฟของจริง และยังรู้ว่านี่เป็นการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ของกำลังภายในแบบหนึ่ง

 

 

เปลวไฟนี้ไม่อาจเผาคนตายได้ แต่รูปเดิมของเปลวไฟคือกำลังภายใน เมื่อปะทะกับคนก็สามารถคร่าชีวิตได้เช่นกัน

 

 

 “พวกเขา…” เวลานี้สีหน้าจงรั่วปิงเผยความแตกตื่นออกมา

 

 

นางออกท่องยุทธจักร ถึงได้รับสมญานามเป็นจอมยุทธ์หญิงอันดับหนึ่ง วรยุทธ์ย่อมไม่อ่อนด้อย เดิมทีนางมีความมั่นใจในตัวเองมาก จนกระทั่งเห็นคนทั้งสอง…

 

 

ความสามารถเช่นนี้ กำลังภายในเช่นนี้

 

 

นางรู้สึกว่าตัวเองตลอดหลายปีที่ผ่านมา วิชาวรยุทธ์ที่ร่ำเรียนล้วนเป็นของปลอมแล้ว นางเกรงว่าเคล็ดวิชาที่เล่าเรียนมาจะเป็นเคล็ดวิชาปลอม ออกท่องยุทธภพของปลอม เอาชนะเหล่ายอดฝีมือจอมปลอม กลายเป็นจอมยุทธ์หญิงของปลอม

 

 

ซินเยว่เยี่ยนก็อ้าปากค้างอย่างไม่อยากเชื่อ นางรู้มานานแล้วว่าความสามารถของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนต้องอยู่สูงกว่าตน แต่นางก็มั่นใจในตัวกูเยว่อู๋เหิน คิดว่าอู๋เหินต้องเอาชนะเป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้

 

 

แต่ยามนี้เมื่อได้เห็น เกรงว่าต่อให้เป็นอู๋เหินปะทะกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ก็คงไม่ได้เปรียบกว่า เมื่อก่อนนางออกจะมองโลกในแง่ดีเกินไปแล้ว…

 

 

ทหารทั้งหลายของเป่ยเฉิน ต่างก็อ้าปากค้างอย่างควบคุมไม่อยู่

 

 

เดิมทีพวกเขาต่างคิด เงาร่างกระจัดกระจายของเสี่ยวจิ่วมากมายขนาดนี้ กระบี่จะทะลวงผ่านร่างของเตี้ยนเซี่ยไปตรงๆ

 

 

แต่เมื่อเห็นกำลังภายในของเตี้ยนเซี่ยแปรสภาพกลายเป็นเปลวเพลิง…

 

 

พวกเขาทั้งยินดีทั้งกังวล เสี่ยวจิ่วจะถูกเพลิงที่เกิดจากกำลังภายในนั้นทำให้ตายหรือไม่

 

 

เปลวเพลิงแผดเผา คล้ายกับไฟป่าเผาไหม้ต้นไม้ใบหญ้า ลามเลียไปอยู่ใต้ฝ่าเท้าของแต่ละเงาร่างอย่างว่องไว ไม่ว่าร่างจริงของจิ่วหุนอยู่ที่ไหนล้วนถูกเปลวเพลิงนี้กลืนกินได้…