ตอนที่ 646 : เปลวไฟแห่งความโศกเศร้า

Virtual World – Peerless White Emperor

เย่ฉางกลับไปที่ห้องนั่งเล่น และพูดกับเซี่ยหยู่เอ๋อร์ “เอาถังไนโตรเจนเหลวมาให้ฉันหน่อย ฉันต้องการทำการทดลองบางอย่างเมื่อตอนฉันอาบน้ำ”

“ฉันเข้าใจแล้ว” เซี่ยหยู่เอ๋อร์ถอนหายใจ ‘ฉันต้องเอาใจปีศาจตนนี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อที่เขาจะได้จากไปไวๆ ถ้าห้องน้ำจะพังก็จงปล่อยให้มันพังไป’ สักครู่ต่อมาเธอลากถังไนโตรเจนเหลวออกมาจากห้องเก็บของ

“อย่าเข้ามาในห้องน้ำล่ะ การทดลองนี้อันตรายมาก และฉันไม่ได้ล้อเล่น มันอันตรายมากจริงๆ…” หลังจากที่เขาย้ำแล้วย้ำอีก เย่ฉางก็ลากถังไนโตรเจนเหลวเข้าไปในห้องน้ำแล้วล็อคประตู เขาถอดเสื้อผ้าและจ้องมองแหวนที่แขวนอยู่บนหน้าอกของเขา เขายิ้มแล้วดึงน้ำยาออกมาสองขวด และหย่อนชิ้นส่วนของภัยพิบัติครั้งใหญ่ลงในขวดที่แมนดาล่ามอบให้เขา จากนั้นเขาก็ใช้เข็มฉีดยาดูดน้ำยาและฉีดเขาที่หัวใจของเขา ทันใดนั้นสีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปทันที และเส้นเลือดก็ปูดโปนขึ้นตามร่างกาย ได้ยินเสียงแตกหักดังออกมาจากร่างของเขา!

จากนั้นเย่ฉางจึงเปิดถังไนโตรเจนเหลวแล้วพ่นใส่ตัวเอง อุณหภูมิที่ต่ำมากทำให้ร่างของเขาถูกแช่แข็งทันที สิ่งเดียวที่เต้นอยู่ก็คือหัวใจของเขา ร่างกายและหลอดเลือดดำของเขาได้กลายเป็นเหมือนหลอดทดลองที่สามารถป้องกันไม่ให้น้ำยาแข็งตัว หัวใจของเขาเป็นเหมือนตัวเร่งปฏิกิริยาโดยการฉูบฉีดเลือดที่ปนน้ำยาไปทั่วร่างกาย ในช่วงเวลานี้มีเพียงเย่ฉางเท่านั้นที่รู้ว่ามันเจ็บปวดและทรมานมากแค่ไหน

ความเย็นแผ่กระจายออกมาจากห้องน้ำ เซี่ยหยู่เอ๋อร์กำลังจ้องมองควันสีขาว แม้ว่าประตูห้องน้ำจะปิด แต่บ้านทั้งหมดก็เย็นกว่าห้องเก็บน้ำแข็ง เธอจามสองสามครั้งแล้วเดินไปที่ห้องน้ำด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่เธอนึกถึงคำเตือนของเย่ฉางขึ้นมา ดังนั้นเธอจึงถอยกลับ เธอหิ้วเก้าอี้และออกไปนั่งรอข้างนอกบ้าน

ในขณะเดียวกันเย่ฉางกำลังอดทนต่อความเจ็บปวด ที่ไม่มีมนุษย์ปกติคนไหนจะสามารถทนได้ ด้วยความเย็นของไนโตรเจนเหลว และพลังงานที่หนาวเหน็บจากชิ้นส่วนของภัยพิบัติครั้งใหญ่ ทำให้เขารู้สึกราวกับว่าความคิด และวิญญาณของเขากำลังจะถูกแช่แข็ง ร่างกายของเขาไม่ได้ทรมานเพียงอย่างเดียว แต่ความคิดของเขาเหมือนถูกปกคลุมไปด้วยหิมะจำนวนนับไม่ถ้วน ทำให้เขานึกถึงคืนที่หิมะตก เขาเห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ข้างนอกร้านอาหาร ซึ่งเธอกำลังมองดูครอบครัวที่กำลังเพลิดเพลินกับอาหารอยู่ด้วยร่างกายที่สั่นเทา จากนั้นเธอก็กลับไปที่มุมตึก และจุดไม้ขีดเพื่อพยายามทำให้ตัวเองอุ่นขึ้น เธอมองไปที่เปลวไฟราวกับว่ามันเป็นความอบอุ่นที่เธอไม่สามารถสัมผัสได้ ไม้ขีดค่อยๆร่วงหล่นจากมือเธอทีละอันๆ ในไม่ช้าหิมะก็ปกคลุมไปทั่วตัวเธอและไม้ขีดไฟ เมื่อมองเข้าไปในดวงตาของเด็กผู้หญิงคนนั้น เย่ฉางมองเห็นพี่สาวและน้องชายในคืนที่ฝนตกผ่านสายตาของเด็กผู้หญิงคนนั้น พวกเขาอดทนต่อความเจ็บปวดและความหนาวเหน็บ พวกเขานั่งกอดกันอยู่ใต้หลังคาด้านนอกร้านอาหาร และหันหลังให้กับครอบครัวร่ำรวยที่กำลังกินอาหารอย่างมีความสุข

เด็กผู้หญิงคนนั้นค่อยๆลืมตาขึ้นและยิ้มให้เย่ฉาง เธอใช้พลังเฮือกสุดท้ายที่มีพูดว่า “พี่ชายมันอบอุ่นมาก ฉันเห็นแม่ด้วยล่ะ นี่คือไม้ขีดไฟที่หนูเหลืออยู่ พี่รับไปและทำให้ตัวเองอุ่นขึ้นเถอะ”

น้ำตาไหลรินลงมาตามแก้มของเย่ฉาง เขาก้มลงไปอุ้มเธอขึ้นมา และรับกล่องไม้ขีดไฟจากมือเธอมา เขาไม่สามารถพูดอะไรได้เพราะลิ้นของเขาชา สิ่งที่เขาทำได้คือจ้องมองใบหน้าเล็กๆของเด็กผู้หญิงคนนั้น เธอกำลังจะตายแต่ก็ยังยิ้มอยู่ ความรู้สึกที่ตัวเองไร้ประโยชน์เกือบจะทำให้เย่ฉางเสียสติอีกครั้ง

“แม่ หนูกำลังจะไปหาแล้ว…” เด็กผู้หญิงตัวน้อยบีบมือเย่ฉางเบาๆ และมือของเธอก็ค่อยๆตกลงมา ในช่วงเสี้ยววินาทีนั้นเย่ฉางนึกถึงช่วงเวลาที่ยายของเขาจากไป ความเจ็บปวด, ความสิ้นหวัง และความโศกเศร้าถาโถมเข้ามาในจิตใจของเขา

“คุณยายครับ ผมกลัว! อย่าทิ้งผมไว้คนเดียวนะ!”

“ฉางเอ๋อร์! อย่าร้องไห้ไปเลย! จงเชิดหน้าขึ้น! อย่ากลัวไปเลย! หลานเป็นผู้ชายนะ! วันหนึ่งหลานจะต้องประสบความสำเร็จ! แม้ว่ายายจะไม่เห็นวันนั้นก็ตาม แต่ยายรู้ว่าหลานจะไม่ทำให้ยายผิดหวัง ไม่ว่ายายจะอยู่ในสวรรค์หรือนรกก็ตาม ยายก็จะคอยเฝ้ามองหลานอยู่เสมอ ฮ่า ฮ่า ยายคงพูดเรื่อยเปื่อยมากไปสินะ ขอโทษที ฮ่า ฮ่า …แค๊ก แค๊ก”

“ฉางเอ๋อร์ ยายคงต้องไปแล้ว…”

เขาตะโกนด้วยความเจ็บปวดในคืนที่ฝนตก “อ๊ากกกกก!!”

ในขณะที่วิสัยทัศน์ของเขากลับมาชัดเจนขึ้นอย่างช้าๆ เย่ฉางก็จ้องมองไปทั่วห้องน้ำอย่างตกใจ อุณหภูมิในห้องกลับมาเป็นปกติแล้ว แต่กระนั้นเขาก็ถูกปกคลุมไปด้วยเหงื่อเย็น อุณหภูมิต่ำของไนโตรเจนเหลวสลายหายไป เมื่อเจอกับอุณหภูมิในร่างกายของเขา เขาเช็ดน้ำตาและแบมืออีกข้างออก เขายกคิ้วขึ้นในขณะที่มองกล่องไม้ขีดไฟในมือของเขา ทันใดนั้นกล่องไม้ขีดไฟก็ลุกไหม้เปลี่ยนเป็นเปลวไฟสีน้ำเงิน และพุ่งเข้าไปในร่างกายของเขา

แต่เย่ฉางกลับไม่รู้สึกอึดอัด มันเป็นแค่ความโศกเศร้าและสิ้นหวัง เขาหลับตาและรู้สึกว่าร่างกายตัวเองเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ จนในที่สุดเขาก็ปลดล็อคพันธุกรรมขั้นที่เก้าได้ ‘เดี๋ยวนะ! ฉันรู้สึกว่ามีเปลวไฟสีน้ำเงินอยู่ในจิตวิญญาณของฉัน ฉันสัมผัสมันได้! เปลวไฟนี้แตกต่างจากเปลวไฟอื่นๆ มันหนาวมากจนทำให้ผู้คนสั่นสะท้านได้ นอกจากนี้มันยังมีพลังงานทางอารมณ์ที่เหน็บหนาวแต่น่าเศร้า’

จากนั้นเย่ฉางก็กำมือซ้ายและแบมือออก เปลวไฟสีฟ้าปรากฏในฝ่ามือของเขา เมื่อมองผ่านเปลวไฟราวกับว่าเขาเห็นรอยยิ้มของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆเมื่อเธอกล่าวคำอำลา เขาก้มหน้า, กำหมัดขวาแน่น และกัดฟัน จากนั้นเขาจ้องมองตัวเองในกระจกและพูด “ฉันจะไม่ปล่อยให้พวกเขาตายในอ้อมกอดของฉันอีก … ไม่มีวัน…”

หลังจากนั้นเขาก็เปิดฝักบัวและเริ่มอาบน้ำ เมื่ออาบเสร็จเขาก็กลับไปที่ห้องนั่งเล่นและมองไปรอบๆ ‘เซี่ยเซี่ยน้อยหายไปไหน?’ เขาตามหาเธอและพบว่าเธอนั่งหลับอยู่นอกบ้าน เขายิ้มและอุ้มเธอมาที่เตียง แต่เขาหยุดคิดสักครู่แล้ววางเธอลงบนพื้น “เราตกลงกันแล้วว่าฉันจะนอนบนเตียง และเธอจะนอนบนพื้น ฉันต้องรักษาสัญญาสินะ! คุณยายครับ ผมไม่ได้ทำให้ยายผิดหวังผมรักษาสัญญาเสมอ”

เขาคลุมผ้าห่มให้เธอ และเอนกายนอนลงบนเตียงเพื่อพักผ่อน ในเวลาเดียวกันเขากำลังตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของเขา และพลังที่จะปรากฏขึ้นหลังจากปลดล็อคพันธุกรรมขั้นที่เก้าได้ แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในสถานะที่สามารถสังเกตได้ แต่เย่ฉางก็ยังอยากรู้เกี่ยวกับพลังที่ได้รับ

วันต่อมา

เซี่ยหยู่เอ๋อร์ถูกปลุกให้ตื่นด้วยกลิ่นเหม็น “พวกกลายพันธุ์โจมตี!? เตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้!”

ทันใดนั้นเย่ฉางถืออาหารเช้าที่ทำเองเดินเข้ามา และมอบให้กับเซี่ยหยู่เอ๋อร์ด้วยรอยยิ้ม มันเป็นโจ๊กเต้าหู้ + ช็อคโกแลต + ซอสพริก … “กินซะ ในเมื่อเธอยอมให้ฉันค้างคืนที่นี่ ดังนั้นฉันต้องตอบแทนเธอด้วยบางสิ่งบางอย่าง นี่คืออาหารเช้าที่มีประโยชน์ที่ฉันเตรียมไว้ให้เธอ”

“ฉันไม่กินได้ไหม?”

“เธอลองเดาดูสิ?”

“ได้?”

“เดาอีกครั้ง”

“……”

ครู่ต่อมาเซี่ยหยู่เอ๋อร์กำลังอาเจียนอยู่ในห้องน้ำหลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จ จากนั้นเธอตำหนิตัวเองที่ไปพูดคุยกับเย่ฉางและหลินหลี่ เมื่อตอนพวกเขามาที่เมืองจักรพรรดิในครั้งก่อน ‘ทำไมฉันถึงโง่มากที่ไปต้อนรับพวกเขา! ดูสภาพตัวเองในตอนนี้สิ? แต่ฉันก็ไม่สามารถต่อต้านเขาได้ นอกจากนี้ไอ้คนนี้โรคจิตอย่างมาก!’

เมื่อเซี่ยหยู่เอ๋อร์เดินออกมาจากห้องน้ำ เธอเห็นเย่ฉางกำลังยืนพิงระเบียงด้วยท่าทางที่เหม่อลอย ดังนั้นเธอจึงถามว่า “การทดลองเมื่อวานนี้ประสบความสำเร็จไหม?”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้เย่ฉางรู้สึกเศร้าเล็กน้อย และถอนหายใจ “ฉันคิดว่ามันถือว่าสำเร็จแล้ว”

“ว่าแต่เธอต้องการเข้าร่วมนิกายสะเดาะกุญแจไหม?”

‘นิกายสะเดาะกุญแจ? ใครตั้งชื่อโง่ๆแบบนี้กัน? นายเป็นหัวหน้าขององค์กรที่ผิดกฎหมายหรือไง?’ เธอถามอย่างสงสัย “นิกายสะเดาะกุญแจคือ…?”

“นิกายที่ฉันก่อตั้งขึ้น!” เย่ฉางตะโกนแทรกขึ้นมาทันที “เอาล่ะ! ถือว่าเธอได้เข้าร่วมนิกายสะเดาะกุญแจแล้ว …”

เซี่ยหยู่เอ๋อร์อ้าปากค้าง ‘ฉันไปตอบรับตอนไหน!? นายไม่ถามความสมัครใจของฉันหน่อยหรอ?’ เธอได้แต่ถอนหายใจ