หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 853 กำลังสนับสนุน
“โฮวววว**!”**
“โฮก!”
เสียงคำรามของหมาป่าและหมีดังขึ้นที่ขอบฟ้าไกลโพ้น ขณะที่เสียงสะท้อนก้องไปทั่วก็ทำให้ใบหน้าผู้คนเปลี่ยนแปลงไป
พวกเขาเงยหน้าขึ้นด้วยความหวาดผวา เมื่อมองไปยังทั้งสองทิศทาง เสียงอุทานประหลาดใจก็ดังก้อง
“นั่นกองทัพหมาป่าเพลิงกับกองทัพหมีเวหนของหมู่ตึกเทวะ?!”
“ที่แท้ฟังยี่ก็ตั้งใจลากเวลาเพื่อรอกำลังสนับสนุน ทีนี้สองหน่วยรบอาณาเขตกงเวทสวรรค์ถึงวาระแล้ว ข้าเกรงว่าทั้งหน่วยรบวิหคโลกันตร์และหน่วยรบเหยี่ยวโลหิตจะไม่สามารถหนีไปได้เลย!”
“ฟังยี่เจ้าเล่ห์จริงๆ…”
“ในเมื่อกองทัพหมาป่าเพลิงและกองทัพหมีเวหนมาอยู่ที่นี่ เจ้าภูเขาทั้งสองก็ต้องมาด้วย พวกเขายังเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกเลยนะ ด้วยภาพรวมของกองทัพ แม้ว่ามู่เฉินจะกลั่นวิญญาณสงครามได้ เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว”
“ครั้งนี้อาณาเขตกงเวทสวรรค์ถึงคราวย่อยยับแน่”
“…”
จิ่วโยวและเสี่ยยิงเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าระยะไกล สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นน่าเกลียด ถ้าที่นี่มีเพียงสูป้า พวกเขาก็ยังทำให้อีกฝ่ายหวาดเกรง ไม่กล้าเข้าโจมตีได้ แต่เมี่อใดที่อีกสองทัพของหมู่ตึกเทวะมาถึง สถานการณ์ก็จะหมดความสมดุล ด้วยหน่วยรบทั้งสองของพวกเขา เป็นไปไม่ได้ที่จะเผชิญหน้ากับสามกองทัพได้
คราวนี้สถานการณ์ของพวกเขาเข้าขั้นวิกฤตแล้วจริงๆ
“ฮ่าๆ สูป้า เจอเหยื่อดีๆ แบบนี้ ไม่เห็นบอกกันเลยนะ ทีนี้รู้ยังว่าผลของการแอบกินคนเดียวเป็นยังไง?” บนท้องฟ้ารัศมีสีแดงและกลิ่นไอเย็นยะเยือกก็กวาดออกมาพร้อมกับริ้วแสงจำนวนมาก เผยให้เห็นภาพสองกองทัพที่ยิ่งใหญ่บนขอบฟ้า ขณะที่รัศมีจั้นยี่น่าทึ่งพวยพุ่งขึ้นสู่เบื้องบน
ชายฉกรรจ์ผมสีแดงยืนหัวเราะอยู่เบื้องหน้ากองทัพหนึ่ง ภาพหมาป่าเพลิงปักอยู่บนเสื้อของเขา ดูราวกับว่ามันกำลังพุ่งทะยานพร้อมกับส่งเสียงคำราม
“ถ้าวันนี้พวกข้าไม่มา ชื่อเสียงของหมู่ตึกเทวะคงป่นปี้แน่” เบื้องหน้าอีกกองทัพเป็นชายร่างแข็งแกร่งกำยำที่ดูคล้ายกับหอคอยเหล็กที่สร้างแรงกดดันไม่รู้จบ รอยแผลเป็นที่ฉีกออกจากมุมหนึ่งของดวงตา ทำให้เขาดูดุร้ายยิ่งขึ้น ในขณะนี้เขาก็กำลังเปิดหัวเราะราวกับหมียักษ์โบราณ
พอได้ยินคำเยาะเย้ยจากทั้งสอง สีหน้าของสูป้าก็เขียวคล้ำ แต่ก็ไม่ได้ตอกหน้าอีกฝ่าย ทำเพียงเค้นเสียงเย็นอย่างไม่พอใจ นั่นเพราะเขารู้ว่าถ้าสองกองทัพนี้ไม่มาช่วยเหลือ คงเป็นเรื่องตึงมือสำหรับเขาที่จะจัดการหน่วยรบทั้งสองของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ในวันนี้จริงๆ
“รบกวนท่านทั้งสองด้วย”
ที่เบื้องล่าง ฟังยี่ยิ้มพลางมองไปที่พรรคพวกที่มาช่วยเหลือ “สงครามล่าครั้งนี้เกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีของหมู่ตึกเทวะ ชื่อเสียงส่วนตัวไม่สำคัญ เรื่องที่เจ้าภูเขาทั้งสองสละเวลามาช่วย เมื่อกลับไปข้าจะรายงานเรื่องนี้กับท่านประมุขเอง”
“ฮ่าๆ ท่านฟังพูดจาเข้าหูมากทีเดียว…เอ๊ะ?”
เจ้าภูเขาเหยียนหลังหัวเราะร่วน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะอุทานประหลาดใจในอึดใจต่อมา เมื่อเขาเห็นร่างฟังยี่ที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดซึ่งดูน่าสงสารไม่น้อย ก่อนจะจ้องมองไปที่มู่เฉินที่ยืนประจันหน้ากับฟังยี่ ความงงงวยในใจพลุ่งพล่านขึ้นยิ่งกว่าเดิม
นั่นเพราะเขาตระหนักดีถึงความแข็งแกร่งของฟังยี่ ในบรรดาจอมยุทธ์รุ่นใหม่แห่งภูมิภาคทางเหนือ แทบไม่มีใครต่อกรกับชายหนุ่มคนนี้ได้ แต่ตอนนี้กลับมีชายที่อ่อนวัยกว่าสามารถบีบให้ฟังยี่ตกอยู่ในสภาพน่าสังเวชเช่นนี้ นี่ทำให้เจ้าภูเขาเหยียนหลังประหลาดใจไม่น้อย
“ไอ้หนูนี่ใครถึงสามารถบีบเจ้าจนมีสภาพเช่นนี้?” เจ้าภูเขาเหยียนหลังพูดด้วยความประหลาดใจ
ดวงตาของฟังยี่พล่านด้วยไอเย็นชาขณะที่กวาดสายตาไปที่มู่เฉินพูดด้วยน้ำเสียงไม่แยแสว่า “เขาก็คือยอดม้ามืดที่สร้างคลื่นกระทบไปทั่วภูมิภาคทางเหนือในช่วงนี้ มู่เฉิน… อย่าได้ประมาทนะเจ้าภูเขาเหยียนหลัง ในแง่ของการควบคุมรัศมีจั้นยี่ กลัวว่าแม้แต่ท่านก็อ่อนด้อยกว่ามันไม่น้อย เพราะเขาสามารถกลั่นวิญญาณสงครามวิหคโลกันตร์ได้แล้ว…”
“โอ้?!”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ไม่เพียงแต่เจ้าภูเขาเหยียนหลังที่ฉายความตกตะลึงบนใบหน้า กระทั่งเจ้าภูเขาเทียนสงก็มองมู่เฉินด้วยความประหลาดใจ พวกเขาทั้งคู่ควบคุมการกองทัพ ดังนั้นจึงรู้ดีว่าวิญญาณสงครามคือตัวแทนของอะไร ตราบใดที่กองทัพสามารถกลั่นวิญญาณสงครามได้ พวกเขาก็จะสามารถขยายระดับพลังรัศมีจั้นยี่ของกองทัพได้มาก นี่เป็นทักษะเทพที่ช่วยในแง่ของการต่อสู้กองทัพ
แน่นอนว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือความสามารถในการกลั่นวิญญาณสงครามออกมา นี่บ่งบองกว่ามู่เฉินมีคุณสมบัติในการเป็นจั้นเจิ้นซือ ยังไม่พูดถึงโอกาสในการบรรลุเป้าหมายนั้น แต่เมื่อใดที่เขาสามารถเป็นจั้นเจิ้นซือได้ ก็ไม่ต้องสงสัยว่างานนี้ปลาคาร์พกลายเป็นมังกรแน่
กระทั่งระดับต่ำสุดของจั้นเจิ้นซือก็ยังน่าประหวั่นพรั่นพรึงถ้าเขาสั่งการกองทัพทรงพลัง
“มิน่าล่ะเจ้าถึงส่งข้อความด่วนมา” เจ้าภูเขาเทียนสงพูดขึ้นขณะที่สายตาดุร้ายกวาดมองทั่วร่างมู่เฉิน แม้ขุมพลังของมู่เฉินยังไม่เพียงพอที่จะถูกมองอย่างมีความสำคัญ แต่ศักยภาพในฐานะจั้นเจิ้นซือก็มากเกินพอที่จะทำให้พวกเขามองอีกฝ่ายเป็นภัยคุกคามใหญ่หลวง ซึ่งถ้ามีโอกาสก็ควรจะถอนต้นกล้าเช่นนี้ทิ้งไปให้เร็วที่สุด
ฟังยี่ยิ้ม แม้ว่าใบหน้าจะมีคราบเลือด แต่รอยยิ้มก็ยังดูมั่นใจ สายตาที่ราวกับดาบคมกริบมองมาที่งมู่เฉิน “แม้ว่าประสิทธิภาพของเจ้าในการต่อสู้เมื่อครู่จะจัดว่าดี แต่นี่น่าจะเป็นศึกครั้งสุดท้ายของเจ้าแล้ว”
ฟังยี่สงบคลื่นในหัวใจลงได้แล้วในตอนนี้ แม้ว่าผลการต่อสู่ก่อนหน้าจะทำให้เขารู้สึกตกใจไปบ้าง แต่ ณ เวลานี้ทุกอย่างก็สิ้นสุดลง เมื่อใดที่มู่เฉินตายเรื่องราวก่อนหน้าก็จะสลายหายไปเป็นอากาศธาตุ
ในภูมิภาคทางเหนือไม่มีใครจำจอมยุทธ์ที่ตายหรอก
มู่เฉินขมวดคิ้วเมื่อมองสถานการณ์นี้ สามเจ้าภูเขาแห่งหมู่ตึกเทวะมาปรากฏตัวที่นี่ มิหนำซ้ำกองทัพทั้งสามยังปิดเส้นทางการหนีอย่างสมบูรณ์ คงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพวกเขาที่จะตีฝ่าวงล้อมไปได้
วาบ!
จิ่วโยวมาปรากฏตัวข้างมู่เฉิน ใบหน้าของนางเคร่งเครียดลงเมื่อเห็นฉากตรงหน้า นางกระซิบเสียงต่ำที่ข้างหูมู่เฉิน “ทำยังไงดี? ถ้าเราทำงานกลุ่มเดียวก็พอที่จะเจาะวงล้อมนี้ไปได้ แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ไม่สามารถช่วยหน่วยรบเหยี่ยวโลหิตไปด้วยได้”
ด้วยการควบคุมรัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์ของมู่เฉิน แม้จะโดนล้อมอย่างหนาแน่น แต่ถ้าพวกเขาทุ่มสุดตัว ก็น่าจะสามารถหาทางออกไปได้ แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ได้แต่ทอดทิ้งหน่วยรบเหยี่ยวโลหิตไป
“ฮ่าๆ ทำไม? พวกเจ้าตัดสินใจทอดทิ้งหน่วยรบเหยี่ยวโลหิตแล้วรึ? ถ้าข่าวนี้รั่วไหลออกไป อนาคตหอวิหคโลกันตร์คงยากจะมีจุดยืนในอาณาเขตกงเวทสวรรค์แล้วมั้ง?” ทว่าก่อนที่มู่เฉินจะตอบ ฟังยี่ก็ยิ้มราวกับอ่านความคิดของจิ่วโยวได้
สายตาจิ่วโยวเปลี่ยนเป็นเย็นชา ไอ้หมาไนฟังยี่เล่ห์เหลี่ยมมาก ที่พูดออกมาแบบนี้ก็เพื่อสุมไฟความไม่ลงรอยให้พวกนางกับหอเหยี่ยวโลหิต
“ผู้บัญชาการจิ่วโยว ผู้บัญชาการมู่ ถ้ามีโอกาสก็หนีไปซะ หากในอนาคตมีโอกาสก็ค่อยช่วยแก้แค้นให้กับหน่วยรบเหยี่ยวโลหิตด้วย!” ทันใดนั้นเสียงของเสี่ยยิงก็แผดลั่น เขามองไปที่ฟังยี่อย่างเย็นชา จากนั้นก็เงยหน้ามองมู่เฉินและจิ่วโยว สายตาเขามีความเป็นมิตรมากขึ้นหลายส่วนเมื่อเทียบกับอดีต
แม้ว่าเสี่ยยิงจะไม่ใช่คนใจกว้างนัก แต่ก็ไม่ใช่คนโง่ ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่อาจขึ้นดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการในอาณาเขตกงเวทสวรรค์ได้หรอก แค่ฟังยี่อ้าปากเขาก็เห็นลิ้นไก่ ด้วยสติปัญญาของเขา ชัดว่าไม่มีทางให้แผนเสี้ยมของฟังยี่สำเร็จได้หรอก
“ฮ่าๆ สมกับเป็นผู้บัญชาการเสี่ยยิง หาญกล้าซะจริง”
ฟังยี่ยิ้มอ่อน “ในเมื่อเป็นแบบนี้ ตอนที่หน่วยรบวิหคโลกันตร์หนีออกไปได้ ก็จะเป็นเวลาที่หน่วยรบเหยี่ยวโลหิตของแกจะสูญสิ้น”
“งั้นก็สู้กันสักตั้ง!” เสี่ยยิงตะเบ็งลั่น จิตสังหารเจาะกระดูกพล่านออกมาจากดวงตา
ฟังยี่ลอยตัวขึ้นบนท้องฟ้าช้าๆ ขณะที่สายตาราวกับเหยี่ยวกวาดมองไปยังผู้ชมทั่วบริเวณ พูดเสียงเบาว่า “เรื่องในวันนี้เป็นเรื่องของหมู่ตึกเทวะและอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ผู้ไม่เกี่ยวข้องโปรดถอยออกห่าง”
เมื่อกองทัพอื่นได้ยินคำพูดเหล่านี้ หัวใจก็ถึงกับเต้นไม่เป็นส่ำ ในใจเข้าใจแล้วว่าฟังยี่เตรียมที่จะล้างสมรภูมิแล้ว พวกเขาไม่กล้าเอาตัวเข้าไปพัวพันกับเรื่องนี้หรอก ดังนั้นร่างแสงมากมายจึงทะยานถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
จิ่วโยวขมวดคิ้วเมื่อเห็นภาพนี้พร้อมกับคลื่นวูบไหวในดวงตา ชัดว่านางเกิดอาการลังเลว่าจะทิ้งหน่วยรบเหยี่ยวโลหิตไว้เบื้องหลังดีไหม
ขณะที่นางกำลังสองจิตสองใจ มู่เฉินที่อยู่ข้างๆ ก็หรี่ตาก่อนที่มุมปากจะยกขึ้น ร่างกายที่เกร็งเครียดค่อยๆ ผ่อนคลายลง
เขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่ฟังยี่แล้วยิ้มบาง “ดูเหมือนแกคิดว่าวันนี้จะชนะแล้วสินะ”
ใบหน้าของฟังยี่เย็นเยือกลง ขณะมองมู่เฉินที่มีท่าทางสงบนิ่ง “หรือแกคิดว่าจะสามารถพลิกสถานการณ์ได้เรอะ? ตอนนี้แกเหลือคลื่นหลิงเท่าไร? ในสถานการณ์นี้แกยังสามารถควบคุมรัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์ได้มากแค่ไหน?”
“ถ้าแกฉลาด ข้าแนะนำให้ยอมแพ้ หลีกเลี่ยงเรื่องหน่วยรบวิหคโลกันตร์จะบรรลัย”
มู่เฉินยิ้ม “เรื่องหน่วยรบเหยี่ยวโลหิตเราไม่ปล่อยมือหรอก”
เมื่อเขาพูดประโยคนี้ออกมา ความโกลาหลที่ไม่สามารถควบคุมได้ก็ปะทุขึ้นในหน่วยรบเหยี่ยวโลหิตที่อยู่ในหุบเขา สายตามากมายเคลื่อนเข้ามา แม้แต่เสี่ยยิงและหวูเทียนก็ยังมีสีหน้าซับซ้อน
พวกเขาไม่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพวกมู่เฉินเลย แต่พวกเขาไม่คิดว่าในตอนนี้มู่เฉินจะยังคงเทหมดหน้าตักเพื่อช่วยพวกเขา
“ด้วยแกน่ะรึ?” มุมปากของฟังยี่โค้งขึ้น แววเยาะเย้ยผุดขึ้นในดวงตา เจ้าภูเขาเหยียนหลังและเจ้าภูเขาเทียนสงก็มีท่าทางเยาะเย้ยไม่ต่างกัน พวกเขากอดอกมองมู่เฉินอย่างดูถูก เหมือนต้องการดูว่าชายหนุ่มจะมีลูกเล่นอะไรในสถานการณ์เช่นนี้
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นพลางยิ้ม “แกคิดว่าข้าอารมณ์ร้อนจนยอมเล่นกับแกนานขนาดนี้เพื่อปล่อยให้แกยื้อเวลาออกไปเรอะ?”
สายตาฟังยี่หดลงขณะที่มองมู่เฉินอย่างเย็นจับขั้วหัวใจ
“แกไม่ใช่คนเดียวที่ลากเวลาเพื่อรอกำลังเสริมมาหรอก”
มู่เฉินยิ้มบาง จากนั้นก็ชี้ไปยังขอบฟ้าไกล “นอกจากนี้ขออภัยด้วย ครั้งนี้กำลังเสริมของข้ามีมากกว่าแกหน่อย”
ตู้ม!
ทันใดนั้นพื้นที่ที่ห่างไกลก็สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น ผู้คนถึงกับหัวใจสั่นไหว พวกเขาเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ มองเห็นกองทัพแสงมหึมาสามกองทัพกำลังกวาดเข้ามา
ส่วนเบื้องหน้าสุดเป็นจอมยุทธ์สามคนที่กำจายคลื่นหลิงเชี่ยวกราก แต่ละคนราวกับมหาสมุทรที่ซัดมาจากที่ไกล
“อาณาเขตกงเวทสวรรค์ หน่วยรบแยกคีรี!
“อาณาเขตกงเวทสวรรค์ หน่วยรบเทพผาถ้ำ!”
“อาณาเขตกงเวทสวรรค์ หน่วยรบกระบี่เทพ!”
เสียงสามเสียงเปล่งออกมาราวกับเสียงคำรณ ก่อนที่จะรวมตัวกันแล้วระเบิดออก ทำให้ทั่วบริเวณโยกคลอน แม้แต่เจ้าภูเขาเหยียนหลังและเจ้าภูเขาเทียนสงยังมีสีหน้าเปลี่ยนไปรุนแรง
“ใครกล้าฆ่าพรรคพวกอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของข้า?!”