ตอนที่ 442 ไม่ถือว่าเป็นญาติ
จะอย่างไรเขาก็ติดตามนายท่านผู้เฒ่ามาระยะหนึ่ง หลังจากนั้นก็เห็นอวิ๋นเว่ยโตขึ้น ยังได้พบปะกับนายทหารมาไม่น้อย สำหรับพลังคุกคามที่มองไม่เห็นในตัวฝานเจียวเจียวนั้น ทำอะไรเขาไม่ได้
“ฉันคือฝานเจียวเจียว เป็นหลานสาวของนายหญิงผู้เฒ่าของพวกคุณ เป็นญาติของสกุลอวิ๋น ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเข้าในคฤหาสน์หลังนี้หรือไง?” ฝานเจียวเจียวโกรธมากที่ถูกอาเหมาปฏิเสธ ที่ผ่านมาเธอถือว่าตัวเองเป็นคนของเขตทหารที่สิบสอง น้อยมากที่จะมีคนกล้าพูดปฏิเสธเธอ
แต่พอมาถึงที่นี่อาเหมากลับปฏิเสธไม่ยอมให้เธอเข้าไปต่อหน้าคนมากมาย เธอจะยอมเสียหน้าอย่างนี้หรือ! เมื่อกี้เธอยังรับประกันกับบอดี้การ์ดบ้านตนว่าเธอจะเข้ามาพักในคฤหาสน์ตระกูลอวิ๋น
พูดก็พูดไปแล้ว แต่ไม่ยอมแม้แต่จะเปิดประตูให้เข้าไป นี่เป็นการตบหน้ากันชัดๆ
ท่าทีที่เย่อหยิ่งของเธอยิ่งทำให้อาเหมาและบรรดายามประตูรู้สึกขัดตา แต่ละคนมองเธออย่างยิ้มเยาะ แต่สีหน้าอาเหมาเย็นชามาก “แต่คุณพูดกับผมก็ไม่มีใประโยชน์หรอก เวลานี้คำพูดคุณหนูใหญ่เป็นสิทธิ์ขาด ยิ่งกว่านั้นคุณก็ไม่ใช่ญาติเธอ แล้วจะสั่งผมได้ยังไง?”
ความจริงแล้วไม่ใช่อาเหมาจะสร้างความแค้นให้กับอีลั่วเสวี่ย แต่เพราะฝานเจียวเจียวมด้วยเจตนาร้าย ท่าทางไม่เหมือนที่ปากพูดว่าจะมาดูๆ กลับเหมือนจะมาสำรวจอาณาเขตของตัวเอง
ด้วยประสบการณ์ของอาเหมา ย่อมดูออกว่าอีกฝ่ายจงใจมาหาเรื่องเดือดร้อนกับอีลั่วเสวี่ย ก่อนที่ท่านแม่ทัพจะไป ได้กำชับเขาให้คอยคุ้มครองคุณหนูใหญ่อย่าให้ถูกทำร้าย เขาต้องทำให้ได้
“แก! แกรู้ไหมว่าแกพูดอะไรอยู่! เชื่อหรือไม่ ฉันจะเล่าที่แกพูดให้ย่ารองรู้!” ฝานเจียวเจียวโกรธแล้ว แค่คนรับใช้ที่ทำหน้าที่เฝ้าคฤหาสน์ก็กล้าโอหังกับเธอ
สีหน้าอาเหมายังคงเป็นปกติ มองดูฝานเจียวเจียวด้วยสายตาเฉยเมย “งั้นก็ขอให้คุณผู้หญิงเล่าไปตามความจริงเถอะ ถ้าเกิดท่านแม่ทัพหรือนายท่านผู้เฒ่ามีคำสั่งให้ผมเชิญคุณเข้าไป ผมค่อยขอโทษ”
แต่สำหรับขณะนี้ ที่ไหนเย็นสบายก็ไปที่นั่นดีกว่า พูดจบอาเหมาก็หันหลังแล้วเดินผละไป ทิ้งให้ฝานเจียวเจียวมองตามหลังไป คิดจะอ้างนายหญิงผู้เฒ่าแล้วมารังแกคุณหนูใหญ่รึ ไม่มีทางหรอก!
“เชิญคุณไปได้แล้ว ไม่งั้นเราจะแจ้งตำรวจ” แววตายามประตูแข็งกร้าว ต่อให้มีความสัมพันธ์ทางญาติ แต่กฎหมายย่อมดูว่าใครมีชื่อเป็นเจ้าของ ถ้าคุณบุกรุกหรือก่อความเดือดร้อนย่อมผิดกฎหมาย
ฝานเจียวเจียวโกรธจนตัวสั่น กัดฟันกรอด แล้วถลึงตาใส่พวกเขาด้วยความแค้น “พวกแกรอดูเถอะ!”
รอให้อีลั่วเสวี่ยพลาดท่าก่อนเถอะ เธอจะดูอีลั่วเสวี่ยจะยังโอหังแบบนี้ไหม ถึงตอนนั้นเธอจะเล่นงานคนที่สายตาคับแคบพวกนี้ให้หนัก
บอดี้การ์ดกลับมานั่งในรถ เลียริมฝีปากแต่ไม่กล้ามองฝานเจียวเจียว “คุณหนู เราจะไปไหนต่อครับ?” เธอกำลังอารมณ์เสียอย่างนี้คงไม่อยู่ต่อหรือไปเดินช้อปปิ้ง
“กลับโรงแรม!”ฝานเจียวเจียวพูดอย่างไม่พอใจ เธอเองไมรู้ตัวว่าขณะนี้สีหน้าเธอที่บูดบึ้งเพราะความโกรธนั้นดูน่าเกลียดแค่ไหน
ระหว่างที่ฝานเจียวเจียวลงจากรถแล้วขึ้นลิฟท์ไปชั้นบนด้วยความโมโห เธอดูราวกับกินดินระเบิดเข้าไปพร้อมที่จะระเบิดตลอดเวลา
พอออกจากลิฟท์บอดี้การ์ดเอ่ยขึ้น “คุณหนูครับ ไม่บอกเรื่องนี้กับนายหญิงผู้เฒ่าหรือ ท่านต้องยืนอยู่ข้างคุณหนูแน่นอน”
ฝานเจียวเจียวเม้มปากแน่น แล้วตอบว่า “ไม่ได้ยินที่ตาแก่นั่นพูดหรือ ฉันเป็นแค่ญาติ มีความสำคัญน้อยกว่าลูกสาวบุญธรรมคนนั้นด้วยซ้ำ นายคิดว่าท่านจะยืนอยู่ข้างฉันหรือ?”
นายหญิงผู้เฒ่าไม่ได้โง่ รู้ดีว่าทางครอบครัวเดิมของตนมีจุดมุ่งหมายอะไร ที่ทำดีกับเธอ ก็เพราะข้างตัวไม่มีคนคอยพูดคุยด้วย จึงใช้การที่จะให้เธอนับถืออวิ๋นเว่ยเป็นพ่อบุญธรรมมาเป็นเหยื่อล่อเธอ
ตอนที่ 443 ไปในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน
น่าเสียดายที่ฝานเจียวเจียวไม่รู้ว่านายหญิงผู้เฒ่าจริงใจต่อเธอจริงๆ ปฏิบัติต่อเธอเหมือนเป็นหลานสาวแท้ๆ ตลอดมา เพียงแต่นางพอรู้ลางๆ ว่าครอบครัวเดิมของตนมีแผนต่อตระกูลอวิ๋น
วันหน้าทุกอย่างจะตกเป็นของลูกชายตนเอง ถ้าเขาไม่เห็นด้วย นางย่อมไม่กล้าให้คนอื่นมาวุ่นวาย แต่เรื่องนี้ไม่ขัดขวางการที่นางจะใช้อิทธิพลของตระกูลอวิ๋นให้ความสะดวกต่อครอบครัวเดิมของนาง
แต่ทั้งหมดนี้ครอบครัวฝานเจียวเจียวมองว่าเล็กน้อยเกินไป ที่อวิ๋นเว่ยปฏิเสธไม่รับเธอเป็นลูกสาวบุญธรรมก็เพราะดูถูกพวกเขา จงใจให้เธอคอยเสียสละ
ที่เธอทำตัวร้ายกาจทำให้บอดี้การ์ดพูดไม่ออก ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี จึงได้แต่เดินตามเธอไปเงียบๆ นิสัยคุณหนูใหญ่ของบ้านตนแย่ลงทุกที
ที่จริงที่เธอมีนิสัยอย่างนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะมีสกุลฝานคอยให้ท้ายและยังมีสกุลอวิ๋นเปิดทางให้ ตั้งแต่เด็กจนโต แม้แต่พ่อแม่ก็ไม่ค่อยดุด่าว่ากล่าว จึงค่อยๆ บ่มเพาะให้เธอเย่อหยิ่งจองหอง
เมื่ออยู่ต่อหน้านายหญิงผู้เฒ่า เธอทำตัวน่ารักรู้จักเหตุผล แต่เมื่อคนเราแสดงบทในด้านที่ดี ก็มักไม่สามารถควบคุมด้านตรงกันข้ามได้
“กลับไปซะ ถ้าไม่มีอะไรก็ไม่ต้องเรียกฉัน” เธอเดินมาที่หน้าประตู ล้วงการ์ดออกมาเปิดประตู แล้วกระแทกประตูปิดดังปัง แรงมากจนบอดี้การ์ดคิดว่างับกระดูกหักได้
เขาถอนหายใจเบาๆ แล้วกับไปห้องตัวเอง
ทางด้านเฉวียนหมิง เมื่ออีลั่วเสวี่ยจากไป หลังจากเขาปฏิเสธไม่ยอมพบฟางจื่อชิวแล้ว นายท่านผู้เฒ่ามาหาเฉวียนหมิงที่ห้องหนังสือ พอเข้ามาในห้องก็เห็นเขาทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ นายท่านผู้เฒ่าขมวดคิ้วทันที
“หมอหมิงบอกแล้ว ให้หลานพักผ่อนมากๆ ถ้าไม่จำเป็นต้องให้หลานตรวจอ่านจริงๆ ก็ให้เหล่าเกาหรือคนอื่นจัดการแทนดีกว่า” นายท่านผู้เฒ่าเดินมา ปิดเอกสาร ท่าทีชัดเจนมาก ต้องการให้เฉวียนหมิงพักผ่อน
พอทำเรื่องเสร็จนายท่านผู้เฒ่าก็ขมวดคิ้วทันที “ทำให้ไม่เห็นแม่หนูลั่วเสวี่ยล่ะ หลานเพิ่งดีขึ้นนิดหน่อยก็หายไปแล้ว การเรียนจะสำคัญกว่าชีวิตคนรึ!”
เฉวียนหมิงเบ้ปาก “พอเถอะครับปู่ อาเสวี่ยมีเรื่องต้องจัดการ เธอไปจากเมืองเอฟแล้ว ดังนั้นจะไม่มาที่นี่ระยะหนึ่ง ผมสามารถดูแลตัวเองได้ครับ”
ที่เขาทำเป็นมานั่งทำงานที่นี่ก็เพื่อไม่ให้นายท่านผู้เฒ่ารู้ว่าเขาไม่สบาย อีกทั้งก่อนหน้านี้อีลั่วเสวี่ยถ่ายทอดพลังทิพย์ให้ ทำให้เฉวียนหมิงรู้สึกดีขึ้น
เขาต้องพยายามดูแลตัวเองไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นก่อนที่อีลั่วเสวี่ยจะกลับมา ไม่เช่นนั้นขณะนี้เธอไปกับเฟิงฉี่ หมิงเย่เองก็แทงเข็มอย่างเธอไม่ได้ ถ้าปู่เห็นสภาพตนเองแบบนั้น ไม่พังคฤหาสน์หลังนี้ก็คงจะแปลก
พอนายท่านผู้เฒ่าได้ยินว่าอีลั่วเสวี่ยไปแล้ว ทั้งยังไปกว่าครึ่งเดือน ก็อดตะโกนออกมาไม่ได้ “อะไรนะ! ครึ่งเดือนเชียว ไปในยามหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ เจ้าหนู ปู่บอกแล้วว่าผู้หญิงคนนี้ไม่มีหลานอยู่ในใจเธอ ทำไมเธอถึงจากไปในเวลาอย่างนี้?”
“ปู่ครับ อาเสวี่ยเธอ…เธอมีสาเหตุหรอก ปู่ยังไม่เห็นผลที่เกิดขึ้นอย่าเพิ่งเข้าใจผิดเธอเลยครับ” เฉวียนหมิงจนใจ ปู่ตนก็เหลือเกินจริงๆ อยู่ดีๆ ก็โยนความผิดให้อาเสวี่ย หรือว่าคู่นี้เคยเป็นศัตรูกันเมื่อชาติก่อน?
“พอที ปู่เองก็ไม่อยากทะเลาะกับหลาน รอให้เธอกลับมาก่อน ปู่ต้องต่อว่าเธอแน่!” นายท่านผู้เฒ่าร้องหึอย่างไม่พอใจ แล้วโบกมือไล่ให้เฉวียนหมิงไปพักผ่อน
เฉวียนหมิงเห็นปู่หัวรั้นเช่นนี้ก็ได้แต่ถอนหายใจ กลับห้องไปพักผ่อน รอให้อาเสวี่ยกลับมาก่อน แล้วค่อยอธิบายเรื่องทั้งหมดให้กระจ่าง เขาไม่อยากให้เธอต้องแบกรับคำตำหนิ ไม่ได้เด็ดขาด!
อีลั่วเสวี่ยช่วยชีวิตเขาไว้ ถ้าเขาไม่สามารถปกป้องเธอ จะนับว่าเป็นลูกผู้ชายหรือ?