ภาคที่ 4 ช่วงชิงตำแหน่งสูงสุด ตอนที่ 7 ข้าอยากฝึกวิชาพลังปราณกระบี่ไร้ลักษณ์

กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ

ตอนที่ 7 ข้าอยากฝึกวิชาพลังปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ โดย Ink Stone_Fantasy

“ฝึกวิชากระบี่กระจ่างใจทำให้โง่ลงรึ”

แม้เขาจะค่อนข้างมั่นใจว่าหวังอู่ไม่ได้พูดพล่อยๆ แต่ฟังดูก็ไม่น่าเชื่ออยู่ดี

“เช่นนั้น…ศิษย์พี่หลิวหลีจะทำอย่างไรหากต้องสู้กับศัตรูตัวฉกาจแต่ความฉลาดกลับมีไม่พอ นางไม่ประเคนศีรษะตัวเองลงบนจานเงินหรอกหรือ”

“…”

“หนำซ้ำท่านลุงสี่ก็ดูฉลาดเฉลียวไม่น้อย น้ำมูกไม่ย้อย น้ำลายไม่ไหล แปลว่าเขายังเรียนรู้วิชากระบี่กระจ่างใจไม่พองั้นหรือ”

คำอธิบายของหวังอู่ต่อคำถามเหล่านี้ก็คือ ไม่ใช่ว่าการฝึกวิชาเพลงกระบี่กระจ่างใจจะก่อให้เกิดความเสียหายทางจิตใจ แต่วิธีบำเพ็ญเซียนพลังวิญญาณขั้นปฐมที่ไม่เหมือนใครต่างหากที่ส่งผลต่อวิธีคิดของคนผู้นั้น หลิวหลีไม่ได้เกิดมาโง่เง่า ความจริงแล้ว นางสามารถคำนวณผลลัพธ์ของตัวเลขมหาศาลได้เร็วราวกะพริบตา ทว่าการฝึกวิชากระบี่กระจ่างใจทำให้ความคิดของนางบริสุทธิ์กระจ่างใส ราวหญิงสาวที่อยู่หลังฉากกั้นที่ไม่เคยรู้จักเรื่องรักเรื่องใคร่เลยในชีวิต หนำซ้ำนางจะถูกกักอยู่ในสภาวะนั้นไปตลอด หนึ่งปีที่ผ่านมานี้ ศิษย์แห่งสำนักกระบี่วิญญาณต่างก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก มีเพียงหลิวหลีที่ยังคงหัวเราะหรือหยอกล้อสิ่งต่างๆ อย่างมีความสุขราวกับเด็กที่อยู่ในร่างผู้ใหญ่

ความจริงนี่อาจเป็นธรรมชาติของหลิวหลีตั้งแต่แรก และในการฝึกวิชากระบี่กระจ่างใจนั้น อาจพูดได้ว่านางเลือกเส้นทางนี้มาตั้งแต่แรก ต่างจากโจวหมิงผู้เป็นอาจารย์ของนาง แม้ผู้อาวุโสสี่จะฝึกวิชากระบี่กระจ่างใจเช่นเดียวกัน ทว่าประสบการณ์อันข่มขื่นในช่วงต้นของชีวิตทำให้จิตใจของเขาไม่อาจบริสุทธิ์กระจ่างใสได้ทั้งหมด สิ่งนี้เองทำให้เขาไม่อาจสำเร็จวิชากระบี่กระจ่างใจขั้นสูงสุดได้ ทว่าสุดท้ายหากมองว่าสมองของเขายังทำงานได้อย่างสมบูรณ์อยู่ จะเรียกได้ว่าในสิ่งเลวยังมีเรื่องดีอยู่ก็ไม่ผิดนัก

“ส่วนเจ้าน่ะ แค่ชั่ววินาทีเดียว เจ้าก็คิดโน่นนี่มากมายเป็นร้อยอย่างๆ แล้ว ดังนั้นเจ้าจึงไม่เหมาะที่จะเรียนวิชากระบี่กระจ่างใจ แต่ถ้าเจ้ายังยืนกราน ข้าจะสอนให้ก็ได้ ไม่แน่ว่าวันหนึ่งเจ้าอาจจะได้ดีทั้งด้านรุกไล่ด้านตั้งรับ แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าสุดท้ายแล้วเจ้าจะป่วยทางจิตด้วยเช่นกัน สรุปแล้วเจ้าจะเอาอย่างไรก็ว่ามา”

หวังลู่นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในใจเขาปรารถนาอยากจะมีสภาวะจิตเช่นนั้นบ้าง หากเขากลายเป็นทรราชทรงพลังที่วางท่าโอหังคงจะแจ่มแจ๋วดีไม่น้อย แต่หากเขากลายเป็นอย่างหลิวหลี ที่เปลี่ยนรายงานการออกเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์เป็นบันทึกประจำวันเรื่องอาหาร… มันก็ไม่คุ้มกันสักนิด

มีคำกล่าวตั้งแต่โบร่ำโบราณที่ว่า มีเพียงคนขี้เหนียวที่จะร่ำรวย

และหวังลู่ก็เป็นคนกระเหม็ดกระแหม่ที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัยในเรื่องที่เกี่ยวกับสติปัญญา แม้มันสมองของชายหนุ่มผู้นี้จะเกินธรรมดาในสายตาของใครหลายๆ คน และการเสียมันไปสักนิดหน่อยอาจไม่ทำให้แตกต่างแต่อย่างใด แต่หวังลู่ก็ปฏิเสธที่จะเสี่ยงแม้เพียงนิดเดียว

“เช่นนั้นก็ดี ในเมื่อเจ้าไม่เอากระบี่กระจ่างใจแล้ว เจ้าจะเรียนอะไรเล่า”

หวังลู่มีคำตอบเรียบร้อยแล้ว “กระบี่กระจ่างใจฉบับปรับปรุง ที่ไม่ลดความฉลาดของข้าลง”

หวังอู่มองแรงใส่ศิษย์ของนาง “ศิษย์ของข้าเอ๋ย ในเมื่อเจ้าหลักแหลมนัก จะสำเร็จการศึกษาตั้งแต่ตอนนี้เลยก็ได้นะ”

“สำเร็จการศึกษาทั้งที่ยังเรียนอยู่เนี่ยนะ” ——

หลังเย้าแหย่กันจบแล้ว ทั้งศิษย์และอาจารย์ต่างก็มุ่งสู่แก่นของเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว

“ออกไปเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์มาหนึ่งปี เจ้ามีความคิดอย่างไรเรื่องการบำเพ็ญเซียนบ้าง”

หวังลู่คิดอยู่ครู่หนึ่ง “วิชาไร้ลักษณ์สุดยอดไปเลย”

ตอนที่เขาบริหารสำนักภูมิปัญญาในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา ในช่วงแรกๆ ที่ค่อนข้างวิกฤตนั้น วิชาไร้ลักษณ์เป็นหัวใจหลักในการจัดการหลายๆ เรื่อง โดยเฉพาะการต่อสู้เพื่อควบรวมสำนักเจ็ดดารา วิชาไร้ลักษณ์ของหวังลู่ถูกใช้จนถึงขีดสุดและสร้างชัยชนะที่แสนอัศจรรย์ให้

“แต่มันยุ่งยากเกินไป”

เมื่อได้ยินคำบ่นจากหวังลู่ ผู้เป็นอาจารย์กลับยิ้มออกมา “บอกข้าสิ ส่วนไหนของมันยุ่งยาก”

“นอกจากจะโดนหวดเอาๆ แล้ว ต่อให้มองจากมุมด้านตั้งรับอย่างเดียว การถูกกันออกในขณะต่อสู้เหมือนว่าตัวเองเป็นแค่ผู้บัญชาการรบน่ะน่าอายจะตายไป”

นี่คือข้อสรุปของหวังลู่หลังจากที่เขาได้ต่อสู้ในการศึกไม่ว่าเล็กหรือใหญ่มานับร้อยๆ ครั้งในฐานะสมาชิกอันดับหนึ่งของสำนักภูมิปัญญา

วิชาไร้ลักษณ์ยอดเยี่ยมด้านการตั้งรับ ดังนั้นในสนามรบ แม้ทุกคนจะเล็งเป้ามาที่เขา แต่เขาไม่เคยคิดห่วงความปลอดภัยของตัวเองแม้แต่น้อย ทว่าภายหลังศัตรูของเขาก็ได้เรียนรู้จากความผิดพลาด จึงเพิกเฉยหวังลู่และหันไปโจมตีผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาแทน แม้วิชาไร้ลักษณ์ของหวังลู่จะน่าเกรงขามเพียงใดแต่เขาก็ไม่อาจช่วยชีวิตคนอื่นๆ ได้ ดังนั้นในสงครามการขยับขยายอำนาจ เขาต้องสูญเสียลูกน้องที่อาจหาญและมีความสามารถไปมากมาย

“โอ้โฮแฮะ แปลว่าเจ้าก็มีอารมณ์รักใคร่เหมือนกันสินะ”

หวังลู่แทบจะกระอักเลือดออกมา “ผู้หญิงอย่างท่านมีร่องอกลึกเสียเปล่า แต่สมองกลับตื้นเขินจนมันหล่นกระจายไปทั่วถนนหมดแล้ว! มองยังไงถึงบอกข้ามีอารมณ์รักใคร่”

ผู้เป็นอาจารย์ผงะ “เจ้าก็อายุสิบห้าแล้ว เป็นเรื่องธรรมดาที่วัยรุ่นอย่างเจ้าจะมีอารมณ์อย่างว่า หรือเป็นเพราะปีที่ผ่านมาเจ้าดื่มโอสถปนเปื้อนโลหะหนักมากเสียจนไร้สมรรถภาพไปเสียแล้ว”

หวังลู่ตบโต๊ะ “มาลองเองเลยไหมว่าข้าไร้หรือไม่ไร้กันแน่!”

“โฮะๆ กับอาจารย์ตัวเองก็ไม่คิดละเว้น แต่กลับไม่ยอมรับว่าตัวเองมีอารมณ์”

“…ได้ ข้ามีอารมณ์ก็ได้ แล้วท่านจะทำอย่างไรกับมันเล่า”

ทว่าเขากลับเห็นว่าสีหน้าของผู้เป็นอาจารย์จริงจังขึ้น “เช่นนั้นก็ดี มันแสดงให้เห็นว่าเจ้ายังมีอารมณ์และความปรารถนาอยู่ ยังคงเป็นห่วงเป็นใยผู้อื่น ไม่ตะแบงบำเพ็ญเซียนจนกลายเป็นเพียงไม้ผุพังไร้ค่า เดี๋ยวนี้มีคนโง่จำนวนไม้น้อยที่คิดว่าเส้นทางบำเพ็ญเซียนที่ยาวไกลต้องฝ่าฟันไปให้ได้ด้วยตัวคนเดียว พวกเขาจึงเอาแต่บำเพ็ญเซียนจนไร้ซึ่งมนุษยธรรม แต่กลับภาคภูมิว่าตนเป็นยอดเซียนที่ไม่หวั่นไหวต่ออารมณ์ความรู้สึก คนพวกนั้นสารเลวเกินจะทน เมื่อเทียบกันแล้ว ข้าว่าทฤษฎีผู้เบิกทางล้านคนยังน่าสนใจยิ่งกว่า”

หวังลู่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “อาจารย์ ท่านสนใจจะเข้าร่วมด้วยไหมเล่า”

ผู้เป็นอาจารย์ไม่สนใจคำพูดของอีกฝ่ายและอธิบายต่อ วิชาไร้ลักษณ์เป็นวิชาอันดับหนึ่งในการรักษาชีวิต ไม่เพียงรับประกันชีวิตของตัวเอง มันยังรับรองชีวิตผู้อื่นด้วย นี่เป็นเรื่องธรรมดา หาไม่แล้วหากเจ้าทำตัวเป็นเต่าที่แกล้งตาย เมียกับลูกสาวของเจ้าก็จะถูกพาตัวไปแทน หากต้องโดนลบหลู่ถึงเพียงนั้น แล้วความหมายของชีวิตจะเหลืออะไรเล่า”

หวังลู่หัวเราะ “มีชีวิตอยู่ทั้งที่ถูกสวมเขานั้นแย่ยิ่งกว่าตายเสียอีก… เช่นนั้นแล้วอาจารย์จะสอนอะไรเล่า”

หวังอู่ชี้ไปที่ถ้วยชาบนโต๊ะที่อยู่ข้างๆ พวกเขา “ทุบมันสิ”

หวังลู่ตวัดกระบี่แห่งเขาคุนไปที่ถ้วยชาอย่างรวดเร็ว ทว่าก่อนที่กระบี่จะสัมผัสถูกถ้วยชา พลังที่มองไม่เห็นก็สกัดมันเอาไว้ก่อน พลังที่มองไม่เห็นนี้รุนแรงเสียจนหวังลู่ได้ยินเสียงลั่นเปรี๊ยะออกมาจากแขนขวา กระดูกแขนเขาหักแน่แล้ว!

ตั้งแต่ต้นจนจบผู้เป็นอาจารย์นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ที่ห่างจากถ้วยชาอย่างน้อยหนึ่งจิ้ง ทั้งยังไม่ขยับเขยื้อนแม้เพียงนิด

“นี่มันอะไร”

หวังลู่ใช้แขนซ้ายถือกระบี่ไว้ มองไปยังถ้วยชาอย่างฉงนขณะทำเป็นไม่สนใจแขนข้างขวาที่หัก

“พลังปราณตามธรรมชาติของกระบี่ไร้ลักษณ์… ใช่ ข้ารู้ชื่อมันฟังดูไม่เจ๋ง แต่หากเจ้าอยากแก้ชื่อมัน เจ้าก็ต้องพัฒนามันให้ดีขึ้นก่อน อย่างที่เจ้าเห็น สิ่งนี้ไม่มีอะไรลึกลับ โดยพื้นฐานแล้ว มันก็แค่พลังปราณของกระบี่ไร้ลักษณ์ที่แผ่ออกไปภายนอก ซึ่งช่วยผลักเกราะป้องกันออกไปนอกร่างกาย จะว่าไปสิ่งนี้ก็เหมือนกระบี่ตั้งรับไร้ลักษณ์สามฉื่อ แต่ระยะของมันกว้างไกลกว่า”

หวังลู่ขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็เปิดปากถาม “อาจารย์ ท่านแผ่มันออกไปทั่วห้องได้ไหม”

ผู้เป็นอาจารย์พยักหน้าและพยักเพยิดให้หวังลู่ลองพิสูจน์ดูเองได้เต็มที่ แทนที่จะใช้กระบี่แห่งเขาคุน เขากลับหยิบยันต์อสุนีบาตรออกมา จากนั้นก็โปรยมันขึ้นจนมันระเบิดเป็นเปลวเพลิงและสายฟ้าที่พลังปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ไม่อาจทำได้อยู่ที่กลางห้อง อึดใจถัดมามันก็ดับไป ตั้งแต่ต้นผู้เป็นอาจารย์ยังคงนั่งไขว่ห้างอยู่ที่เก้าอี้ของตน ไม่ร่ายตราสัญลักษณ์และไม่หยิบกระบี่ไม้ไผ่มรกตคู่มือออกมาด้วย ทว่าขณะอยู่ในท่านั่ง นางก็สามารถปล่อยพลังปราณของกระบี่ให้แผ่ออกมารอบห้องจนกลายเป็นสนามพลังทรงพลานุภาพได้

“น่าสนใจไม่เบา ตกลง ข้าเรียนสิ่งนี้แหละ!”

หวังลู่พออกพอใจกับผลที่เห็นไม่น้อย แต่แล้วเขาก็เห็นผู้เป็นอาจารย์สลับขาข้างที่ไขว้ห้างไว้จากนั้นก็พูดอย่างร่าเริง “เจ้าอยากเรียนงั้นหรือ แต่โชคร้ายไปหน่อยที่เจ้าเรียนไม่ได้”

“…”

“พื้นฐานของเจ้าอ่อนด้อยเกินไป แม้เจ้าจะสามารถแผ่พลังปราณของกระบี่ออกไปได้ก็จริง แต่ด้วยตบะขั้นฝึกปราณระดับหกของเจ้า มันยังห่างไกลจากคำว่าเพียงพอมากนัก เจ้าจึงยังฝึกวิชาพลังปราณกระบี่ไร้ลักษณ์นี้ไม่ได้ ดังนั้นในหนึ่งปีต่อจากนี้ เจ้าจะต้องตั้งใจบำเพ็ญเซียน อย่างน้อยก็ต้องพัฒนาพลังอิทธิฤทธิ์ ไม่ต้องมาก แต่ต้องบรรลุขั้นฝึกปราณระดับห้าให้ได้เสียก่อน จากนั้นเราค่อยมาคุยกันใหม่”

“ขั้นฝึกปราณระดับห้างั้นหรือ ได้” ——

ฤดูใบไม้ผลิแปรเปลี่ยนเป็นฤดูใบไม้ร่วง หนึ่งปีต่อมา ซึ่งเป็นปีที่สี่บนภูเขาของหวังลู่ ในที่สุดเขาก็บรรลุขั้นฝึกปราณระดับห้า และพร้อมที่จะได้รับการฝึกบำเพ็ญเซียนในขั้นต่อไป

ขั้นฝึกปราณระดับห้าอยู่ตรงกึ่งกลางในทั้งหมดเก้าระดับ ตัวมันเองไม่ได้มีความหมายหรือสลักสำคัญอะไร มันก็แค่สำนักกระบี่วิญญาณต้องการให้ศิษย์ของตนมีพื้นฐานที่หนักแน่น ก็เท่านั้น สำนักอื่นๆ อาจเลือกความเร็วมากกว่าปริมาณ และให้ศิษย์ผ่านเก้าระดับนี้ไปอย่างรวดเร็วเพื่อมุ่งมั่นบรรลุขั้นสร้างฐานให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

ทว่าหวังลู่ผู้ที่ฝึกวิชาไร้ลักษณ์ รู้ว่าเมื่อบรรลุถึงขั้นฝึกปราณระดับห้าหมายถึงเขาฝึกโครงร่างของวิชาไร้ลักษณ์สำเร็จแล้ว และสามารถผ่านไปเรียนสิ่งใหม่ได้

วิชาไร้ลักษณ์นั้นต่างจากวิชาอื่นๆ…นี่คือสิ่งที่เขารู้สึกอย่างชัดแจ้งยามที่ลงเขาเพื่อไปเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ตลอดหนึ่งปี เพราะในปีนั้นเขาได้เผชิญกับวิชามากมาย พบเจอผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณนับไม่ถ้วน และจากสถานการณ์ที่คนเหล่านั้นต้องเผชิญ หวังลู่ก็สังเกตความแตกต่างและสรุปออกมาได้ตามนี้ วิชาไร้ลักษณ์ที่อาจารย์สั่งสอนเขานั้นพิเศษมาก ตบะขั้นฝึกปราณห้าระดับแรกคือการวางรากฐาน และจุดประสงค์ของมันก็ชัดเจน หากจะอธิบายด้วยการสร้างบ้าน สำหรับผู้บำเพ็ญเซียนทั่วไปแล้วนั้น ตบะขั้นฝึกปราณทั้งเก้าระดับก็ไม่ต่างอะไรจากการขุดดิน ตระเตรียมไม้ ลงมือสร้างบ้าน จากนั้นก็ขยับขยายตัวบ้านจนกลายเป็นคฤหาสน์ ซึ่งก็คือวิหารหยกของผู้บำเพ็ญเซียนนั่นเอง ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญของขั้นสร้างฐาน ส่วนอาคม จิตเซียนและสิ่งอื่นๆ ก็เหมือนกับการสร้างห้องเล็กๆ ภายในคฤหาสน์ คฤหาสน์ก็คือแก่นวิชาของผู้บำเพ็ญเซียน ภายใต้โครงสร้างนี้ ผู้บำเพ็ญเซียนมีอิสระที่จะทำอะไรก็ได้ พวกเขาจะสร้างห้องขนาดใหญ่หรือขนาดเล็กก็ไม่ผิดจะย้ายฉากกั้นจะตกแต่งภายในก็สามารถทำได้ตามใจชอบ

ทว่าวิชาไร้ลักษณ์ไม่อาจมีอิสระถึงเพียงนั้นได้ โครงสร้างภายในของคฤหาสน์นั้นถูกกำหนดมาตั้งแต่ต้น… ดังนั้นที่อาจารย์ของเขาเคยโม้ว่าสามารถสอนวิชากระบี่กระจ่างใจให้เขาได้ก็เป็นเรื่องเหลวไหลทั้งเพ โครงร่างของวิชาไร้ลักษณ์ไม่อาจผสานเข้ากับวิชาอื่นได้ มันเป็นดั่งคุกปิดตาย โชคร้ายที่ในตอนนี้ ความรู้ในการบำเพ็ญเซียนของหวังลู่ยังไม่เพียงพอที่จะหลบหลีออกจากคุกดังกล่าวได้

ขณะเดียวกัน หลังจากบรรลุขั้นฝึกปราณระดับห้า หวังลู่ก็สามารถใช้วิชาสังเกตภายในตรวจดูโครงสร้างพื้นฐานของวิชาไร้ลักษณ์ได้

วิชากระดูกกระบี่ไร้ลักษณ์ วิชาจิตเซียนไร้ลักษณ์ วิชาเพลงกระบี่ไร้ลักษณ์ เนื้อหาจำนวนไม่น้อยของวิชาไร้ลักษณ์ครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของโครงสร้างรวม โครงสร้างนี้ยังมีช่องว่างขนาดใหญ่อยู่สองสามช่อง แต่เนื้อหาจะเป็นอะไรยังไม่รู้ ส่วนพลังปราณกระบี่ไร้ลักษณ์นั้นกินพื้นที่เล็กน้อยเท่านั้น

เมื่อเป็นเช่นนั้น หวังลู่จึงสันนิษฐานเอาว่าเขาน่าจะใช้เวลาเพียงหนึ่งถึงสองเดือนในการบรรลุวิชาพลังปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ ทว่าขณะกำลังใคร่ครวญถึงเรื่องนี้อยู่นั้น เขาก็ถูกอาจารย์เรียกตัวไปยังหอชมพู

หวังลู่รู้สึกยินดียิ่งนัก แต่แล้วเขาก็คิดขึ้นได้ว่าเขาเพิ่งบรรลุขั้นฝึกปราณระดับห้า แถมนี่ก็ไม่ใช่ความสำเร็จใหญ่หลวงอะไร อีกทั้งยังไม่ใช่สถิติโลกด้วยซ้ำ เช่นนั้นเหตุใดอาจารย์ของเขาจึงต้องอยากสร้างความบันเทิงให้ด้วยการชวนไปชมระบำหน้าตักที่หอชมพูด้วยเล่า

เมื่อหวังลู่ไปถึงด้านหน้าหอชมพูบนยอดเขาสระวิญญาณ เขาก็เห็นผู้เป็นอาจารย์ยิ้มมีเลศนัยอยู่ที่หน้าประตูทางเข้า

“เข้ามาสิเสี่ยวลู่”

เสี่ยวลู่!? ทันใดนั้นหวังลู่ก็รู้สึกเย็นยะเยือกไปทั่วร่าง เขาชักเท้ากลับสองก้าวในทันที จากนั้นก็ชักกระบี่แห่งเขาคุนออกมา “เจ้าปีศาจ เจ้าเป็นใคร บังอาจปลอมตัวเป็นอาจารย์ของข้าเชียวหรือ”

แทนที่จะถอยหนี ผู้เป็นอาจารย์กลับสืบเท้ามาด้านหน้า รอยยิ้มของนางสว่างไสวกว่าเดิม

“เจ้าเด็กโง่ กะแล้วว่าเจ้าจะต้องวิ่งหนี”

อึดใจถัดมา หวังลู่รู้สึกว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับตนราวกับว่ากำลังตกลงไปในอุโมงค์ยาวเหยียด และนางหญิงสารเลวนั่นก็ยืนยิ้มหวานอยู่ที่ปากอุโมงค์นั่นเอง

“ขอให้ท่องเที่ยวอย่างหรรษาและป่าเถื่อนน้า~”

………………………………