ตอนที่ 743 ข่าวคราวของสหายเก่า

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ตอนที่ 743 ข่าวคราวของสหายเก่า โดย ProjectZyphon

ผู้นำตระกูลกลับมาแล้ว!

บนภูเขาชำระจิตคึกคักกันทั่วหน้า กลุ่มบุคคลสำคัญของตระกูลหลินถูกเรียกมารวมตัวกันอยู่ในโถงใหญ่ตำหนักชำระจิตโดยพร้อมเพรียง

แม้แต่ผู้อาวุโสอย่างพวกหลินซีซี หลินอวิ๋นเหิงและหลินเป่ยกวงต่างมากันพร้อมหน้า

นอกตำหนัก กลุ่มลูกหลานสายรองทั้งหมดต่างยืนรออยู่เงียบๆ อย่างเคร่งขรึม

ยิ่งบริเวณที่ไกลออกไป บ่าวรับใช้และคนคุ้มกันมากมายกำลังปรนนิบัติอย่างระมัดระวัง

พูดได้ว่าชั่วขณะที่รู้ว่าหลินสวินกลับมา ทุกคนในภูเขาชำระจิตต่างหยุดการกระทำในมือลงและมาต้อนรับ!

การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เพียงพอจะยืนยันว่าได้ว่า ตอนนี้ฐานะของหลินสวินในตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว

หรือพูดอีกอย่างว่า นี่คืออานุภาพของผู้นำตระกูล!

ภายในโถงใหญ่ตำหนักชำระจิตตอนนี้ บรรยากาศยังคงเคร่งขรึม กลุ่มแกนนำอย่างพวกพญาแร้ง เสี่ยวเคอ หลินจง หลินไหวหย่วน จูเหล่าซานยังคงเข้าร่วมประชุมตามลำดับ

ในเวลาเดียวกันเหล่าบุคคลสำคัญของตระกูลสายรองต่างนั่งอย่างเรียบร้อย ไม่กล้าเฉยเมยดูแคลนสักนิด

หลินสวินนั่งอยู่บนที่นั่งประธานตรงกลาง มองแต่ละใบหน้าที่คุ้นเคยในห้องโถง มองดูกลุ่มลูกหลานตระกูลหลินนอกโถง รวมทั้งผู้คุ้มกันและบ่าวรับใช้ที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี ในใจเขาพลันสงบและเต็มอิ่มอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ความทุ่มเทและการต่อสู้ของตนตั้งแต่เข้าสู่นครต้องห้าม ก็เพื่อทุกสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้ามิใช่หรือ

ตอนนี้ในที่สุดตระกูลหลินก็ผงาดขึ้นมาในนครต้องห้ามอีกครั้ง หยัดยืนด้วยท่าทีอันแข็งแกร่ง แนวโน้วที่จะพัฒนาขึ้นไม่สามารถขวางกั้นได้แล้ว!

ตอนที่อารมณ์ของหลินสวินกำลังไหวกระเพื่อมอยู่นั้น ทุกคนในโถงต่างกำลังสังเกตหลินสวินที่หายไปนานครึ่งปี

‘ร่างกายอาบกลิ่นอายเข่นฆ่า บุคลิกยิ่งดูหนักแน่น เมื่อเทียบกับตอนแรก กลายเป็นคนละคนแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย…’

พญาแร้งถอนหายใจในใจ เขาแทบจะคอยมองดูอยู่ตลอด ว่าหลินสวินประสบความสำเร็จในนครต้องห้ามทีละก้าวได้อย่างไร

‘เจ้าหนูนี่ยิ่งลึกลับเกินคาดเดาแล้ว’

แววแปลกประหลาดเสี้ยวหนึ่งแวบผ่านดวงตาคู่ใสของเสี่ยวเคอ ตอนอยู่ในค่ายกระหายเลือด หลินสวินยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุสิบสามสิบสี่ปีเท่านั้น

ยามนี้เขาได้กลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่โดดเด่นชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหล้า บุคลิกราวกับภูผามหาสมุทร อกใจซ่อนตะวันจันทรา แม้เป็นคนใหญ่คนโตบางคนที่กุมอำนาจในนครต้องห้าม หากพูดถึงความน่าเกรงขาม น่ากลัวว่ายังแพ้หลินสวินสามส่วน!

‘ดูตื้นลึกหนาบางไม่ออกเลยสักนิด…’

ภายใต้สีหน้าที่เงียบขรึมพูดน้อยของจูเหล่าซาน ความจริงกลับสั่นไหวไม่น้อย หลินสวินในตอนแรกยังต้องให้เขาคุ้มครองดูแลอยู่เลย

แต่ตอนนี้แม้แต่เขายังไม่สามารถมองความสามารถที่แท้จริงของหลินสวินออก นี่แสดงให้เห็นว่าพลังที่หลินสวินมีในตอนนี้ มีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะเหนือกว่าเขาไปแล้ว!

ในใจหลินไหวหย่วนตึงเครียดมาโดยตลอด เกร็งแข็งไปทั้งตัว

เมื่อครึ่งปีที่แล้วตอนเผชิญหน้ากับหลินสวิน เขายังไม่มีความรู้สึกที่รุนแรงเช่นนี้ แต่ตอนนี้หลินสวินเพียงนั่งอย่างสบายๆ กลับทำให้เขารู้สึกกดดันอย่างบอกไม่ถูก เหมือนผู้น้อยกำลังเผชิญหน้ากับผู้สูงส่งที่ครอบครองจักรวาลอย่างไรอย่างนั้น!

ไม่เพียงแค่หลินไหวหย่วน แม้แต่ผู้แข็งแกร่งรุ่นอาวุโสระดับกระบวนแปรจุติอย่างพวกหลินซีซี หลินอวิ๋นเหิงและหลินเป่ยกวง ตอนนี้ต่างดูระมัดระวังอย่างมาก

พวกเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายฆ่าฟันที่น่าพรั่นพรึงอย่างที่สุดจากตัวหลินสวิน ทำให้พวกเขาต่างหวาดผวา

นี่ทำให้ในใจของพวกเขาสั่นไหวและมึนงงไม่น้อย

ไม่ได้เจอกันแค่ครึ่งปี ความสามารถของเจ้าหนูนี่น่าสะพรึงขึ้นอีกแล้ว!

เพียงแค่พลังปราณระดับหยั่งสัจจะเท่านั้น กลับทำให้คนแก่อย่างพวกเขารู้สึกหวาดกลัวและอึดอัด นี่ดูน่าทึ่งเกินไปอย่างไม่ต้องสงสัย

หลินสวินไม่ได้จงใจสำแดงพลังของตน นี่เป็นบุคลิกอย่างหนึ่งที่หล่อหลอมออกมาจากประสบการณ์เข่นฆ่าในสมรภูมิกระหายเลือด

เขาในตอนนี้อยู่ในชุดสีขาวพระจันทร์ ผมยาวดำขลับทิ้งดิ่งลง ดวงตาลุ่มลึกคู่นั้นราวกับหุบเหว ใบหน้าหล่อเหลาดูสุภาพและเรียบเฉย นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างสบายๆ มีกลิ่นอายโดดเด่นไม่แปดเปื้อนมลทิน

ทว่าขอเพียงรับรู้อย่างละเอียด ก็จะพบได้ไม่ยากว่า พลังขับเคลื่อนรอบตัวเขาสมบูรณ์ไหลเวียน กลิ่นอายฆ่าสังหารอันไร้รูปพลุ่งพล่าน ทำให้เขามีความน่าเกรงขามและสะท้านวิญญาณเพิ่มเข้ามา

“ข้ากลับมาคราวนี้ อีกไม่นานก็จะมุ่งหน้าสู่ดินแดนรกร้างโบราณ ประการแรกเพื่อแก้แค้นให้กับเครือญาติตระกูลหลินสายตรงที่ถูกทำร้าย อีกประการคือเพื่อแสวงหามรรคาของข้า”

ท่ามกลางบรรยากาศที่เคร่งขรึมนิ่งสงบ หลินสวินเปิดปากด้วยเสียงที่เรียบเฉยและชัดเจน ก้องอยู่ในห้องโถงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

หัวใจทุกคนต่างสะท้าน นี่คือการตัดสินใจที่พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน!

“ก่อนไป ข้าหวังว่าจะสามารถเลือกคนในตระกูลที่เพียบพร้อมด้วยคุณธรรมและความรู้ความสามารถ ครอบครองอำนาจตระกูลหลินแทนข้า เรื่องนี้ให้ท่านพญาแร้งและลุงจงรับผิดชอบ หากทุกท่านที่นั่งอยู่มีความเห็นอะไรต่อการตัดสินใจนี้ก็พูดออกมาได้”

หลินสวินพูดถึงตรงนี้ สายตาก็กวาดมองทุกคนในห้องโถงนิ่งๆ

สิ้นเสียงไปตั้งนาน ภายในห้องโถงยังคงเงียบเชียบ ไม่มีใครแสดงท่าทีต่อต้านใดๆ สักนิด

เห็นเช่นนี้หลินสวินจึงตัดสิน “ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้”

……

“หากพูดถึงอิทธิพล ตอนนี้ตระกูลหลินของพวกเราไม่แพ้ตระกูลทรงอิทธิพลชั้นกลางแล้วงั้นหรือ”

หลังการประชุมของตระกูล เมื่อถามถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมานี้ หลินสวินก็อดแปลกใจไม่ได้

เพราะจากที่หลินจงพูด ในครึ่งปีมานี้แนวโน้มความรุ่งเรืองของตระกูลหลินเรียกได้ว่าราบรื่นและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง!

ไม่เพียงแค่กิจการที่มีอยู่ในครอบครองขยายใหญ่ขึ้นกว่าเท่าตัว ยังมีการร่วมมือกับอัครการค้า ตระกูลหนิง ตระกูลกง ตระกูลเย่อย่างใกล้ชิดมากขึ้นไปอีกขั้น

นอกจากนี้ภาคีนักสลักวิญญาณ สาขาสลักวิญญาณสำนักศึกษามฤคมรกต สำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิ สามมหาอำนาจด้านการสลักวิญญาณก็ไปมาหาสู่กับตระกูลหลินอยู่บ่อยๆ เปิดการร่วมมือกันมากมาย

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือนครต้องห้ามในตอนนี้ เกือบทุกคนล้วนรู้ว่าตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตได้รับความโปรดปรานจากจักรพรรดิ ถึงขั้นที่จักรพรรดิยังเคยเขียนอักษร ‘เสียงจากหงส์ดรุณชัดเจนกว่าหงส์เฒ่า’ ฉบับหนึ่งกับมือมอบให้หลินสวิน

นี่เป็นเกียรติที่หายากมาก!

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ตระกูลหลินไม่อยากผงาดขึ้นมายังยากมาก

“ฮ่าๆ ตามรากฐานแล้ว บางทีพวกเราอาจด้อยกว่าตระกูลทรงอิทธิพลชั้นกลางไปบ้าง แต่ถ้าพูดถึงด้านอิทธิพล กวาดสายตามองตระกูลทรงอิทธิพลชั้นกลางทั่วทั้งนครต้องห้าม ก็ไม่มีใครเทียบกับตระกูลหลินของเราได้!”

ใบหน้าของหลินจงเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ

เห็นเช่นนี้หลินสวินก็รู้สึกโล่งใจทันที ในใจแอบพูดว่า จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์อย่างจ้าวไท่ไหลก็ถือว่าจัดการงานได้อย่างน่าไว้วางใจ อย่างน้อยสิ่งที่รับปากตนในตอนแรกก็ทำได้ทั้งหมดแล้ว ไม่เสียแรงที่ตนไปสมรภูมิกระหายเลือดมารอบหนึ่ง

ในขณะที่คุยกันจู่ๆ หลินจงก็พูดถึงเรื่องหนึ่ง “จริงสิ เมื่อสองสามวันก่อนมีคนหนุ่มคนหนึ่งชื่อกู่เหลียงมาเยือน บอกว่าเป็นสหายเก่าของนายน้อยขอรับ”

กู่เหลียงหรือ

หลินสวินนึกออกทันที ตอนที่ตนยังอยู่ในเมืองตงหลิน เพื่อนคนเดียวที่มีก็คือกู่เหลียง

บิดาของกู่เหลียงนามว่ากู่เยี่ยนผิง เป็นเจ้าของโถงทองคำ ฉลาดหลักแหลมและมีสติปัญญา ตอนนั้นให้การดูแลหลินสวินมากมาย

ส่วนกู่เหลียงเองก็ไม่เลว สืบทอดกิจการจากบิดา นิสัยนิ่งขรึมแต่มีไหวพริบ กับหลินสวินนั้นเรียกได้ว่าเป็นสหายรู้ใจ

หลินจงยังคงพูดต่อ “นายน้อย ข้าไปสืบมาแล้ว กู่เหลียงคนนี้เป็นหลงจู๊น้อยของโถงทองคำ จะว่าไปโถงทองคำนี้เป็นเพียงกิจการหนึ่งในมณฑลซีหนาน และเพิ่งจะขยายอำนาจมาถึงนครต้องห้ามเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา…”

หลินสวินเอ่ยถาม “ลุงจง ตอนนี้กู่เหลียงอยู่ที่ไหน”

“ช่วงที่ผ่านมาโถงทองคำได้มาเปิดกิจการแห่งหนึ่งทางตะวันออกของนครต้องห้าม คุณชายกู่เหลียงท่านนี้อยู่ที่นั่นเหมือนอย่างที่คาดการเอาไว้ขอรับ”

หลินจงตัดสินได้ในทันทีว่า ที่กู่เหลียงอ้างว่าเป็นสหายเก่าของนายน้อยนั้นคงไม่ได้โกหก

“จากที่ข้ารู้จักเขา ถ้าเขามาพบข้า ย่อมต้องมั่นใจก่อนว่าข้ายังอยู่บนภูเขาชำระจิตหรือไม่ แต่หลายวันก่อนเขากลับมาโดยตรง เรื่องนี้ถือว่าผิดปกติไม่น้อย เขาน่าจะเจอปัญหาที่ยากรับมือบางอย่างแน่ๆ…”

หลินสวินลุกขึ้นยืน “ลุงจง เตรียมการหน่อย ข้าจะไปพบกู่เหลียง”

……

เขตตะวันออกของนครต้องห้าม

สถานที่แห่งนี้เจริญรุ่งเรืองอย่างมาก ร้านค้ามากมายตั้งอยู่ในนั้น ดึงดูดผู้ฝึกปราณจากทั่วสารทิศของจักรวรรดิเข้ามาทุกวัน

สิบกว่าวันก่อนในย่านที่เจริญรุ่งเรืองแห่งนี้ มีการเปิดร้านใหม่ที่ชื่อว่าโถงทองคำ

ทว่าสิ่งที่น่าแปลกคือ ตั้งแต่วันแรกที่โถงทองคำเปิดทำการก็มีปัญหาไม่หยุดหย่อน จะถูกกลุ่มผู้ฝึกปราณอออยู่หน้าประตูทุกวัน ไม่อนุญาตให้ลูกค้าคนอื่นเข้า

คนที่มีตาต่างมองออกว่านี่เป็นการ ‘ก่อกวน’!

วันนี้ก็เช่นกัน

ช่วงเช้าเป็นเป็นช่วงเวลาที่คึกคักที่สุดของวัน ผู้คนขวักไขว่ไปมาอยู่ในย่านนี้ พลุกพล่านวุ่นวาย สะบัดเหงื่อราวกับสายฝน

ทว่ามีเพียงหน้าประตูใหญ่ของโถงทองคำที่มี ‘กำแพงคน’ ขวางอยู่ นั่นเป็นกลุ่มผู้ฝึกปราณที่เก่งกาจมาก ปิดกั้นที่แห่งนั้นจนแม้แต่น้ำหยดเดียวก็ผ่านเข้าไปไม่ได้ ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้าไป

และในห้องโถงโถงทองคำ มีเสียงที่แหลมแตกพร่าราวกับเสียงฆ้องแตกกำลังตะโกน “ไอ้เด็กเมื่อวานซืน ผ่านไปหลายวันขนาดนี้แล้ว เหตุใดยังไม่เห็นคนของตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตออกหน้าช่วยเจ้าเล่า เจ้ายกตระกูลหลินมาขู่กันชัดๆ!”

ผู้ที่ตะโกนคือชายวัยกลางคนในชุดผ้าไหม ไว้หนวดสองเส้นเป็นเลขแปด (八) เขาน้ำลายกระเซ็น นิ้วแทบจะทิ่มหน้ากู่เหลียงอยู่แล้ว ท่าทางหยิ่งหยองอย่างที่สุด

“ถุ้ย! เจ้ามันไม่ต่างอะไรกับพ่อเจ้า ไม่เรียนไม่มีวิชา สักแต่พูดโกหก แล้วยังอยากเปิดโถงทองคำบ้าๆ นี่ในนครต้องห้ามงั้นหรือ ฝันไปเถอะ!

ใบหน้าของชายกลางคนที่ไว้หนวดสองเส้นเต็มไปด้วยความรังเกียจและดูถูก “อย่ามาบอกว่าเจ้ารู้จักผู้นำตระกูลหลินเลย แม้จะรู้จักก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของเจ้าได้! เจ้าและพ่อของเจ้าเป็นความอับอายของตระกูลกู่ เป็นพวกที่ถูกขับไล่ออกจากนครต้องห้าม ตราบใดที่ตระกูลกู่ของเรายังอยู่ในนครต้องห้าม พวกเจ้าก็อย่ากลับมาอีก จำเอาไว้!”

กู่เหลียงซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามสีหน้าดูแย่มาก นิ้วมือจิกบนฝ่ามือแน่น หน้าอกข่มกลั้นความเดือดดาลและชิงชังที่แทบจะระเบิดออก

ชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้านามว่ากู่ยง นับตามศักดิ์แล้วยังเป็นอาสามของกู่เหลียง แต่กู่เหลียงรู้ว่า ‘อาสาม’ คนนี้ไม่ได้นับตนเป็นญาติ ถึงขั้นที่พอรู้ว่าตนกลับนครต้องห้าม ยังคิดจะ ‘ฆ่าให้หมด’!

“ท่านต้องการอะไรกันแน่” กู่เหลียงพยายามข่มกลั้นความเดือดดาลในใจแล้วพูด

“ต้องการอะไรงั้นหรือ คำถามนี้ปัญญาอ่อนดีจริงๆ”

กู่ยงหลุดขำออกมา “แต่ในเมื่อเจ้าอยากรู้ งั้นข้าจะบอกเจ้าตอนนี้เลย”

พูดถึงตรงนี้เขาก็สะบัดฝ่ามือใหญ่ พูดอย่างหยิ่งผยองเต็มประดา “เด็กๆ เข้ามาทุบโถงทองคำเห็บหมานี่ซะ! ใครกล้าขัดขวางก็ฆ่าได้เลย!”

ทันใดนั้น กลุ่มคนตระกูลกู่ที่เตรียมพร้อมรับคำสั่งอยู่แล้วก็ออกมาตามคำสั่ง

……………………