DND.
หลังจากรองเจ้าดินแดนเสี่ยวกับชาวเผ่าไม้กลับไปเหล่าผู้เฒ่าจึงได้โล่งใจ
“อาจารย์ซือทำประโยชน์ครั้งใหญ่กับตำหนักโลหิตอีกแล้วแม้แต่ข้ายังละอายใจกับความต่ำต้อยนี้”
อาจารย์พรายก้าวมาข้างหน้าพร้อมประสานหมัดกับเขาเขาพูดกับซือหยูในฐานะที่เท่าเทียมกัน ไร้ซึ่งหน้ากากบดบังดวงใจ
มุมมองต่อซือหยูของเหล่าผู้เฒ่าตำหนักในเปลี่ยนไปเช่นกันพวกเขาไม่ได้เห็นซือหยูว่าเป็นเพียงศิษย์ที่มีพรสวรรค์อีกแล้ว สิ่งที่ซือหยูทำต่อสำนักนั้นไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าผู้เฒ่าคนใดเลย
“อาจารย์พรายกล่าวเกินไปแล้วข้าก็แค่โชคดีเท่านั้น ข้าเทียบกับกระดูกสันหลังของตำหนักอย่างพวกท่านไม่ได้หรอก…”
ซือหยูตอบอย่างอ่อนน้อม
อาจารย์พรายหัวเราะเบาๆ และส่ายหัว
ม่อเทียนฉวนพลิกชิ้นหยกในมือไปมาก่อนจะโยนให้ซือหยู
“เจ้าทำได้ดีข้าหวังว่าเจ้าจะทำได้ดีเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ”
นางโบกมือกับทุกคนเพื่อสั่งสลายการชุมนุมนางก้าวเข้าไปยังรอยแยกมิติ
ซือหยูไม่รู้ว่าเขาเข้าใจผิดไปหรือไม่แต่เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าม่อเทียนฉวนมองเขาหลายครั้ง มันทำให้เขารู้สึกกังวลใจ
“อ๊ะ!พี่หยูเซี่ยน พี่ยอดเยี่ยมเกินไปแล้ว!”
กงซุนหวูซื่อวิ่งเข้ามาด้วยดวงตาดั่งดาราน้อยในบรรดาคนที่นี่ นางเป็นคนที่กังวลน้อยที่สุดเพราะนางรู้ตัวตนที่แท้จริงของซือหยู บุรุษผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ย่อมไม่พ่ายแพ้การแข่งเล็กน้อย
ปิงหวูชิงเดินเข้ามาและพูด
“ดูเหมือนว่าเจ้าได้สัมผัสกับประตูในขอบเขตอื่นสักระยะหนึ่งข้าสัมผัสสิ่งนั้นได้จากร่างกายของท่านแม่เท่านั้น”
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดอะไร”
ซือหยูแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องแต่แอบตกใจอยู่ภายใจแม้แต่แม่ของปิงหวูชิงก็มีความสามารถเช่นนี้รึ? แล้วนางเป็นใครกัน?
กงซุนหวูซื่อกล่าว
“พี่หยูเซี่ยนวันนี้ทุกคนสนใจพี่อีกแล้ว ต่อให้พวกศิษย์ในก็ต้องหม่นแสงถ้ายืนใกล้พี่”
ซือหยูยิ้มมองกงซุนหวูซื่อจากนั้นเขาจึงหยิบขวดหยกออกมา เขาหยดน้ำพุแห่งชีวิตออกมาหนึ่งหยด
“ทำไมเจ้าไม่ลองดูละว่ามันจะได้ผลกับเจ้าไหม?”
ในอดีตกงซุนหวูซื่อกับเซียนหลิงได้ไปยังป่าปีศาจร้างเพื่อตามหาน้ำพุแห่งชีวิตเพื่อจะใช้มันชำระล้างฤทธิ์ที่สมุนไพรภูติหลงเหลือในร่างกาย มันคือสมุนไพรที่นางรับประทานไปโดยไม่ตั้งใจนั่นเอง กงซุนหวูซื่อตาลุกวาว นางรับมาหนึ่งหยดและยิ้มด้วยความตื่นเต้นสดใสราวกับเด็ก นางเหมือนกับสาวน้อยที่เพิ่งจะได้ลิ้มรสน้ำผึ้ง
“ข้าจะไม่เกรงใจล่ะนะ”
กงซุนหวูซื่อยิ้มบางๆ นางหัวเราะเบา ๆ และดื่มมันทันที
ผ่านไปนานพลังอายุขัยอันกล้าแกร่งปะทุออกมาจากร่างกงซุนหวูซื่อ มันออกมาจากรูขุมขนของนาง แต่แม้ว่าจะผ่านมานาน ร่างกายของนางก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป นางสีหน้าหม่นหมอง
“ฤทธิ์โอสถนั่นแพร่กระจายทั้งแขนขากระดูกนับร้อยชิ้นของข้า มันไม่ได้ผล แต่ก็ยังรู้สึกดี เหมือนทั้งตัวของข้าถูกมันชำระล้าง”
ซือหยูขมวดคิ้วถ้าหากน้ำพุแห่งชีวิตของเผ่าไม้อสูรเนรมิตรชำระล้างนางไม่ได้ เช่นนั้นแม้แต่น้ำพุแห่งชีวิตจากเผ่าไม้ที่เป็นเซียนก็คงจะทำไม่ได้เช่นกัน เพราะความต่างของระหว่างสองขอบเขตนี้คือความเข้มข้นของพลังชีวิต มันมีผลชำระล้างที่เหมือนกัน หรือว่าจะมีแต่น้ำพุแห่งชีวิตของเทพไม้ที่จะได้ผล?
“ข้าจะให้เจ้าอีกห้าหยดเจ้าดื่มมันช้า ๆ มันอาจจะเกิดผลดีกับเจ้าก็ได้”
ซือหยูคิดก่อนจะหยดให้นางอีกห้าหยด
เมื่อได้เห็นดวงตาน่ารักของปิงหวูชิงกระตุก
“เจ้าคงรวยมากสินะเจ้ารู้ดีว่าน้ำพุแห่งชีวิตมีค่ามากเท่าไหร่”
ซือหยูพูดด้วยรอยยิ้ม
“แม้จะล้ำค่ามันก็มีไว้เพื่อดื่มกิน”
เมื่อได้ฟังกงซุนหวูซื่อดีใจมาก นางหัวเราะคิกคักไม่หยุด
“อย่างนั้นก็เถอะ…”
ปิงหวูชิงมองกงซุนหวูซื่อ
“เจ้าให้น้ำพุแห่งชีวิตกับนางไปหลายหยดแล้วทำไมเจ้าไม่ให้ข้าบ้างเล่า? ข้าเป็นคู่หมั้นเจ้านะ”
ซือหยูผงะหลัง
“เจ้าอยากได้รึ?”
ปิงหวูชิงจ้องกลับ
“เจ้าจะถามทำไมว่าข้าอยากได้หรือไม่”
ด้วยเหตุผลกลใดที่นางไม่รู้ซือหยูได้ทำดีกับกงซุนหวูซื่อ แต่เขากับชินชากับนาง แม้แต่คนเย็นชาอย่างปิงหวูชิงก็รู้สึกอึดอัดใจเมื่อได้เห็น มันทำให้นางชิงชัง
ซือหยูคิดก่อนจะพูดเสียงแข็ง
“ศิษย์พี่ปิงหวูชิงถ้าเจ้าว่างคืนนี้ ข้าอยากหารือกับเจ้าสองคน ข้าต้องการพูดอะไรบางอย่าง”
“ย่อมได้” novel-lucky
ปิงหวูชิงเชิดคางขาวราวหิมะและพยักหน้าโดยไม่คิดแม้แต่น้อย
หลังกลับเขาอสูรทุกคนกลับไปยังเรือนของตน ซือหยูมองวิชาบ่มเพาะที่เพิ่งจะได้มา มันคือค่ายกลคลื่นแสงดาวตก เขาวางชิ้นหยกที่หน้าผาก เนื้อหาวิชาทั้งหมดแล่นเขสู่สมอง วิชานี้ถูกม่อเทียนฉวนตรวจสอบเองกับมือ มันไม่น่าจะมีข้อบกพร่อง
ซึ่งวิชานี้ควรจะถูกเรียกว่าค่ายกลมากกว่าวิชามันไม่ต้องเสียเวลาเพื่อการเรียนรู้เลย ตราบเท่าที่มีสมบัติวิเศษมากพอ สิ่งที่ต้องทำก็แค่ทำตามที่ตำราเขียนเอาไว้ จากนั้นก็สร้างคายกลคลื่นแสงดาวตกออกมา
ซือหยูคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเรียกลูกแก้วห้าธาตุเมฆาเหือดออกมาในอดีต ลูกแก้วสีน้ำเงินได้ถูกซือหยูหลอมรวมกับมุกบาดาลจนมีรูปลักษณ์แบบปัจจุบัน ซือหยูไม่ได้ใช้ลูกแก้วที่เหลืออีกสี่ลูกมานานแล้วเพราะว่าระดับของมันต่ำเกินไป พวกมันเป็นเพียงแค่สมบัติวิญญาณที่ยังสร้างไม่สมบูรณ์และนับว่าเป็นสมบัติวิญญาณไม่ได้ พลังของมันเองก็มีขีดจำกัดมากด้วย
“ข้าคงต้องจำใจใช้มันสินะ”
หากเขามีเวลาเขาจะหาสมบัติลูกแก้วที่มีระดับสูงกว่านี้ แต่ตอนนี้เขาได้แต่ใช้มันไปก่อน
ซือหยูเลิกคิดถึงสิ่งอื่นที่รบกวนจิตใจเขาเริ่มวางมุกบาดาลและลูกแก้วอีกสี่ลูกเป็นค่ายตามที่ตำราเขียน ลูกแก้วทั้งห้าเริ่มลอยขึ้นพร้อมกัน จากนั้นพวกมันก็หมุนอย่างรวดเร็วรอบตัวซือหยู ทีแรก พวกมันทิ้งไว้เพียภาพเงา แต่พวกมันเริ่มจะเร็วจนมองไม่ทันโดยสมบูรณ์ในเวลาต่อมา จากนั้นจึงปรากฏให้เห็นเป็นภาพนิ่ง พวกมันยังคงอยู่ พวกมันลอยอยู่ที่เดิม แต่มันหมุนในความเร็วสูงสุดขั้วจนตาเปล่ามองเห็นว่ามันไม่ได้ขยับไปไหน
การหมุนอย่างรวดเร็วของลูกแก้วทั้งห้าได้ก่อให้เกิดวายุที่ดูดทุกสิ่งในระยะให้เข้าใกล้คนที่ถูกดูดเข้าไปจะขยับตัวไม่ได้แม้แต่น้อยเพราะแรงดูดจากทุกทิศทาง ซือหยูรู้สึกราวกับจมลงไปในทรายดูดที่ขยับได้ การก้าวออกไปเพียงก้าวเดียวนั้นทำได้ยากมาก เขาทำได้แค่ขยับนิ้วช้า ๆ เขาเชื่อว่าแม้แต่การเคลื่อนไหวของจ้าวเทวะชั้นกลางหรือจ้าวเทวะระดับหกจะช้าลงเมื่อถูกดูดเข้ามาในค่ายกลนี้
ลูกแก้วทั้งห้าลดความเร็วลงสิ่งที่ถูกดูดเข้ามาที่กลางค่ายกลเริ่มถูกความรวดเร็วของลูกแก้วทั้งห้าจู่โจมอย่างต่อเนื่อง ทุกอย่างที่อยู่ด้านในค่ายกลต้องเจอกับพลังทำลายล้าง คงไม่เป็นไรถ้ามันเป็นเพียงแค่ลูกแก้วทั้งสี่ แต่ถ้าหากผู้ใดได้สัมผัสกับมุกบาดาลเพียงเล็กน้อย คนผู้นั้นจะแหลกสลาย ไม่ต้องพูดถึงการถูกซัดอย่างต่อเนื่องหลายครั้ง
ถ้าหากซือหยูจับอสูรเนรมิตรมาด้านในค่ายกลนี้ได้เขาก็จะใช้ค่ายกลป่นอสูรเนรมิตรคนนั้นเป็นชิ้น ๆ แต่ก็น่าเสียดายที่ค่ายกลนี้กักขังอสูรเนรมิตรไม่ได้ อสูรเนรมิตรสามารถฉีกมิติและเป็นอิสระจากค่ายกลได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
แต่ซือหยูก็ยังพอใจตอนนี้หากเขาได้เจอกับจ้าวเทวะชั้นกลางอย่างเจ้าตระกูลเฉา เขาจะสามารถจัดการได้โดยง่าย ซือหยูเก็บลูกแก้วทั้งห้า เขาพอใจกับวิชานี้มากทีเดียว
“ท่านอาจารย์”
ซือหยูลังเลอยู่นานจากนั้นจึงเรียกหยุนย่าสี
ร่างวิญญาณหยุนย่าสีปรากฏออกมาให้เห็นเขาจ้องซือหยูครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจยาว
“สิ่งใหม่ย่อมมาแทนที่สิ่งเก่าผู้มีพรสวรรค์ปรากฏในทุกยุคสมัย ข้าทำผิดเองที่ไม่ให้ตำราสวรรค์แรกกับเจ้าตั้งแต่ก่อนหน้านี้”
ถ้าหากหยุนย่าสีอยากจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่โลกภายนอกเขาก็สามารถทำได้ง่าย ๆ และการเปลี่ยนแปลงของร่างกายซือหยูนั้นมิอาจรอดพ้นสายตาเขาไปได้
ซือหยูพูดอย่างเขินอาย
“ท่านอาจารย์หากข้าไม่รู้ภาษาของทั้งหมื่นเผ่าพันธุ์ ข้าก็คงไม่เข้าใจตำราสวรรค์แรกได้สักส่วนเดียว”
“หึหึข้ายังต้องการให้เจ้าปลอบใจอยู่อีกหรือ? ข้าคงไร้ความสามารถนั่นแหละ”
หยุนย่าสีมองซือหยู
สิ่งที่ผู้เป็นอาจารย์ดีใจที่สุดและเสียใจที่สุดนั้นเกิดจากเรื่องเดียวกันซึ่งนั่นก็คือเวลาที่ศิษย์ก้าวข้ามผ่านไป
ซือหยูหัวเราะเบาๆ จากนั้นสีหน้าเขาเคร่งเครียดขึ้น
“ท่านอาจารย์ข้าขอถามสักหน่อยจะได้หรือไม่? ข้าอยากรู้ปฏิญาณสัตย์ดวงใจมีผลกับอสูรเนรมิตรด้วยไหม?”
หยุนย่าสีตอบโดยไม่ต้องคิด
“แน่นอนแม้แต่เซียนก็เป็นอิสระจากมันไม่ได้ อสูรเนรมิตรน่ะไม่ต้องพูดถึง”
เช่นนั้นหรือ?ซือหยูแววตาสับสน จากนั้นเขาจึงบอกเรื่องที่ได้เจอกับม่อเทียนฉวน
เมื่อได้ฟังหยุนย่าสีลูบเคราพร้อมกับพูด
“ถ้าเจ้าพูดเรื่องจริงนั่นก็คงไม่ได้เกิดจากการที่นางเป็นอิสระจากพันธะปฏิญาณสัตย์ดวงใจ แต่เป็นเพราะนางไม่กลัวผลจากการผิดคำสาบานต่างหาก”
“หากปฏิญาณสัตย์ดวงใจถูกทำลายมันจะกลายเป็นมารหัวใจคอยกัดกินผู้บ่มเพาะพลัง ตามปกติไม่มีผลอะไร แต่เมื่อกำลังจะทะลวงพลังขั้นถัดไป มารหัวใจจะไม่ปล่อยให้คนผู้นั้นก้าวไปต่อได้อย่างเรียบง่าย หากม่อเทียนฉวนเลิกล้มความคิดที่จะบ่มเพาะพลังขั้นต่อไป การฉีกปฏิญาณสัตย์ดวงใจก็ไม่ได้มีผลอะไรกับนางเลย”
ซือหยูขมวดคิ้วเขารู้สึกไม่สบายใจ
“ท่านอาจารย์แล้วข้าจะมีวิธีป้องกันตัวจากนางหรือไม่?”
สัญชาตญาณบอกเขาว่าม่อเทียนฉวนเป็นคนประเภทนั้นนางไม่ได้มีพลังเพิ่มขึ้นมาหลายปีแล้ว นางคงจะเลิกล้มความคิดที่จะแข็งแกร่งขึ้น นางจึงแค่ฉีกปฏิญาณสัตย์ดวงใจทิ้งและใช้วิชาค้นวิญญาณกับซือหยู
หยุนย่าสีหัวเราะเบาๆ และยิ้ม
“วิชาค้นวิญญาณก็แค่หนึ่งในวิชาวิญญาณการป้องกันไม่ใช่เรื่องยาก ข้าวางผนึกรอบวิญญาณเจ้าไว้ก็ได้ ผนึกจะทำให้นางค้นวิญญาณเจ้าไม่ได้ ผนึกยังมีผลอีกหนึ่งอย่าง มันจะช่วยซ่อนความทรงจำของเจ้า นางจะเจอแต่ความทรงจำทั่วไปของเจ้าเท่านั้น”
ซือหยูขมวดคิ้วเมื่อได้ยินผลของผนึกข้อแรกเพราะถ้าหากม่อเทียนฉวนค้นวิญญาณเขาไม่ได้ นั่นจะยิ่งทำให้นางสงสัยมากกว่าเดิม แต่พลังผนึกข้อสองนั้นจะต้องทำให้นางยอมเลิกล้มไปสักระยะแน่
ผ่านไปครู่สั้นๆ หหยุนย่าสีหยิบเสี้ยวแสงขนาดเท่าเมล็ดข้าวออกมาจากหน้าผากและวางบนหน้าผากซือหยู เมื่อมันสัมผัสหน้าผากซือหยู ซือหยูขมวดคิ้ว เขารู้สึกได้อย่างรวดเร็วว่าวิญญาณของเพิ่งจะได้รับชุดเกราะกล้าแกร่งมาสวม
“ถ้านางจับตัวและพยายามค้นวิญญาณเจ้าเจ้าก็ปล่อยให้นางทำไปซะ…”
หยุนย่าสีบอก
ซือหยูพยักหน้า
“ข้ารู้แล้วว่าต้องทำอะไร”
หยุนย่าสีพูดต่อ
“ข้าจะกลับไปก่อนข้าสัมผัสพลังมิติแถวนี้ได้ เจ้าตำหนักม่อจะมาที่นี่”
ก่อนหยุนย่าสีกลับเขาหยุดไปและจ้องมองพื้นที่บริเวณหน้าผากซือหยู
“ครั้งต่อไปที่ข้าออกมาข้าจะจัดการกับเนตรเทาเทียที่ระหว่างคิ้วเจ้า”
น้ำเสียงของเขาเคร่งขรึมขึ้นเมื่อพูดถึงเนตรเทาเทีย
“ท่านอาจารย์เนตรนี้มีปัญหาใดหรือ? ข้าทำพลาดหรือ?”
ซือหยูได้แต่ถามเขาไม่ได้บอกหยุนย่าสีว่าเนตรนี้มีมาได้อย่งไร แต่หยุนย่าสีก็พูดออกมาเอง นั่นทำให้ซือหยูกระวนกระวายเล็กน้อย
หยุนย่าสีมองระหว่างคิ้วซือหยูราวกับมองทะลุไปได้เขาถอนหายใจ
“ข้าไม่โทษเจ้าหรอกเป็นเพราะข้าเองที่หยุดเจ้าไม่ทันการ”
ซือหยูหัวใจเต้นแรงหรือว่าเนตรนี้จะมีปัญหาใหญ่? หรือว่าเพราะมันเป็นเนตรจากเผ่าอสูร และมันไม่เหมาะกับมนุษย์ นี่สินะปัญหา?
แต่หยุนย่าสีมิได้รอตอบซือหยูไปมากกว่านี้เขากลับเข้าสู่กล่องหยก