ตอนที่ 279 สาวน้อยและราชาสุนัขป่า

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ผู้คนทั้งหลายต่างพากันหันมามองจีเฉวียน ที่ผ่านมาพระสนมที่ติดตามฮ่องเต้ออกมาด้านนอกล้วนแล้วแต่เป็นคนโปรดที่สุด 

 

 

พระสนมหยวนเฟยผู้นี้ เป็นองค์หญิงน้อยของแดนหนานเจียง หลังจากที่อ๋องแห่งหนานเจียงสิ้นพระชนม์ไปเพราะช่วยเหลืออดีตฮ่องเต้ องค์หญิงน้อยจากแดนหนานเจียงผู้นี้ก็ถูกอดีตฮ่องเต้รับมาอยู่ในวังของแคว้นต้าโจว 

 

 

ต่อมาเมื่อจีเฉวียนกลับมาจากแคว้นเหยียน ก็สนิทสนมใกล้ชิดกับองค์หญิงน้อยผู้นี้ เมื่อเขาได้ขึ้นครองราชย์ ก็แต่งตั้งนางเป็นหยวนเฟยในทันที 

 

 

ความผูกพันของคนทั้งคู่ย่อมต้องหนักแน่นลึกซึ้งอย่างแน่นอน 

 

 

หากว่าครั้งนี้จีเฉวียนทรงเห็นความตายโดยมิได้ช่วยเหลือ ชื่อเสียงของเขาก็คงจะต้องย่อยยับอย่างแน่นอน 

 

 

ในใจของหยวนเฟยมีแต่ความหงุดหงิดคับข้อง นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ชีวิตของตนเองจะมากลายเป็นตัวเบี้ยที่เหยียนเฉียวหลัวเอามาใช้ต่อรองกับจีเฉวียน 

 

 

ฮ่องเต้ทรงเป็นผู้ใดกัน …..เบื้องหน้าของพระองค์นอกจากอำนาจและทรัพย์สินเงินทองนั้น สิ่งอื่นๆ ใดๆ ก็เหมือนกับว่าจะแทรกไม่เข้าทั้งนั้น 

 

 

เหยียนเฉียวหลัวจะใช้สิ่งใดเป็นตัวประกันก็ใช้ไปเถอะ แต่นางกลับถือโอกาสจะมาใช้นาง?” 

 

 

ไม่รู้หรือไงว่าในสายพระเนตรของฝ่าบาท นางก็แค่คนจับแมลงเท่านั้น? 

 

 

สายตาของนางมืดครึ้มกว่าเดิม ในใจไม่รู้ว่าเป็นรสชาติเช่นไรกันแน่ 

 

 

อีกด้านหนึ่ง จีเฉวียนเพียงแย้มสรวลอย่างเย็นชา “เจ้าคิดว่าเราเป็นคนที่สามารถใช้การข่มขู่ได้อย่างนั้นหรือ?” 

 

 

ตรัสแล้ว พระองค์ก็ไม่ให้โอกาสเหยียนเฉียวหลัวได้พูดพล่ามอีกต่อไป ทันทีที่พระหัตถ์ใหญ่โตยกขึ้นสูง ก็เห็นตู๋กูจุนคว้าดาบใหญ่ของเขาขึ้นมา สับเสียงดังครั้งหนึ่งก็พุ่งไปถึงข้างกายเหยียนเฉียวหลัว 

 

 

ร่างที่แข็งแรงเปี่ยมไปด้วยพลังยุทธ์กำจายไอเย็นที่เหน็บหนาวออกมา บุกเดี่ยวเข้าไปในกลุ่มของนักพรตเขาฮว่าชิ่งซาน พอดาบใหญ่เล่มนั้นกวาดออกไป ไอสังหารที่แหลมคมก็บาดผิวผู้คนจนเจ็บปวด 

 

 

เหล่านักพรตอาวุโสพากันตกตะลึงไป 

 

 

ในช่วงเวลานั้นเอง เหยียนเฉียวหลัวที่อยู่ภายใต้การดูแลของพวกเขาก็ถูกตู๋กูจุนคว้าตัวจับไปเสียแล้ว 

 

 

ขณะที่ผู้อาสุโสหยู่ซั่งยื่นมือออกไป ก็คว้าได้แต่เพียงชายเสื้อของเหยียนเฉียวหลัวที่ขาดติดมือและหล่นอยู่แทบเท้า 

 

 

เหยียนเฉียวหลัวถูกตู๋กูจุนคว้าคอลากกลับมา ลำคอที่เล็กและบอบบางนั้นเกือบจะถูกตู๋กูจุนหักทิ้งเสียแล้ว 

 

 

เขาโยนเหยียนเฉียวหลัวทิ้งไว้ที่เบื้องพระพักตร์จีเฉวียนด้วยสีหน้าเฉยชา ไม่รอให้นางได้ทันขยับตัวก็เหยียบลงไปบนกลางหลังของนาง 

 

 

ฝ่าเท้านั้นเปี่ยมด้วยพละกำลัง ทั้งยังเหยียบลงไปอย่างไร้ความทะนุถนอมใดๆ ทั้งสิ้น ทำเอาเหยียนเฉียวหลัวถึงกับกระอักเลือดออกมา 

 

 

นางหมอบอยู่บนพื้นต่อหน้าจีเฉวียน พยายามฝืนเก็บความเจ็บปวดราวกับอวัยวะภายในฉีกขาดเอาไว้ ใช้มือข้างหนึ่งปาดเช็ดเลือดที่มุมปาก เงยหน้าขึ้นมองจีเฉวียนพลางกล่าวว่า “หากว่าข้าตายไป หยวนเฟยก็จะต้องตายไปด้วย จีเฉวียน ข้าพนันว่าเจ้าไม่กล้าฆ่าข้าหรอก!” 

 

 

จีเฉวียนเพียงกวาดตามองดูนางครั้งหนึ่ง ทันทีที่ชายแขนเสื้อขยับ สายลมหอบนึงก็เคลื่อนผ่านไป ตบลงบนใบหน้าของนางอย่างรุนแรง 

 

 

เหยียนเฉียวหลัวถูกตบจนเลือดกลบปาก เลือดไหลปะปนกันไปตามร่องฟัน 

 

 

นางเบิกตาโต มือข้างหนึ่งเกาะกุมใบหน้าเอาไว้ มองดูจีเฉวียนอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา 

 

 

การตบสตรีเช่นนี้ บุรุษทั่วไปล้วนไม่มีทางกระทำ เขาเป็นถึงฮ่องเต้ของแว่นแคว้นหนึ่ง กลับลงมือตบตีนาง ทั้งยังลงมืออย่างรุนแรงถึงเพียงนี้? 

 

 

ช่างน่าอดสูเกินไปแล้ว! 

 

 

นางอ้าปากกว้าง คิดจะด่าคนอีก 

 

 

แต่ว่าจีเฉวียนกลับไม่ให้โอกาสนางแม้แต่น้อย ทันทีที่แขนเสื้อขยับแรงลมอีกข้างก็ซัดออกไป ตบจนเหยียนเฉียวหลัวใบหน้าบวมเป่งทั้งสองข้าง 

 

 

“จีเฉวียน เป็นถึงฮ่องเต้แห่งต้าโจวแต่ว่าเจ้ากลับตบตีอิสตรี?” ผู้อาวุโสหยู่ซั่งทนไม่ไหวอีกต่อไป นางสบัดแส้ในมือตะโกนด่าจีเฉวียนเสียงดัง 

 

 

จะไม่ถูกกันอย่างไรนางก็คือคนในราชวงศ์เหยียนคนหนึ่ง ตอนนี้พอได้เห็นองค์หญิงแคว้นเหยียนถูกตบตีอย่างรุนแรงกับตา ย่อมกล้ำกลืนโทสะลงไปไม่ได้ 

 

 

“เจ้าใช้ดวงตาข้างไหนมองถึงได้บอกว่าฮ่องเต้ของพวกเราตบตีนาง?” ตู๋กูเจวี๋ยกล่าวออกมาจากบนหลังของสุนัขป่าตัวใหญ่ “อายุมากแล้ว สายตาก็เลยไม่ดีใช่หรือไม่? ฝ่าบาทเพียงแค่มีฝุ่นเกาะชายฉลองพระองค์ ปัดทิ้งไปก็เท่านั้น!” 

 

 

นักพรตหยู่ซั่ง “……” 

 

 

หรือว่าเจ้าเด็กน้อยหน้าขาวไม่เคยรู้เลยหรือว่ามีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่ากำลังภายใน? 

 

 

และก็ไม่รู้ว่าจีเฉวียนที่จริงแล้วนั้นเป็นผู้มีพลังยุทธ์ หรือนักพรตกันแน่ เพราะว่าสองครั้งที่สบัดแขนนี้ มีพลังที่ตาเปล่ามองไม่เห็น 

 

 

หากใช้แต่ตาเปล่ามองดู เขาย่อมไม่ได้ตบเหยียนเฉียวหลัว แต่ว่าหากใช้สมองไตร่ตรองล่ะก็ย่อมจะพบว่าเขาตบเหยียนเฉียวหลัวอย่างแน่นอน 

 

 

“รัชทายาทแคว้นท่านถูกนางทำร้ายจนเสียขาไปข้างหนึ่งแล้ว ท่านกลับไม่ไถ่ถาม ตอนนี้นางหาเรื่องใส่ตัวถูกฟ้าดินตบไปสองที ท่านกลับเปิดปากขึ้นมาแล้วหรือ? เรื่องนี้เผลอๆ แล้วคงจะเป็นเพราะพวกท่านรวมหัวกันล้มเจ้าของตนเองกระมัง?” ตู๋กูเจวี๋ยจีบปากจีบคอว่าต่อไป 

 

 

เหยียนเฉียวหลัวเจื้อยแจ้วเก่งนักหรือ? 

 

 

เรื่องการเจื้อยแจ้วเจรจาเนี่ย ตัวเขาตู๋กูเจวี๋ยก็ไม่เคยแพ้ใครเหมือนกัน! 

 

 

ผู้อาวุโสหยู่ซั่งถูกกัดจิกไปรอบหนึ่งก็ได้แต่อึดอัดคับข้องใจ นางแทบอยากจะสะบัดแส้ออกไปฟาดมันให้ตายในครั้งเดียว 

 

 

“ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ฮ่องเต้แคว้นโจวเห็นสตรีของตนเองจะตายกลับไม่ช่วยเหลือ เขาไม่ยอมกระโดดทะเลสาบ ก็คือไร้ความกล้าไร้ความสามารถ” ผู้อาวุโสหยู่ซั่งขมวดคิ้วว่าต่อไป “องค์หญิงแคว้นเหยียนของข้าหากว่าตายไปล่ะก็ หยวนเฟยผู้นั้นก็ต้องถูกฝังกลบไปด้วย ภายหน้าเมื่อเล่าลือกันออกไป ผู้ที่ผู้คนทั้งแผ่นดินจะหัวเราะเยาะเย้ยก็คือท่าน จีเฉวียน!” 

 

 

คำพูดของผู้อาวุโสหยู่ซั่งทำให้ทุกคนต้องเห็นด้วย มิว่าจีเฉวียนจะแข็งแกร่งเพียงไร แต่กระทั่งสตรีของตนเองก็ยังปกป้องเอาไว้ไม่ได้ ที่เขาจับตัวเหยียนเฉียวหลัวไป ก็เป็นแค่การได้หน้าเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น จะมีประโยชน์ใดกัน? 

 

 

แค่คนๆ เดียวยังปกป้องไม่ได้ ไหนเลยจะสามารถกลายเป็นผู้ครอบครองแผ่นดินทั้งหมดได้กัน? 

 

 

ฮ่องเต้มิได้ทรงร้อนพระทัยแม้แต่น้อย สายพระเนตรหงส์ของพระองค์เย็นชา ราวกับว่ามิได้เห็นคนเหล่านี้อยู่ในสายพระเนตรเลยสักนิด 

 

 

พระองค์พึ่งจะขยับปลายพระหัตถ์ ก็ได้ยินเสียงอ่อนหวานน่ารักของสาวน้อยผู้หนึ่งดังขึ้นมา 

 

 

“เฮ่อ น่าขำแทบตายแล้ว” 

 

 

น้ำเสียงของนางน่าฟังมาก แต่ถ้อยคำที่เข้าหูกลับเป็นคำเยาะเย้ย 

 

 

ฝูงชนหันไปมองตามเสียง ก็ได้เห็นสุนัขป่าขนสีเงินเป็นประกายตัวหนึ่ง 

 

 

หากเปรียบเทียบกับสุขับป่าที่เหล่าทหารของต้าโจวขี่อยู่นั้น สุนัขป่าตัวนี้งดงามกว่ามาก มันมีขนสีเงินยวงตลอดร่าง บนหน้าผากของมันมีเขาสีเงินข้างหนึ่ง ตัวของมันมีขนาดประมาณหนึ่งจั้ง [1] ทุกครั้งที่ก้าวเดินเส้นขนสีเงินบนร่างก็จะขยับเคลื่อนไหวไปด้วย ทั้งงดงามทั้งดูสูงส่ง 

 

 

ดวงตาสีทองทั้งสองข้างเป็นประกายสุกใส 

 

 

เมื่อสุนัขป่าทั้งหลายได้เห็นมันก็พากันก้มศีรษะลง ราวกับว่ากำลังกราบกรานราชาผู้หนึ่ง 

 

 

บนหลังของสุนัขป่าตัวนั้น มีแม่นางน้อยที่ขาวอวบผู้หนึ่ง 

 

 

แม่นางอ้วนน้อยผู้นั้นไว้ผมมวยสองข้าง บนผมมวยทั้งสองข้างผูกผ้าไหมสีแดง ดูน่ารักน่าชังอย่างที่สุด 

 

 

ทันทีที่สุนัขป่าและสาวน้อยปรากฏตัวขึ้น ก็ดึงดูดความสนใจของผู้คนทั้งหมดไป 

 

 

รวมถึงฮ่องเต้ด้วย 

 

 

ตอนที่พวกเขาลงมาจากท้องฟ้า เสี่ยวซิงซิงถูกเขาส่งตัวให้ตู๋กูจุน เดิมทีนางสมควรจะรออยู่ในที่ปลอดภัยต่างหาก 

 

 

พระองค์หรี่เนตรหงส์ลง อย่างมิได้ประหลาดพระทัยเท่าไรนัก นางเป็นคนที่อยู่ไม่สุขมาตลอด ไหนเลยจะยอมหลบไปง่ายๆ? 

 

 

“นี่…นี่คือ?” 

 

 

ฝูงชนต่างมองไปที่สุนัขป่าและตู๋กูซิงหลัน 

 

 

แม่นางอ้วนน้อยผู้นั้นแม้จะอวบอ้วน แต่ว่ากลับน่าดูอย่างมาก 

 

 

แค่ได้เห็นเพียงแวบแรกก็เหมือนกับแม่นางน้อยที่ทำให้คนอยากจะเข้าไปอุ้มไปกอดให้แน่นๆ 

 

 

ส่วนสุนัขป่าตัวนั้น…… 

 

 

“นั่นเป็นราชาสุนัขป่าตะวันตก?” อย่างไรเสียย่อมต้องมีคนที่มองออกอยู่บ้างพูดออกมา 

 

 

ทันทีที่ได้ยิน ผู้คนทั้งหลายก็ตกตะลึงไป 

 

 

ราชาสุนัขป่าตะวันตก?! 

 

 

ฟังมาว่าแม้แต่หัวหน้าเผ่าอาปู้ไซก็ยังไม่ได้รับการยอมรับจากมันสักเท่าไหร่ อย่าว่าแต่ขี่เลย ยามปกติแม้แต่จะสัมผัสก็ยังไม่ได้ด้วยซ้ำไป 

 

 

แต่ตอนนี้ แม่นางตุ๊กตาผู้นั้นกำลังขี่หลังของมันอยู่? 

 

 

พวกเขาแทบไม่จะอยากเชื่อสายตาของตนเองด้วยซ้ำไป 

 

 

อาปู้ถาลาเดินนำหน้าราชาสุนัขป่าออกมา ราวกับเป็นบ่าวที่ทำหน้าที่นำทาง ใครมันจะไปรู้กัน….ราชาสุนัขป่าที่สูงส่งกว่าสิ่งใดในโลกของพวกเขา แค่ได้เห็นไทเฮาน้อยเพียงแวบเดียว ก็เปลี่ยนไปในทันที 

 

 

พูดไปแล้วเขาเองก็ไม่อยากจะเชื่อ ราชาสุนัขป่าเป็นฝ่ายเสนอให้นางขี่หลังเอง! 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

[1] 3.3เมตร 

 

 

—— 

 

 

ตอนหน้า “แค่นางกำนัลน้อยแคว้นต้าโจวก็สามารถจะอวดเก่ง?”