ตอนที่ 1688 ปรับปรุงทางเดินพลังปราณ

อัจฉริยะสมองเพชร

อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆

ตอนที่ 1688 ปรับปรุงทางเดินพลังปราณ

ตอนนี้ ระดับวรยุทธของพลังปราณของจางเซวียนเข้าถึงขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 1-การพักฟื้นภายใน โลกจารึก เขาได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับภูมิปัญญาของเหล่าบรรพบุรุษที่เกี่ยวข้องกับการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งจากตระกูลจางและตระกูลหลัวแล้ว แต่เส้นทางของนักรบแต่ละคนมีความแตกต่างกัน ดังนั้น กรรมวิธีที่แต่ละคนใช้ในการฝ่าด่านวรยุทธจึงต่างกันไปด้วย

เขาอาจใช้ภูมิปัญญาของนักรบเหล่านั้นเป็นข้อมูลอ้างอิงเพื่อหาแนวทางได้ แต่ไม่อาจเลียนแบบได้ทุกขั้นตอน

ด้วยเหตุนี้ แม้จางเซวียนจะได้อ่านหนังสือมาแล้วมากมาย แต่ก็ยังค้นหากรรมวิธีที่เหมาะสมในการยกระดับวรยุทธไม่ได้

เพราะได้สังหารนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานไปแล้วหลายสิบตัว เขาจึงมีหนังสือเทคนิควรยุทธและหนังสือเกี่ยวกับภูมิปัญญาที่พวกมันใช้ในการฝ่าด่านวรยุทธอยู่มากมาย ถึงเทคนิควรยุทธและกรรมวิธีการฝ่าด่านวรยุทธของเผ่าพันธุ์ปีศาจจะต่างจากมนุษย์มาก แต่เพราะการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่นั้นมีผลให้เครือข่ายทางเดินพลังปราณของจางเซวียนคล้ายคลึงกับเผ่าพันธุ์ปีศาจ ดังนั้นจึงมีโอกาสเป็นไปได้ที่เทคนิควรยุทธของพวกมันจะใช้กับเขาได้เช่นกัน

เพราะถึงอย่างไร เผ่าพันธุ์ปีศาจก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีประสิทธิภาพมากกว่ามนุษย์ การใช้เทคนิควรยุทธของพวกมันจึงอาจเกิดประโยชน์

จางเซวียนนำหนังสือทั้งหมดใส่เข้าไปในแหวนเก็บสมบัติ ซึ่งรวมแล้วก็หลายพันเล่ม เขากวาดตาดูอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ถ่ายโอนพวกมันเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้า

“ประมวล!”

จางเซวียนรวบรวมหนังสือเหล่านี้เข้ากับหนังสือที่เขาถ่ายโอนมาจากตระกูลเจียง ตระกูลหลัว และที่อื่นๆ

วิ้ง!

หนังสือเล่มใหม่เอี่ยมปรากฏขึ้นในหอสมุดเทียบฟ้า

จางเซวียนแตะมัน แล้วความรู้ที่อยู่ในหนังสือก็ลอยเข้าสู่สมองของเขา เขาค่อยๆหลับตาลง

กรรมวิธีการฝ่าด่านวรยุทธของเผ่าพันธุ์ปีศาจขั้นร่างอันทรงเกียรตินั้นซับซ้อนกว่าของมนุษย์มาก พวกมันจะต้องเข้าถึงพลังของดวงจันทร์สีเลือดเพื่อเพิ่มพลังปราณสังหารและบ่มเพาะร่างกาย ซึ่งแน่นอนว่าเป็นกรรมวิธีที่มนุษย์ไม่อาจใช้ได้ เทคนิควรยุทธที่เขาประมวลขึ้นมาจึงไม่มีประโยชน์

หรือพูดอีกอย่างก็คือ ข้อสันนิษฐานก่อนหน้านี้ของเขาไม่ถูกต้อง

แต่ถึงจะไม่อาจประมวลเคล็ดวิชาเทียบฟ้า แต่มันก็ให้แรงบันดาลใจเขามากพอที่จะยกระดับวรยุทธต่อไป

“ด้วยการชำระสายเลือด เผ่าพันธุ์อสูรสามารถยกระดับวรยุทธของพวกมันได้ หลังจากที่มนุษย์ฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ทางเดินพลังปราณของพวกเขาจะเริ่มพัฒนาจนมีความคล้ายคลึงกับทางเดินพลังปราณของเผ่าพันธุ์ปีศาจ…การยกระดับวรยุทธก็คือการยกระดับประสิทธิภาพของร่างกายของผู้นั้น”

“กายเนื้อของเราได้รับการบ่มเพาะจากเปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุดแล้ว ทำให้แข็งแกร่งกว่านักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติโดยทั่วไป ดังนั้น ด่านคอขวดจึงไม่ได้อยู่ที่กายเนื้อของเรา แต่อยู่ในทางเดินพลังปราณ ขอแค่เราปรับปรุงทางเดินพลังปราณได้สักเล็กน้อย ก็น่าจะฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ!” จางเซวียนพึมพำด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย

ทั้งกายเนื้อและจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาได้รับการบ่มเพาะจากเปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุด จึงแข็งแกร่งไร้เทียมทานกว่านักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติโดยทั่วไป ในเมื่อเป็นอย่างนั้น จางเซวียนจึงไม่มีความจำเป็นต้องปรับปรุงกายเนื้อหรือจิตวิญญาณต้นกำเนิดมากนัก

พูดอีกอย่างก็คือ ขอแค่เขาพัฒนาเครือข่ายทางเดินพลังปราณและยกระดับประสิทธิภาพของร่างกายได้ ก็จะก้าวเข้าสู่วรยุทธขั้นที่สูงขึ้นได้อย่างง่ายดาย

เขาไม่จำเป็นต้องใช้เทคนิควรยุทธใดๆเลย!

ขอลองดูหน่อยเถอะ*!* จางเซวียนคิดขณะทรุดตัวลงนั่งกับพื้น

เขาซึมซับพลังจิตวิญญาณจากทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธที่ได้มา จากนั้นก็ปล่อยพลังปราณให้หมุนเวียนทั่วร่าง 3 รอบ และยกระดับสภาวะร่างกายจนแข็งแกร่งถึงขีดสุด

ในครั้งนั้น เพื่อสร้างทางเดินพลังปราณใหม่ให้จ้าวหย่า เขาได้ปรับเปลี่ยนเครือข่ายทางเดินพลังปราณของเธอใหม่หมด จางเซวียนรีบค้นหาเครือข่ายทางเดินพลังปราณรูปแบบใหม่ที่อยู่ในหัว และเริ่มปรับปรุงทางเดินพลังปราณภายในร่างกายของเขาให้เป็นไปตามนั้น

ทางเดินพลังปราณเป็นรากฐานของนักรบทุกคน เขาไม่กล้าปรับปรุงทางเดินพลังปราณส่วนที่เชื่อมต่อกับจุดตันเถียนและอวัยวะต่างๆ เพราะเกรงจะเกิดความผิดพลาด จางเซวียนเริ่มต้นปรับปรุงทางเดินพลังปราณส่วนที่เชื่อมโยงกับแขนขาก่อน

แม้นักรบทั่วไปจะรู้ว่าการปรับปรุงทางเดินพลังปราณจะช่วยยกระดับวรยุทธให้พวกเขาได้ แต่ก็ไม่อาจทำแบบนั้นได้จริง นั่นก็เพราะทางเดินพลังปราณเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย ซึ่งกระบวนการการปรับปรุงทางเดินพลังปราณอาจนำไปสู่ความซับซ้อนยุ่งยากที่คาดเดาไม่ได้

แต่เพราะจางเซวียนได้ฝึกฝนกรรมวิธีการฝ่าด่านวรยุทธขั้นสูงของปรมาจารย์ขง ร่างกายของเขาจึงได้รับการบ่มเพาะจากเปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุด ทำให้มีความแข็งแกร่งทนทานกว่านักรบขั้นเดียวกัน สิ่งนี้ทำให้เขาสามารถต้านทานแรงกดดันที่เกิดจากการเคลื่อนย้ายทางเดินพลังปราณได้

จางเซวียนใช้กระบวนการแบบเดิม เขาค่อยๆย้ายทางเดินพลังปราณอย่างช้าๆ

…..

เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง…

ฟิ้วววว!

เจตนาสังหารระเบิดออกจากส่วนลึกของร่างกายของเขา ในตอนนั้น ดูเหมือนจางเซวียนได้กลายร่างเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจไปแล้ว

ปรากฏการณ์นี้เหมือนกับที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่เขาเปลี่ยนทางเดินพลังปราณใหม่ให้จ้าวหย่า เขาไม่ได้จงใจปรับเปลี่ยนองค์ประกอบของพลังปราณของจ้าวหย่า แต่การที่ร่างกายแผ่เจตนาสังหารของเผ่าพันธุ์ปีศาจออกมานั้นดูจะเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการพัฒนา

ในเวลานี้ ต่อให้ไม่ใช้เครื่องรางแห่งการปลอมตัว อู๋ชู่กับคนอื่นๆก็ไม่มีทางแยกจางเซวียนออกจากเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวอื่นได้

มันได้ผล*…*

หากจะเปรียบเทียบทางเดินพลังปราณเป็นแหล่งน้ำ ตอนนี้เขาก็เป็นแค่ลำธารธรรมดาสายหนึ่ง ถ้าเขาอยากจะกลายเป็นแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวกราก ก็ต้องเพิ่มความลึกและความกว้าง อีกทั้งความคดเคี้ยวของลำน้ำก็จะต้องลดลง มีแต่การทำแบบนี้เท่านั้นที่น้ำจะไหลผ่านไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ยิ่งจางเซวียนปรับปรุงทางเดินพลังปราณของเขามากขึ้น ความแข็งแกร่งในร่างกายก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย รังสีของเขาเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ

ก่อนหน้านี้ วรยุทธขั้นร่างอันทรงเกียรติยังดูเหมือนไกลเกินเอื้อม แต่ตอนนี้ถือว่าไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

ไม่ช้า จางเซวียนก็เสร็จสิ้นการปรับปรุงทางเดินพลังปราณที่นำไปสู่แขนขา

หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการ จางเซวียนก็ยังไม่รีบร้อนเดินหน้าสู่ขั้นต่อไป เขานั่งพักเพื่อฟื้นฟูพลังปราณที่สูญเสียไปและปรับสภาวะร่างกายของตัวเองให้กลับสู่ความแข็งแกร่งสูงสุดก่อนจะดำเนินการต่อ

ตอนนี้ ทางเดินพลังปราณของเขากว้างขึ้น ทำให้พลังปราณไหลเวียนได้โดยปราศจากสิ่งกีดขวาง ถ้าจางเซวียนตั้งใจปล่อยพลังปราณด้วยพละกำลังเต็มพิกัด ก็จะก่อเกิดเป็นกระแสอันเชี่ยวกรากราวกับการเข้าโจมตีของกองกำลังที่มีจำนวนหลายพัน

ทางเดินพลังปราณที่นำไปสู่แขนขานั้นส่วนใหญ่เป็นทางเดินพลังปราณขั้นรอง การปรับปรุงจึงง่ายกว่า แต่มันจะไม่ง่ายแบบนั้นสำหรับทางเดินพลังปราณที่อยู่รอบจุดตันเถียนและอวัยวะภายใน พวกมันเชื่อมโยงกันด้วยความซับซ้อนอย่างมาก และความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้เกิดการตีกลับของพลังปราณ ส่งผลให้เป็นอัมพาตหรืออาจถึงขั้นวรยุทธถูกธาตุไฟเข้าแทรกเลยทีเดียว

จางเซวียนไม่กล้ารีบร้อน จึงค่อยๆเคลื่อนย้ายทางเดินพลังปราณทีละนิดด้วยความระมัดระวังอย่างมาก

ขณะที่เขากำลังพยายามฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นร่างอันทรงเกียรติ ที่ทวีปแห่งปรมาจารย์, สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ก็ได้ต้อนรับแขกกลุ่มหนึ่ง

พวกเขาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหลัวกั้นเจินกับเจียงฟังโหย่ว

หลังจากเข้าสู่ห้องโถงใหญ่ ทุกคนก็รีบหาที่นั่ง

“เหตุผลที่พวกคุณมาที่นี่นั้นเกี่ยวข้องกับวิกฤตการณ์ในอาณาจักรใต้ดินหรือเปล่า?” เหรินชิงหยวนมองหน้าแขกทั้งสองและตรงเข้าประเด็นทันที

“ใช่แล้ว ดูเหมือนสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ก็รู้เหมือนกันนี่ว่ามีบางอย่างผิดปกติ ปรมาจารย์เหริน, ผมอยากขอให้คุณแบ่งปันรายละเอียดที่คุณรู้กับผม เพื่อจะได้เปรียบเทียบกับข้อมูลที่ทางเราได้รับมา” เจียงฟังโหย่วประสานมือ

“ได้!” เหรินชิงหยวนพยักหน้า “เมื่อวันก่อน เผ่าพันธุ์ปีศาจที่อยู่ในอาณาจักรใต้ดินของสภาปรมาจารย์ของเรายังคงเกรี้ยวกราดอย่างสุดประมาณ ดูเหมือนพวกมันจะไม่หยุดยั้งจนกว่าจะฝ่าด่านการตรึงกำลังของเราเข้ามาได้ แต่เมื่อบ่ายนี้ กองกำลังทหารส่วนใหญ่ได้ล่าถอย เหลือไว้เพียงกองหน้าจำนวนหนึ่งเพื่อคอยอารักขาพื้นที่ ผมเกรงว่านั่นจะเป็นการรอเวลาเพื่อบุกเข้าโจมตี พวกเราจึงตรึงกำลังไว้และรอเวลาเช่นกัน แต่หลังจากเวลาผ่านไปนาน พวกมันก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหว เมื่อเราส่งกองสอดแนมเข้าไปดูลาดเลา ก็พบว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจส่วนใหญ่ล่าถอยกลับเข้าไปอยู่ด้านหลังฉนวนแล้ว เหตุการณ์แบบเดียวกันนี้เกิดขึ้นในอาณาจักรใต้ดินที่ต่างๆที่พวกคุณอารักขาอยู่หรือเปล่า?”

“ใช่เลย! พวกเราพบความผิดปกติแบบเดียวกันนี้ในอาณาจักรใต้ดินที่ต่างๆที่เราตรึงกำลังอยู่ เผ่าพันธุ์ปีศาจล่าถอยกลับสู่สนามรบของพวกมันอย่างกะทันหัน ผมไม่แน่ใจว่าตอนนี้พวกมันคิดอะไรอยู่ แต่รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ” หลัวกั้นเจินพูดอย่างเคร่งเครียด “น้องฟังโหย่ว ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด เหตุผลที่คุณรีบร้อนเรียกพวกเรามารวมตัวกันก็เพราะคุณรู้บางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ใช่ไหม?”

เหตุผลที่พวกเขามารวมตัวกันที่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ในช่วงเวลาคับขันแบบนี้ก็เป็นเพราะคำขอของเจียงฟังโหย่ว

“ผมรู้อะไรมาบางอย่าง และเหตุผลที่ผมเรียกพวกคุณมารวมตัวกันอย่างเร่งด่วนก็เพื่อหารือ”

ขณะที่พูด เจียงฟังโหย่วก็กวาดสายตาไปโดยรอบ เมื่อเห็นฉนวนหลายชั้นที่ติดตั้งอยู่รอบสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ซึ่งสามารถป้องกันข้อมูลลับสุดยอดไม่ให้รั่วไหลออกไปได้ เขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก

เห็นทีท่าระแวดระวังสุดขีดของเจียงฟังโหย่ว ปรมาจารย์เหรินกับคนอื่นๆมีสีหน้าเคร่งเครียดเช่นกัน

“ผมเชื่อว่าสภาปรมาจารย์คงรู้แล้วว่าหลังจากการล่มสลายของฮ่องเต้เผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีความแข็งแกร่งถึงขนาดโจมตีปรมาจารย์ขงได้ เผ่าพันธุ์ปีศาจก็อยู่ภายใต้การควบคุมของผู้เชี่ยวชาญสามตัว” เจียงฟังโหย่วพูด

“ใช่ พวกมันคืออำมาตย์เฉินหย่ง อำมาตย์เฉินชิง และอำมาตย์เฉินหลิง ใช่ไหม? เฉินหย่งรับหน้าที่ผู้นำ ขณะที่อำมาตย์เฉินชิงกับอำมาตย์เฉินหลิงดูเหมือนจะเป็นกำลังเสริม…แต่ทั้งสามไม่ได้มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันนัก แถมยังหวาดระแวงซึ่งกันและกันด้วย เพราะความไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จึงทำให้พวกมันไม่เคยเปิดการโจมตีเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้อย่างเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ต่อให้สภาปรมาจารย์ก็คงต้องเหน็ดเหนื่อยในการขับไล่พวกมันออกไป” ปรมาจารย์เหรินพยักหน้า

เรื่องนี้เป็นข้อมูลลับสุดยอด แต่ก็ไม่มีทางที่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่จะไม่รู้

“ใช่แล้ว อำมาตย์ทั้งสามจับตาดูซึ่งกันและกันตลอดเวลา แต่เมื่อบ่ายนี้เอง ผมได้ข่าวว่าอำมาตย์เฉินชิงกับอำมาตย์เฉินหลิงประกาศความสัมพันธ์เป็นพันธมิตรกันอย่างเป็นทางการแล้ว!” เจียงฟังโหย่วหน้าดำคร่ำเครียด