ตอนที่ 204-1 เช้าตรู่วันหนึ่ง

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

ผีซ้ำด้ำพลอยที่ว่าก็คือหมิ่นซือเหนียน หาหมอรักษาบาดแผลภายนอกมาสิบกว่าคน ไม่มีใครไม่พูดว่าขาของเขารักษาไม่ได้แล้ว กระดูกขาแตกไหนเลยจะยังรักษาได้ หากว่าขาหัก ก็อาจจะยังต่อได้ แต่แตกแล้ว ต่อให้เป็นจะเป็นเทพเทวดาก็ไม่มีทางรักษา 

 

 

แม้ก่อนหน้านี้จะรู้ว่าขาของตนอาจจะไม่ดีแล้ว แต่เมื่อได้ยินคำวินิจฉัยของหมอทั้งหลาย หมิ่นซือเหนียนก็ยังคงเจ็บใจอย่างถึงที่สุด เขาเดือดดาลราวกับสัตว์ร้ายที่ร้องคำรามตัวหนึ่ง บ่าวทั่วทั้งเรือนต่างก็หดศีรษะไม่กล้าปริปาก ทั่วทั้งลานบ้านต่างก็ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นยาสุมนไพร ห่างออกไปไกลอย่างยิ่งก็ยังได้กลิ่น 

 

 

เหนียนซื่อภรรยาของหมิ่นซือเหนียนมาถึงเรือนนอกด้วยความไม่ยินยอมภายใต้คำโน้มน้าวของแม่นมคนสนิท สามีได้รับบาดเจ็บที่หอซิ่งชุนสถานที่แบบนั้น นี่จะให้นางเป็นสุขได้อย่างไร ที่บ้านฝั่งมารดานางเองก็ได้รับความโปรดปรานร้อยเท่าพันเท่า ไหนเลยจะเคยได้รับความอัดอั้นเช่นนี้มาก่อน 

 

 

แม่นมที่พามาจากบ้านฝั่งมารดาโน้มน้าวนาง “ฮูหยินเจ้าคะ ดวงตาทั่วทั้งจวนล้วนแต่จับจ้องอยู่ นายท่านได้รับบาดเจ็บ ท่านที่เป็นถึงภรรยาหากว่าไม่ดูไม่แล มิใช่จะทำให้คนติฉินนินทาได้หรอกหรือ ท่านแต่งเข้ามาหลายปีเพียงนี้ นายท่านเองก็เคารพท่านอย่างถึงที่สุด บุรุษน่ะ ไม่ใช่ว่าชอบมักมากในกามกันทั้งหมดหรือ ต่อให้จะเป็นของใหม่นายท่านก็ไม่เคยพาเข้ามาในบ้านให้ขวางหูขวางตาท่านมิใช่หรือ ประนีประนอมกันสักหน่อย ต่อให้จะต้องทำเพื่อคุณชายคุณหนูของท่าน ท่านก็ต้องไปดูสักหน่อย เลี่ยงไม่ให้ถูกคนหน้าไม่อายบางคนเจาะหาโอกาสได้” 

 

 

โน้มน้าวเช่นนี้เหนียนซื่อก็ไม่ขัดขืนอีก แม่นมพูดถูก นางสามารถเมินเฉยนายท่านได้ แต่นางต้องคิดเพื่อลูกๆ ของนาง ลูกๆ ของนางยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ ยังออกจากการคุ้มครองของนายท่านไม่ได้ เพื่อลูกๆ แล้วนางเองก็ต้องมัดใจนายท่านให้อยู่ 

 

 

เหนียนซื่อเดินอยู่บนทางที่ไปยังเรือนนอก หมิ่นซือเหนียนก็กำลังบัลดาลโทสะ “เจ้าว่าอะไรนะ คลังลับว่างเปล่าหมดเลยหรือ” เขาตกใจจนชั่วขณะก็ลืมขาที่เจ็บอยู่ของตนคิดอยากจะลุกขึ้นยืน ร้องโอดโอยล้มกลับลงไปอย่างเจ็บปวด พ่อบ้านหวังที่มาบอกข่าวก็รีบพยุงเขาขึ้น “นายท่านสามท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่” ในใจร้องทุกข์เงียบๆ แต่ใครให้เขาเป็นพ่อบ้านเล่า เขาไม่มารับหายนะนี้แล้วใครจะมา 

 

 

หมิ่นซือเหนียนสะบัดมือของเขาออก กัดฟันกรอดกล่าว “ว่ามา แท้จริงแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่” 

 

 

พ่อบ้านหวังกล่าวด้วยสีหน้าขมขื่นในใจก็หวาดกลัว “เรียนนายท่านสาม เช้าวันนี้ตื่นมาแล้วบ่าวรู้สึกผิดปกติอย่างยิ่ง หลายวันมานี้บ่าวไม่ค่อยสบายใจนัก ทุกคืนมักจะต้องพลิกไปพลิกมานอนไม่หลับ แต่เมื่อคืนบ่าวกลับหลับสบายอย่างยิ่ง รู้สึกตัวอีกทีก็ฟ้าสางแล้ว ถามคนอื่นๆ ต่างก็พูดว่าเมื่อคืนหลับสบาย บ่าวก็ยิ่งรู้สึกผิดปกติ เมื่อตรวจสอบก็พบว่าคลังลับถูกขนออกไปจนเกลี้ยง นายท่านสาม บ่าว บ่าวไม่ทราบจริงๆ ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น” ตอนนี้เขายังจับต้นชนปลายไม่ถูก นี่มันโจรย่องเบาที่ไหนถึงได้เก่งเพียงนี้ ไม่เผยพิรุธออกมาแม้แต่นิดเดียวก็ขนของในคลังลับจนเกลี้ยงแล้ว 

 

 

พ่อบ้านหวังจับต้นชนปลายไม่ถูก ทว่าหมิ่นซือเหนียนเจ้านายของเขากลับรู้ดีแก่ใจ เขากำหมัดแน่น บนใบหน้ามีความดุร้ายอันน่ากลัวแวบผ่าน กล่าวทีละคำ “คนแซ่เสิ่น” จักต้องเป็นฝีมือของเด็กแซ่เสิ่นคนนั้นแน่นอน 

 

 

คลังลับแห่งนั้นที่คฤหาสน์แม้ว่าจะไม่ได้ใหญ่เท่าในจวน แต่ก็เก็บทุนทรัพย์ของเขาไว้ สามส่วนสิบ หายไปเปล่าๆ เช่นนี้จะไม่ทำให้เขาเจ็บใจได้อย่างไร คฤหาสน์พังแล้ว เขาวางแผนจะขนของในคลังลับแห่งนั้นกลับมา แต่ใครจะรู้ว่าเด็กแซ่เสิ่นผู้นั้นจะชั่วร้ายเช่นนี้ ไม่เพียงแต่สืบข่าวได้ ลงมือก็ยังเร็วเพียงนั้น ทำให้เขาโมโหอย่างยิ่งจริงๆ 

 

 

พ่อบ้านหวังที่คุกเข่าอยู่ข้างล่างก็พึมพำในใจ คนแซ่เสิ่นหรือ หรือว่าจะเป็นโจรย่องเบาแซ่เสิ่นผู้นั้น นายท่านสามรู้จักด้วยหรือ เขาสงสัยอยู่เต็มอกแต่กลับไม่กล้าถามออกไปสักคำเดียว 

 

 

แม้จะรู้ว่าเรื่องในคลังลับเด็กแซ่เสิ่นเป็นคนทำ แต่หมิ่นซือเหนียนกลับไม่มีหนทางแม้แต่นิดเดียว ไม่เพียงแค่ในมือเขาไม่มีหลักฐาน ต่อให้มีหลักฐาน เด็กคนนั้นก็คงวิ่งหนีไปนานแล้ว เขาจะไปหาจากไหนได้ เขากล้าเข้าเมืองหลวงหรือ กล้าไปฟ้องร้องคุณชายจวนจงอู่โหวหรือ เขาไม่ใช่เด็กสามขวบ ที่จะแยกแยะความหนักเบาแค่นี้ไม่ได้ 

 

 

ดังนั้นนอกจากกล้ำกลืนความเสียหายนี้เงียบๆ แล้วเขาก็ไม่มีหนทางอื่นอีก และเพราะว่าหมดหนทางเขาจึงยิ่งโมโห แต่ไหนแต่ไรเขาหมิ่นซือเหนียนรังแกผู้อื่น เมื่อไรกันที่ถึงตาเขาถูกคนรังแกบ้าง เขากลับลืมว่ากรรมใดใครก่อ กรรมนั้นตามสนอง ผู้ที่รังแกคนอื่นย่อมเป็นเช่นนี้ หลักการแห่งสวรรค์ ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว 

 

 

เช้าตรู่ ฟ้าเพิ่งจะสาง ดวงอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นฟ้า บนใบหญ้ายังมีหยาดน้ำค้างเกลี้ยงกลมประดับอยู่ 

 

 

บ้านเตี้ยๆ หลังหนึ่งทางฝั่งตะวันตกของเมืองมีเสียงไอที่ทำให้คนฟังแล้วเศร้าใจดังขึ้นมาพักหนึ่ง หลังจากนั้นก็มีเสียงที่ใสซื่อเสียงหนึ่งดังขึ้นมา “ท่านแม่ ท่านอย่าลุกเลย ข้างนอกยังหนาวอยู่ ลูกจะไปต้มน้ำร้อนให้ท่าน” 

 

 

จากนั้นก็เป็นเสียงสวบๆ สาบๆ สวมเสื้อผ้าลงจากเตียง ประตูเปิดออกแล้ว เด็กหนุ่มอายุสิบหกสิบเจ็ดปีเดินออกมา แต่กลับสะดุดของบางอย่างข้างประตู เกือบจะหกล้ม เด็กหนุ่มหันหน้ากลับมามอง ดวงตาก็เบิกกว้างในชั่วขณะ “ท่านแม่ ท่านแม่” เขาตะโกนด้วยความตกใจกลัว 

 

 

“อะไร ลูกเป็นอะไร” มารดาที่อยู่ในห้องก็ตกใจกลัว ทั้งส่งเสียงไออันน่าเศร้าออกมาอีกพักหนึ่ง 

 

 

“ท่านแม่ ไม่มีอะไร” เด็กหนุ่มรีบตะโกนเข้าไปในบ้าน เขามองไปรอบด้านไม่มีคน มือสั่นระริกเก็บเงินที่เกือบจะทำให้เขาสะดุดนั้นขึ้นมา เขาหยิกแขนตัวเองอย่างแรงหนึ่งครา เจ็บจนแยกเขี้ยวยิงฟัน แต่เขากลับยิ้มออกมา ไม่ได้ฝันไป เป็นเงินจริงๆ ไม่ใช่ฝัน สวรรค์รับรู้ถึงความกตัญญูของเขา ตั้งใจประทานเงินมาช่วยเขาใช่หรือไม่ ดีจริงๆ คราวนี้ดีแล้ว อาการป่วยของท่านแม่มีทางช่วยแล้ว 

 

 

เด็กหนุ่มวิ่งกลับไปในบ้านด้วยความดีใจบ้าคลั่ง “ท่านแม่ ท่านดูสิว่านี่อะไร เงิน เงินก้อนใหญ่” เขาถือเงินที่เพิ่งเก็บได้ขึ้นมาให้แม่ของเขาดูราวกับยกสิ่งของล้ำค่า 

 

 

มารดาที่พิงหัวเตียงอยู่ก็ตกใจจนสะดุ้งโหยง “ลูกเอ๋ย เจ้าไปเอาเงินมากมายเพียงนี้มาจากไหน เจ้าคงไม่ได้ทำเรื่องโง่ๆ อะไรใช่หรือไม่ ลูกเอ๋ย แม่จะบอกเจ้าให้ เจ้าไม่อาจเดินทางผิดได้ มิเช่นนั้น มิเช่นนั้นแม่ยอมตายเสียตอนนี้ยังดีกว่า” สตรีผู้นี้บนเตียงแก้มตอบอย่างยิ่ง บนใบหน้ามีสีแดงก่ำอย่างผิดปกติ เมื่อมองดูก็รู้ว่าป่วยมานานแล้ว 

 

 

เด็กหนุ่มเห็นมารดาโมโห ก็รีบกล่าว “ท่านแม่ ท่านแม่ ไม่ใช่ เงินนี้ลูกเก็บได้ที่ข้างประตูเมื่อครู่” 

 

 

“อะไรนะ เก็บได้หรือ ข้างประตูบ้านพวกเราหรือ ลูกเจ้าอย่าหลอกแม่” สายตามารดาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ 

 

 

เด็กหนุ่มออกแรงพยักหน้า ร้อนใจแล้ว “เก็บได้จริงๆ ลูกเป็นคนอย่างไรท่านแม่ยังไม่เชื่ออีกหรือ” 

 

 

เด็กหนุ่มยืนยันอีกครั้ง มารดาจึงกึ่งเชื่อกึ่งสงสัย “เก็บได้จริงๆ หรือ ไม่ใช่ว่าเจ้าขโมยของคนอื่นมาหรือ” 

 

 

“อืมๆ จริงๆ จริงๆ ลูกเก็บได้จริงๆ ท่านแม่ ตอนนี้ดีแล้ว พวกเรามีเงินแล้ว อาการป่วยของท่านแม่ก็จะได้รับการรักษาแล้ว” เด็กหนุ่มดีใจยิ่งนัก 

 

 

ทว่ามารดากลับส่ายหน้า “ลูกเอ๋ย ในเมื่อเงินเป็นเจ้าที่เก็บมา เช่นนั้นก็หมายความว่ามีคนทำหล่น เงินนี้พวกเราเก็บไว้ไม่ได้ ต้องคืนให้คนอื่น ตอนที่พ่อเจ้ายังอยู่ก็มักจะบอกว่าคนจนไม่อาจหมดอุดมการณ์ แม่ยอมที่จะไม่รักษายังดีกว่าจะต้องให้เจ้าทำเรื่องที่ทำให้พ่อเจ้าละอายใจ” ขณะที่พูดก็ไอถี่ๆ อีกพักหนึ่ง 

 

 

เด็กหนุ่มเห็นท่าที ก็รีบตบหลังแม่เขาเบาๆ ในใจเศร้าโศกอย่างถึงที่สุด เขาเองก็รู้ว่าเก็บเงินได้ต้องคืนเจ้าของ แต่เขาตัดใจไม่ลง ไม่ใช่ว่าเขาโลภ แต่ในบ้านต้องการเงินก้อนนี้จริงๆ มีเงินก้อนนี้อาการป่วยของแม่ก็จะได้รับการรักษา เขาก็จะไม่ต้องกังวลอยู่บ่อยๆ ว่ามารดาจะจากไปเหมือนกับพ่อเขา 

 

 

คิดถึงตรงนี้ เด็กหนุ่มก็กัดริมฝีปากกล่าว “ท่านแม่ ลูกคิดว่าเงินก้อนนี้ไม่ได้มีใครทำหล่น ท่านลองคิดดู วันคืนของพวกเราต่างก็ย่ำแย่ ใครจะมีเงินก้อนใหญ่เพียงนี้ ทั้งยังบังเอิญทำหล่นที่หน้าประตูบ้านพวกเรา ลูกคิดว่านี่จะต้องเป็นเพราะสวรรค์เห็นว่าพวกเราสองแม่ลูกมีชีวิตที่ยากลำบาก สงสารพวกเรา จึงตั้งใจประทานให้พวกเรา” ยิ่งพูดถึงประโยคหลังเด็กหนุ่มก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นเช่นนี้ 

 

 

มารดาคิดๆ ดูแล้วก็ถูก บริเวณที่พวกเขาอยู่ต่างก็เป็นบ้านคนจน ไม่หิวได้ก็ดีเท่าไรแล้ว ไหนเลยจะมีเงินก้อนใหญ่เพียงนี้มาหล่นอยู่ ฟังลูกพูดว่าสวรรค์ประทานให้พวกเขาสองแม่ลูก นางก็เชื่อเล็กน้อย แต่ก็ยังรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้นัก 

 

 

ในตอนนี้เอง สองแม่ลูกก็ได้ยินเสียงร้องอุทานดังเข้ามาจากเรือนฝั่งตะวันออก เด็กหนุ่มเปิดประตูออกไปทันที เห็นในมือลุงเหมาเรือนตะวันออกกำลังถือของแวววาวอยู่ คล้ายเป็นเงินหนึ่งก้อนเช่นกัน 

 

 

เด็กหนุ่มมองดูแล้วก็ถอยกลับเข้าห้อง ดีใจกล่าวเสียงเล็ก “ท่านแม่ ท่านทายสิว่าลูกเห็นอะไร ท่านลุงเหมา ท่านลุงเหมาที่เรือนฝั่งตะวันออกของพวกเราก็เก็บเงินหนึ่งก้อนได้เช่นกัน ลูกบอกแล้วว่าสวรรค์สงสารพวกเราคนจนที่มีชีวิตไม่ดี ตั้งใจช่วยเหลือพวกเรา” 

 

 

“สาธุ ขอบคุณฟ้าขอบคุณดินจริงๆ” มารดาเองก็ดีใจยิ่งนัก “ลูกเอ๋ย นี่จะต้องเป็นเพราะพ่อเจ้าคุ้มครองพวกเราอยู่ตรงนั้นเป็นแน่ กลับไปก็อย่าลืมจุดธูปไหว้พ่อเจ้า ลูกเอ๋ย พยุงแม่ขึ้นหน่อย พวกเราไปขอบคุณสวรรค์กัน” 

 

 

“อืม” เด็กหนุ่มตอบรับ พยุงมารดา แม่และลูกชายนั่งคุกเข่าอยู่ในลานบ้านโขกศีรษะเสียงดังสามครั้ง พึมพำในปาก “ขอบคุณสวรรค์ที่คุ้มครอง” บนใบหน้าเต็มไปด้วยความศรัทธา