บทที่ 620 สะใจ

บัลลังก์พญาหงส์

วันนี้เป็นวันที่ดีจริง แต่เป็นวันดีของถาวจวินหลัน ไม่เกี่ยวข้องกับนาง ตอนที่ฮองเฮาพูดเช่นนี้ รู้สึกว่าขมไปทั้งปาก ในใจนั้นแทบจะถูกไฟแค้นแผดเผาจนควบคุมสติสัมปชัญญะเอาไว้ไม่ได้แล้ว 

 

 

นอกจากความอึดอัดจากตอนที่ยังเป็นพระชายาองค์รัชทายาทแล้ว ฮองเฮาก็ไม่เคยรู้สึกตกต่ำเช่นนี้มาก่อน 

 

 

ถาวจวินหลันกลับไม่สนใจไฟแค้นของฮองเฮา เพียงแค่ยิ้มและยกแก้วเหล้าขึ้นมา “ข้าก็ดื่มให้ทุกท่าน ขอให้ทุกวันสามารถใช้ชีวิตตามสบายด้วยเถิด” 

 

 

บรรดาสตรีที่มีตำแหน่งด้านล่างนั้นรีบแย่งกันรับคำ ทันใดนั้นบรรยากาศพลันก็ครึกครื้น 

 

 

จากภาพรวมแล้วงานเลี้ยงครั้งนี้ดูสุขสันต์ยิ่ง แม้ว่าถาวจวินหลันต้องเหนื่อยมาก แต่ได้เห็นฮองเฮาใช้ข้ออ้างว่ารู้สึกไม่ค่อยดีขอตัวกลับก่อนนั้น นางกลับรู้สึกสบายใจนัก 

 

 

สุดท้ายแล้วฮองเฮาก็ทนไม่ไหว แต่เมื่อเป็นเช่นนี้กลับยิ่งทำให้ดูเหมือนหนีหัวซุกหัวซน บรรดาสตรีมียศทั้งหลายก็ยิ่งมั่นใจว่าในอนาคตฮองเฮาไม่อาจสร้างคลื่นลูกใหญ่ได้อีกแล้ว ฮองเฮาสูญสิ้นอำนาจ ไม่จำเป็นต้องเดินตามต่อไปแล้ว 

 

 

ฮองเฮาจากไปเช่นนี้ หวังฮูหยินก็ก้าวขึ้นมาดื่มเหล้าจอกหนึ่งกับถาวจวินหลันอย่างไม่คิดร้อนใจ จากนั้นก็เอ่ยคำยินดีด้วยเสียงกระซิบ “ขอให้พระชายาองค์รัชทายาททรงอำนาจเช่นนี้ตลอดไปนะเพคะ” 

 

 

ถาวจวินหลันทำเป็นไม่เข้าใจนัยแฝงในคำพูดของหวังฮูหยิน ยิ้มเล็กน้อย ตอบกลับอย่างสงบนิ่ง “ขอบคุณหวังฮูหยิน ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง หวังฮูหยินเห็นแล้วคงจะต้องดีใจเป็นแน่” 

 

 

สุดท้ายหวังฮูหยินก็ทนไม่ไหว ขึ้นเสียงพูด “ข้าขอเตือนท่านสักอย่าง ดอกไม้ก็ไม่ได้บานทุกวันฉันใด คนก็ไม่ได้ดีทุกวันฉันนั้น” พอพูดจบหวังฮูหยินก็หาเหตุผลขอตัวกลับไปก่อน 

 

 

หยวนฉงหวาไม่ได้จากไป ยิ้มแย้มแจ่มใสก้าวขึ้นมา ยกแก้วดื่มแสดงความเคารพถาวจวินหลันอย่างจริงใจแล้วพูดแฝงนัย “หากสุนัขเห่าไม่น่าฟัง ก็ไม่จำเป็นต้องโมโห คนจะไปเอาความกับสุนัขทำไมกันเพคะ?” 

 

 

แม้นถาวจวินหลันไม่ชอบคำเยินยอของหยวนฉงหวา แต่ก็ต้องยอมรับว่าคำเยินยอของหยวนฉงหวานั้นทำให้สบายใจจริงๆ โดยเฉพาะคำพูดนี้ ยิ่งพูดถูกต้อง ในความเป็นจริงนางเองก็ทำเช่นนี้จริง 

 

 

“สุนัขก็กัดคนได้” ถาวจวินหลันหัวเราะเสียงเบา จากนั้นก็มองไปยังหยวนฉงหวาพลางพูดเช่นนี้ออกมา 

 

 

“จะต้องกลัวอะไรเพคะ?” หยวนฉงหวาแค่นหัวเราะ “ข้าจะช่วยดูให้ท่านเองเพคะ” 

 

 

“ไม่เป็นอะไร สุนัขหากคิดกัดคน ก็แค่หักฟันคมของมันออกก็พอแล้ว” ถาวจวินหลันยิ้มน้อยๆ ทว่าคำที่ออกจากปากกลับเย็นชา “เจ้าว่าจริงหรือไม่?” 

 

 

หยวนฉงหวาได้สติตามมาภายหลัง คำพูดของถาวจวินหลันไม่เพียงหมายถึงหวังฮูหยิน แต่ลองเชิงตนเองอยู่เช่นเดียวกัน ฉับพลันก็ไม่สบายใจขึ้นมา แต่ความไม่สบายใจนี้ตอนที่มองเห็นชุดตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาทสีเหลืองอ่อนบนตัวของถาวจวินหลันแล้ว พลันก็สลายหายไปไร้ร่องรอย 

 

 

อยู่ใต้ชายคาเรือนคนอื่นก็ต้องก้มหัวให้ หลังจากท่องประโยคนี้ซ้ำๆ อยู่ในใจ หยวนฉงหวาก็สงบใจลง แล้วจึงหันไปส่งยิ้มให้ถาวจวินหลัน “วิธีนี้ดียิ่งนักเพคะ” 

 

 

ขณะเดียวกัน เพ่ยหยางโหวฮูหยินกับเฉินฮูหยินก็เดินเคียงกันมาดื่มเหล้าแสดงความยินดีกับถาวจวินหลัน ทั้งสองคนจึงไม่พูดสนทนากันอีก แล้วพากันแยกย้ายไป 

 

 

เฉินฮูหยินยิ้มแย้มมองถาวจวินหลัน ดวงตานั้นฉายแววยินดีอย่างปิดไม่มิด แต่ท่าทีแลดูนอบน้อมมากว่าปกติ “ข้าเคยพูดมานานหลายปี พระชายาองค์รัชทายาทไม่ใช่คนธรรมดา วันนี้คำพูดกลายเป็นจริงก็ไม่แปลกใจ” 

 

 

เฉินฮูหยินพูดชมถาวจวินหลันเช่นนี้ก็รู้สึกละอายใจขึ้นมา แต่ก็เข้าใจที่เฉินฮูหยินพูดชื่นชมเยินยอนางเช่นนี้ จึงแย้มยิ้มอย่างเปิดเผย “เฉินฮูหยินกล่าวเกินไปแล้ว” 

 

 

เพ่ยหยางโหวฮูหยินก็รับคำพูดต่อ “คำพูดของเฉินฮูหยินนั้นไม่ผิด” จากนั้นก็ยกข้อดีของถาวจวินหลันขึ้นมาพูดทีละข้อ ทั้งยังพาสตรีมียศคนสนิทมาแนะนำกับถาวจวินหลัน 

 

 

ก่อนหน้านี้ตอนที่ยังเป็นชายารองตวนชินอ๋อง เพราะกลัวมีคนคิดว่าส้องสุมสมัครพรรคพวกกับหลี่เย่ ถาวจวินหลันจึงไม่เคยได้สานสัมพันธ์กับสตรีมียศพวกนี้นัก จึงแทบไม่ค่อยรู้จักใคร เพ่ยหยางโหวทำเช่นนี้ก็ถือว่าเอาอกเอาใจตามสิ่งที่ต้องการ 

 

 

ถาวจวินหลันย่อมต้องไว้หน้าเพ่ยหยางโหวฮูหยิน แสดงท่าทีให้ความสำคัญกับเพ่ยหยางโหวฮูหยินออกมา ที่จริงแล้วต่อให้เพ่ยหยางโหวฮูหยินไม่ทำเช่นนี้ นางก็ยินยอมไว้หน้าเพ่ยหยางโหวฮูหยินเช่นกัน หลายปีมานี้เพ่ยหยางโหวทำดีกับนางมากมาย ต่อให้เพื่อตอบสนองน้ำใจซึ่งกันและกัน นางเองก็ไม่อาจละเลยเพ่ยหยางโหวฮูหยิน 

 

 

พองานเลี้ยงจบไปแล้ว ถาวจวินหลันก็เกือบประคองร่างไม่ได้ พอขึ้นนั่งบนเกี้ยวแล้ว นางก็ไม่รักษาท่าทีสง่างามผ่าเผยอีก แต่กลับอ่อนแรงลง นั่งพิงเบาะไม่อยากขยับไปไหน 

 

 

หงหลัวมองดูอยู่ข้างๆ แม้อยากจะเอ่ยเตือนให้ถาวจวินหลันรักษาภาพพจน์ แต่พอมองถาวจวินหลันที่มีท่าทีเหน็ดเหนื่อย นางก็พูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว แต่กลับรู้สึกสงสารเป็นอย่างมาก คิดว่าให้ถาวจวินหลันได้พักเสียหน่อยคงไม่เป็นอะไร 

 

 

ถาวจวินหลันไม่ได้ตรงกลับไปวังตวนเปิ่น แต่ให้คนพาไปยังวังไทเฮา 

 

 

ไทเฮาไม่ได้นอนพักกลางวัน กำลังรอนางอยู่ 

 

 

ถาวจวินหลันยิ้มพลางทำความเคารพไทเฮา ไทเฮาสะบัดมือ “ปล่อยไปเถิด วันนั้นเจ้าเองก็เหนื่อยแล้ว เจ้าลองพูดถึงพิธีแต่งตั้งให้ข้าฟังหน่อยสิ” 

 

 

ในเมื่อไทเฮาพูดเช่นนี้ ถาวจวินหลันย่อมไม่อ้อมค้อม ตนเองนั่งลงเบื้องหน้าไทเฮา จากนั้นก็บรรยายถึงพิธีแต่งตั้งอีกครั้งอย่างละเอียด แน่นอนว่ารวมไปถึงการกระทำผิดปกติของฮ่องเต้ที่ทำท่าสนิทสนมรักใครกับหลี่เย่กะทันหัน 

 

 

ไทเฮาได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะออกมา “นี่เป็นเรื่องดี ฮ่องเต้คิดได้เสียที ในที่สุดก็เลิกคิดมากและไม่พอใจอีกแล้ว เขาเข้าใจก็ถือเป็นเรื่องดี” 

 

 

น้ำเสียงของไทเฮาแฝงไว้ด้วยความยินดีอย่างเห็นชัด 

 

 

ถาวจวินหลันจำต้องกลืนความสงสัยที่อยู่ก้นบึ้งหัวใจลงไป ไม่พูดออกมาแม้แต่คำเดียว ในเมื่อไทเฮามีความสุข ก็ให้ไทเฮามีความสุขต่อไปเถิด ต่อให้เป็นเรื่องโกหก ก็ไม่เป็นอะไร 

 

 

ไทเฮายินดีอยู่ครู่หนึ่ง อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ดีๆๆ ฮ่องเต้คิดเช่นนี้ หญิงแก่เช่นข้าก็วางใจไปบอกฮ่องเต้องค์ก่อนใต้ผืนดินได้เสียที” 

 

 

ฉับพลันนั้น ถาวจวินหลันก็รู้สึกสงสารขึ้นมา เพียงแค่แกล้วกล่าวโทษไทเฮา “ไทเฮาก็เหลือเกินเพคะ อยู่ดีๆ จะพูดเรื่องอัปมงคลเช่นนี้ทำไมกันเพคะ? วันนี้เป็นวันดี พระองค์จะต้องพูดคำพูดมงคลสิเพคะ พระองค์ต้องอยู่รอเห็นซวนเอ๋อร์กับหมิงจูโตเป็นผู้ใหญ่ จนตบแต่งออกเรือนมีลูกไปก่อนนะเพคะ” 

 

 

ไทเฮาได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะลั่น “เช่นนั้นข้าคงกลายเป็นปีศาจชราเสียแล้ว” 

 

 

“ปีศาจชราก็ไม่กลัวเพคะ ขอแค่พระองค์มีพระชนมายุยืนนาน องค์รัชทายาทต้องพอพระทัยแน่เพคะ” ถาวจวินหลันยิ้มแย้มพูดหยอกไทเฮาเพื่อให้ไทเฮาอารมณ์ดี 

 

 

เมื่อพูดเช่นนี้ไทเฮาก็หัวเราะดังกว่าเดิม พอหยุดหัวเราะแล้ว ไทเฮาถึงได้มองถาวจวินหลันและพูดอย่างจริงจังว่า “ผู้สืบสายเลือดขององค์รัชทายาทนั้นมีน้อยนัก เจ้าลองดูว่าเจ้ายังคลอดลูกอีกได้หรือไม่ มิเช่นนั้นก็ต้องคิดหาวิธีอื่นแล้ว มีลูกเยอะถึงมีความสุข เจ้าจะต้องเข้าใจเรื่องนี้”  

 

 

พูดไปไทเฮาก็มองถาวจวินหลันทีหนึ่ง ทันใดนั้นก็มีท่าทีผ่อนคลาย ถอนหายใจเบาๆ “ไม่ใช่ว่าหญิงแก่อย่างข้าจงใจขัดใจเจ้าในวันดีเช่นนี้ แต่ในเมื่อเจ้าเป็นพระชายาองค์รัชทายาท ข้าย่อมต้องสอนเจ้าให้ดี นี่ถือว่าเป็นสิ่งที่ข้าเรียนรู้จากประสบการณ์ของตนเอง อย่างไรคำพูดของข้าก็สมเหตุสมผล” 

 

 

แต่เดิมถาวจวินหลันคิดว่าไทเฮาจงใจยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดเพื่อให้นางจัดการหาคนไปปรนนิบัติหลี่เย่ แต่คิดไม่ถึงว่าไทเฮาจะพูดเช่นนี้ออกมา นางพลันรู้สึกอับอายและละอายใจเป็นอย่างมาก คิดว่าตนเองนั้นเอาจิตใจที่คับแคบของตนไปเทียบกับคนใจคอกว้างขวางเสียแล้ว จากนั้นก็อดรู้สึกแสบจมูกไม่ได้ แล้วจึงร้องเรียกออกมา “ไทเฮาเพคะ!” 

 

 

ไม่ใช่เพราะนางซาบซึ้ง แต่เพราะสัมผัสเช่นนั้นได้จริง ไทเฮาหวังให้หลี่เย่มีอนาคตดี ก่อนหน้านี้ไม่ชอบนางเช่นนั้น ตอนนี้กลับพูดเตือนนางมากมายเช่นนี้ นางย่อมไม่อาจนิ่งเฉยได้อีก 

 

 

ด้วยเพราะอยากให้ไทเฮาคลายกังวล ถาวจวินหลันจึงพูดความคิดของตนและหลี่เย่ออกมาเสียงเบา “ตอนที่คลอดหมิงจู ร่างกายของหม่อมฉันอ่อนแอไปเล็กน้อยเพคะ ตลอดระยะเวลาครึ่งปีนี้ก็บำรุงร่างกายมาตลอด จุดประสงค์ก็เพื่อบำรุงร่างกายให้หายดี แล้วค่อยคลอดลูกอีกสักคนสองคนเพคะ องค์รัชทายาทเองก็คิดเช่นเดียวกัน คิดว่าจะต้องมีลูกเยอะเสียหน่อย ส่วนผู้หญิงคนอื่น องค์รัชทายาทไม่ลุ่มหลงมัวเมาในสตรี อีกทั้งเรื่องฮองเฮากับเสด็จแม่ในตอนนั้นก็ให้เขาต่อต้านเรื่องลับลมคมในเช่นนี้มากเพคะ ดังนั้นจึงพูดอยู่เสมอว่าผู้หญิงในวังหลังเยอะแล้วไม่ใช่เรื่องดี ดังนั้นจึงไม่ยอมรับผู้หญิงอื่นเพคะ” 

 

 

ไทเฮาย่อมไม่เชื่อคำพูดของถาวจวินหลันทั้งหมด คิดว่าถาวจวินหลันจงใจพูดเช่นนี้เพราะไม่อยากเพิ่มคนให้หลี่เย่ แต่นางก็ต้องเชื่ออยู่เช่นกัน ด้วยเพราะคำพูดเหล่านี้สุดท้ายแล้วก็ยังเหลือร่องรอยเอาไว้ในใจของนาง 

 

 

ไทเฮาได้ยินว่าถาวจวินหลันคิดจะมีลูกอีก ในใจนั้นก็ไม่คิดจะทรมานต่อไป อย่างไรขอเพียงมีทายาทแตกกิ่งออกใบก็พอแล้ว ส่วนใครจะคลอดนั้นไม่สำคัญ หลี่เย่โปรดปรานใครก็ไม่สำคัญ ตอนนี้นางไม่มีเรี่ยวแรงมาสนใจเรื่องเหล่านี้แล้ว 

 

 

ถาวจวินหลันเตรียมใจไว้แล้วว่าไทเฮาคงไม่เชื่อแล้วเค้นถามนาง ใครจะรู้ว่าไทเฮาไม่ได้คิดเช่นนั้น นางจึงรู้สึกตกใจอยู่เล็กน้อย 

 

 

ตอนที่หลี่เย่กลับถึงวังตวนเปิ่น ถาวจวินหลันก็หลับตานอนพักผ่อนมาระยะหนึ่งแล้ว ได้ยินว่าหลี่เย่กลับมา นางก็รีบลุกขึ้นต้อนรับ ยังไม่ทันเดินไปใกล้หลี่เย่ก็ได้กลิ่นเหล้ารุนแรงฟุ้งกระจาย นางได้กลิ่นฉุนจนอดขมวดคิ้วไม่ได้ 

 

 

“ทำไมถึงปล่อยให้องค์รัชทายาทดื่มเยอะเช่นนี้?” พอเห็นหลี่เย่ที่มีท่าทีเมาเล็กน้อย นางก็ไม่อยากตำหนิหลี่เย่ ทว่าหันไปถามโจวอี้กับหวังหรูแทน 

 

 

หวังหรูหัวเราะขมขื่น แสดงท่าทีให้ถาวจวินหลันรู้ว่าอย่าถาม 

 

 

ถาวจวินหลันนิ่งไป ในใจคิดว่าหรือจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ? แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรอีก หวังหรูไม่ได้ปฏิเสธเช่นนี้บ่อยครั้ง นางจึงจัดการพาหลี่เย่ไปพักให้ดีก่อน แล้วค่อยมาสอบถามให้ละเอียดภายหลัง 

 

 

แต่หลี่เย่กลับพูดออกมาเอง ยิ้มและพูดว่า “เป็นความตั้งใจของเสด็จพ่อ ดื่มไปเล็กน้อย ไม่เป็นไรหรอก นอนครู่หนึ่งตื่นมาก็หายแล้ว” แม้จะบอกว่าดูเมา แต่ตอนพูดจาก็ยังปกติดี 

 

 

พอเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่เย่ ถาวจวินหลันก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ รู้สึกไม่สบายใจ คิดว่าหลี่เย่คงไม่ได้หัวเราะอยู่ แต่แสดงอารมณ์ตรงกันข้ามกัน ทว่ากลับทำให้นางไม่เพียงรู้สึกไม่สบายใจ อีกทั้งในใจยังรู้สึกไม่ดีอีกด้วย