บทที่ 405.2 จิตใจใฝ่หา

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เว่ยเซี่ยนครุ่นคิด ทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง

ชุยตงซานที่พาเก้าอี้เดินไปถึงหน้าต่างแล้วโบกมือทั้งที่ยังหันหลังให้เว่ยเซี่ยน “ตอนนี้เจ้าเว่ยเซี่ยนยังไม่มีคุณสมบัติจะถกเรื่องปัญหาความขัดแย้งระหว่างข้ากับอาจารย์ ดังนั้นจงดูให้มาก พูดให้น้อย”

ชุยตงซานพึมพำเบาๆ “อู๋ยวนเจ้าเมืองเขตการปกครองหลงเฉวียน เว่ยหลี่แห่งแคว้นหวงถิง หลิ่วชิงเฟิงแห่งแคว้นชิงหลวน เหวยเลี่ยงผู้บัญชาการณ์ใหญ่ และยังมีเจ้าเว่ยเซี่ยน ล้วนเป็น…ต้นกล้าที่ดีที่พวกเราหมายตา ซึ่งเจ้าและเหวยเลี่ยงมีจุดเริ่มต้นสูงที่สุด แต่ในอนาคตจะเป็นอย่างไร ยังต้องอาศัยความสามารถของพวกเจ้าเอง ไม่ต้องไปพูดถึงเหวยเลี่ยง เขาเหมือนนกกระเรียนป่าที่บินอยู่บนท้องนภาอย่างเดียวดาย ไม่ถือว่าเป็นหมากตามความหมายที่แท้จริง เป็นแค่การช่วยเหลือกันและกันบนมหามรรคา แต่อู๋ยวนกับหลิ่วชิงเฟิงคือคนที่ข้าปลูกฝังอบรมมาอย่างตั้งใจ ส่วนเจ้ากับเว่ยหลี่คือคนที่ข้าเลือก วันหน้าพวกเจ้าสี่คนจะต้องขึ้นไปต่อสู้บนเวทีให้กับพวกเรา”

คำพูดของเขาค่อนข้างจะคลุมเครือชวนให้สับสน เว่ยเซี่ยนได้แต่จดจำไว้ในใจเงียบๆ

ชุยตงซานพลันยกมือตบที่เท้าแขนเก้าอี้ “สือโหรวโง่เง่าผู้นั้น เกรงว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าถ้อยคำในกระดาษที่ยัดไว้ในถุงผ้าแพรเป็นคำที่ออกมาจากใจจริงของข้า แต่ละคำดุจกลั่นออกมาจากหยาดเลือดและน้ำตา คือประสบการณ์ที่ล้ำค่ามากที่สุดของคนผู้หนึ่งที่เคยอาบน้ำร้อนมาก่อน ครั้งหน้าที่พบกันในสำนักศึกษา หากนางยังไม่รู้จักพัฒนาตัวเองก็คอยดูเถอะว่าข้าจะจัดการนางอย่างไร! หึ คราบร่างเซียนตู้เม่าร่างนั้นไม่ต้องกินถ่ายหรือหลับนอน นางถึงได้ข่มกลั้นความสะอิดสะเอียนในใจเอาไว้ได้ ถึงเวลานั้นข้าจะบอกให้นางทั้งกินทั้งดื่ม ทั้งถ่ายทั้งอาบน้ำ ทำทุกอย่างให้ครบหลายๆ รอบ! ต้องให้นางรู้ซะบ้างว่าแบบไหนจึงจะเรียกว่าลูกผู้ชายตัวจริง!”

เว่ยเซี่ยนบอกลาจากไป

ชุยตงซานสะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง สลายตราผนึกบ่อสายฟ้าที่เป็นวงแสงสีทองวงนั้นออก

เว่ยเซี่ยนรู้สึกเคารพเลื่อมใสและยำเกรงคนผู้นี้จากใจจริง

เลื่อมใสเพราะไม่ถึงร้อยปีต้าหลีก็สามารถเปลี่ยนจากแคว้นใต้อาณัติเล็กๆ แห่งหนึ่งของราชวงศ์สกุลหลูมามีสภาพการณ์อย่างในทุกวันนี้ได้ นั่นล้วนเป็นเพราะอาศัยสี่คำว่าปั้นน้ำเป็นตัว

แต่เรื่องพวกนี้ยังไม่มากพอให้เว่ยเซี่ยนรู้สึกเคารพยำเกรงราชครูท่านนั้น ในขณะที่คนผู้นี้ต่อสู้รวบรวมแผ่นดินก็ได้ทุ่มเทพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องพิทักษ์แผ่นดิน

เว่ยเซี่ยนรู้สึกว่านี่ต่างหากถึงจะเป็นการประลองหมากล้อมที่แท้จริง

หลังจากเว่ยเซี่ยนจากไปแล้ว ชุยตงซานก็สะบัดข้อมือหนึ่งครั้งบังคับคว้าเหล้ากาที่อยู่บนโต๊ะมากระดกดื่มคำเล็กๆ

ระหว่างการเดินทางท่องเที่ยวที่ลุ่มๆ ดอนๆ เขาได้พบเห็นผู้คนและเรื่องราวมามากมาย อ่านตำรามากกว่าเดิม ได้เห็นทิวทัศน์ของภูเขาและแม่น้ำนับไม่ถ้วน

ในศึกตรีจตุที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงของปีนั้น เคยมีขุนนางบุ๋นคนหนึ่งที่ไม่ว่าจะเป็นหรือตายก็ล้วนไม่สะดุดตาใคร เขาได้เอ่ยประโยคหนึ่งที่เกรงว่าคงไม่มีใครเก็บไปใส่ใจ แต่กลับทำให้ชุยตงซานรู้สึกประทับใจและจดจำได้จนถึงทุกวันนี้

‘ฟ้าดินเป็นผู้กำหนด มีเกิดก็ต้องมีตาย พืชหญ้าใบไม้ร่วงใบไม้ผลิ มีรุ่งโรจน์ก็ต้องมีโรยรา นี่ก็คือสัจธรรมแห่งธรรมชาติ! ผู้ฝึกลมปราณที่ละเมิดกฎเกณฑ์ เหยียบย่ำชีวิตผู้คน เทพเซียนบนภูเขาที่มองชาวบ้านเป็นดั่งมดตัวเล็กอย่างพวกเจ้า จะแตกต่างจากเผ่าปีศาจตรงไหน?!’

ชุยตงซานใช้สองนิ้วคีบกาเหล้า เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ปากก็พึมพำไปด้วย เสียงของเขาแผ่วเบาราวกับเสียงยุง ดังขาดๆ หายๆ “ข้าเคยเป็นเจ๋อเซียน ดื่มน้ำพุเหล้าหมักของสรวงสวรรค์ เล่นหมากล้อมอยู่ท่ามกลางชั้นเมฆหลากสีของนครจักรพรรดิขาว…ข้าเห็นทัศนียภาพสองฝากฝั่งกลางลำน้ำที่คลื่นซัดสาดรุนแรง มิอาจสบอารมณ์…ไร้เงินติดกาย นอนกลางดินกินกลางทราย กินลมเย็นจนอิ่มท้อง จุดตะเกียงดื่มสุรา ต้านลมพายุต้านสายฟ้า…อาจารย์เมามายศีรษะส่ายโคลงเคลง ชูจอกขึ้นสูง ถามสวรรค์ใจคนอะไรที่มาก่อน เด็กรับใช้มิได้ตอบกลับ ก้มหน้าหลับไป ได้ยินเพียงเสียงแมลงรอบกำแพงดังระงม ประหนึ่งทอดถอนใจไปพร้อมข้า…อาจารย์ถอดเสื้อคลุมให้เด็กรับใช้ แต่กลับสะดุดล้มลงในห้องเก่าโทรม ทอดกายบนพื้น เสียงกรนดั่งเสียงฟ้าผ่า หลับฝันนิทราไป…”

ชุยตงซานพลันยื่นมือมาเกาแก้ม “น่าเบื่อจริง เปลี่ยนใหม่ เปลี่ยนเป็นอะไรดีล่ะ? อืม รู้แล้ว!”

แล้วเขาก็เริ่มคลอเพลงพื้นบ้านไม่รู้ชื่อขึ้นมา “คางคกตัวหนึ่งอ้าปากกว้าง คางคกสองตัวมีสี่ขา กระโดดลงน้ำดังจ๋อม คางคกไม่กินน้ำ ยุคแห่งสันติ คางคกไม่กินน้ำ ยุคแห่งสันติ…”

……

จวนตระกูลไช่ที่เมืองหลวง

รถม้านำพาเหล่าชนชั้นสูงและผู้มีความสามารถมารวมตัวกันอย่างเงียบเชียบ

ไช่เฟิงที่ตอนนี้รับตำแหน่งขุนนางปั้งเหยี่ยนของกั๋วจื่อเจียนถือว่าเป็นบุคคลที่มีความสามารถโดดเด่นมากแล้ว

คิดไม่ถึงว่าคืนนี้ ในบรรดาคนเจ็ดแปดคนที่มารวมตัวกัน ไช่เฟิงจะเป็นเพียงแค่คนที่มีตำแหน่งขุนนางต่ำที่สุด

กัวซินรองเจ้ากรมพิธีการฝ่ายซ้าย เถาจิ้วรองเจ้ากรมกลาโหมฝ่ายขวา เหมียวเริ่นแม่ทัพหลงหนิวผู้สร้างคุณความชอบในการบุกเบิกแคว้น รองผู้บัญชาการณ์ซ่งซ่านแห่งที่ว่าการพลทหารราบผู้ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยของเมืองหลวง…

ส่วนใหญ่ล้วนเป็นขุนนางในวัยหนุ่มฉกรรจ์ของเมืองหลวงต้าสุย อายุไม่มาก คนที่อายุมากอย่างเถาจิ้วก็ยังแค่สี่สิบห้าปีเท่านั้น

ไช่เฟิงคือคนหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่มีเรือนกายสูงใหญ่ บุคลิกองอาจห้าวหาญ ต่อให้เผชิญหน้ากับขุนนางชั้นสูงก็ยังมีมาดน่าเกรงขามไม่เป็นรองใคร

นี่มาจากทั้งความภาคภูมิใจในความรู้ความสามารถของตัวเอง แล้วก็เกี่ยวพันกับแซ่วงศ์ตระกูลของเขาด้วย ต่อให้ไช่จิงเสินผู้เป็นบรรพบุรุษของตระกูลไช่จะกลายเป็นตัวตลกของผู้อื่นมากแค่ไหน แต่นั่นก็เป็นถึงเทพเซียนก่อกำเนิดที่ปกป้องคุ้มครองเมืองหลวงต้าสุยมานานหลายปี

ทุกคนบ้างดื่มชา บ้างดื่มสุรา แผนการถูกวางไว้เรียบร้อยแล้ว มีความเป็นไปได้มากว่าทิศทางการดำเนินไปของสถานการณ์ในอนาคตของต้าสุย หรือแม้แต่สถานการณ์ของตลอดทั้งแจกันสมบัติทวีปในอนาคตก็ล้วนถูกตัดสินที่จวนไช่ในคืนนี้แล้ว

ห้าวันต่อจากนี้จะเป็นวันที่ฮ่องเต้ทรงจัดให้มีงานเลี้ยงฉลองเชียนโซ่วเหยียน (หรืองานเลี้ยงผู้เฒ่านับพัน คืองานเลี้ยงที่เชิญคนชรานับพันมาร่วมงานเพื่อร่วมเฉลิมฉลอง ผู้ริเริ่มคือคังซีฮ่องเต้) ก่อนหรือหลังงานเลี้ยงนี้ล้วนลงมือได้ทั้งสิ้น!

ไช่เฟิงลุกขึ้นยืนพูดเสียงดังกังวาน “ตรากตรำเล่าเรียนตำราอริยะปราชญ์ พิทักษ์แผ่นดิน ไม่ให้ชาวประชาถูกรังแก ปกป้องบ้านเมือง ไม่ให้ถูกคนต่างถิ่นรุกรานดูหมิ่น บัณฑิตอย่างเรายอมสละชีวิตเพื่อความชอบธรรม ซึ่งก็คือช่วงเวลานี้!”

จ้วงหยวนคนใหม่ที่ยังอยู่ในสำนักฮั่นหลินลุกพรวดขึ้นยืน ขว้างจอกเหล้าในมือลงพื้นจนแตกกระจายเป็นเศษเล็กเศษน้อย กล่าวเสียงทุ้มหนัก “บุตรไม่มีบิดาสองคน ขุนนางไม่มีกษัตริย์สองพระองค์ ยินดีเป็นหยกแตก แต่ไม่ยอมเป็นกระเบื้องสมบูรณ์! สามสิบหกแม่ทัพผู้ก่อตั้งแคว้นต้าสุยของพวกเรา เกินครึ่งล้วนมีชาติกำเนิดมาจากลัทธิขงจื๊อ!”

อารมณ์ทุกคนพลุ่งพล่าน ฮึกเหิมห้าวหาญถึงขีดสุด

บางคนชูแขนร้องตะโกน “ขอสาบานว่าต้องสังหารปีศาจบุ๋นเหมาเสี่ยวตงให้จงได้!”

บางคนหลั่งน้ำตาด้วยความเศร้าอาดูร ยกฝ่ามือตบที่เท้าแขนเก้าอี้หนักๆ อยู่หลายครั้ง “ต้าสุยของพวกเราจะยอมคุกเข่าก้มหัวให้คนป่าเถื่อนสกุลซ่งได้อย่างไร ยกอาณาเขตให้เพื่อขอปรองดอง พ่ายแพ้ตั้งแต่ยังไม่ทันได้รบ คือความอัปยศอย่างใหญ่หลวง!”

ทุกคนทยอยกันแยกย้ายจากไป

ไช่เฟิงไม่ได้ไปส่งใคร ไม่อย่างนั้นจะสะดุดตาเกินไป

แม้จะบอกว่าซ่งซ่านจัดการไว้เรียบร้อยแล้ว บริเวณใกล้เคียงกับตระกูลไช่ที่ใช้กฎห้ามเข้าออกยามวิกาลถูกเก็บกวาดจนสะอาดเอี่ยม มีแต่ทหารคนสนิทของรองผู้บัญชาการที่ว่าการพลทหารราบท่านนี้เฝ้าเอาไว้ แต่ก็ยังต้องระวังไว้ก่อนเป็นดี

ไช่เฟิงนั่งอยู่ในห้องโถงเลี้ยงรับรองที่เงียบเหงาเพียงลำพัง ในห้องยังอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของสุรา

สายตาของไช่เฟิงฉายประกายร้อนแรง

กอบกู้คลื่นยักษ์ที่ทรุดตัวลงแล้วให้กลับคืนมาผงาดอีกครั้ง นอกจากข้าไช่เฟิงแล้วยังจะมีใครทำได้อีก?!

เหมียวเริ่นและจางไต้จ้วงหยวนคนใหม่นั่งรถม้าคันเดียวกันจากไป

เหมียวเริ่นมองคนหนุ่มที่มีสีหน้าผ่อนคลายเป็นธรรมชาติ ในใจก็ให้ดูแคลนตัวเอง ตนถึงขนาดสุขุมได้ไม่เท่าเด็กรุ่นหลังที่มีอายุเพียงยี่สิบปีเลยด้วยซ้ำ ไม่เสียแรงที่อีกฝ่ายถูกเรียกขานว่าคนหนุ่มผู้มีคุณสมบัติจะเป็นเสนาบดี เขา หลี่ฉางอิงว่าที่วิญญูชนของสำนักศึกษาซานหยาในอนาคต ฉู่ต้งแห่งหนานซี บวกกับไช่เฟิงอีกคน ถูกขนานนามให้เป็นสี่จิตวิญญาณแห่งเมืองหลวง คือรุ่นคนหนุ่มที่มีความสามารถของต้าสุย นอกจากนี้ยังมีสี่ผู้นำซึ่งมีพานหยวนฉุนที่เป็นบุตรชายของพานเม่าเจินแม่ทัพใหญ่ผู้ล่วงลับรวมอยู่ด้วย แต่คนเหล่านี้ล้วนเป็นเมล็ดพันธ์ลูกหลานของขุนพล หลังจากที่พานหยวนฉุนที่มีอายุน้อยสุดออกจากสำนักศึกษาไปเข้าร่วมกองทัพที่ชายแดน สี่ผู้นำก็ล้วนอยู่ในกองทัพทั้งหมด

สี่จิตวิญญาณสี่ผู้นำนี้ รวมกันทั้งสิ้นแปดคน ผู้ที่เป็นลูกหลานของชนชั้นสูงหรือขุนนางผู้มีคุณูปการก็ได้แก่ฉู่ต้ง พานหยวนฉุน มีทั้งหมดสี่คน ส่วนผู้ที่เป็นลูกหลานตระกูลคนยากจนก็มีสี่คนเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นจางไต้ที่อยู่ตรงหน้าและหลี่ฉางอิง

เหมียวเริ่นรู้ว่าลำพังแค่คนหนุ่มที่มีเส้นทางอนาคตยาวไกลราบรื่นราวกับปูด้วยผ้าแพรซึ่งถูกลากเข้ามามีส่วนกับแผนการครั้งนี้ก็มีมากถึงสามคนแล้ว

ด้วยเหตุนี้เหมียวเริ่นจึงรู้สึกว่าสิ่งศักดิ์ทั้งหมดในต้าสุยจะต้องปกป้องให้พวกเขาทำเรื่องใหญ่ประสบความสำเร็จ

เหมียวเริ่นเลิกผ้าม่านรถม้าขึ้น มองไปข้างนอกแวบหนึ่ง สีท้องฟ้าดำมืดมากแล้ว ยังอยู่ห่างไกลเกินกว่าที่ฟ้าจะสว่าง

……

ระหว่างที่เดินทางกลับ เฉินผิงอันยังคงครุ่นคิดเรื่องที่หลินโส่วอีพูดถึง แต่คิดไปคิดมาก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองมีวีรกรรมยิ่งใหญ่อะไรที่มีค่ามากพอจะทำให้หลินโส่วอีซาบซึ้งใจ

หากจะบอกว่าเป็นหลี่เป่าผิงกับหลี่ไหวที่คิดถึงเขาตลอดเวลา เฉินผิงอันจะไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อย ก็ทั้งสองยังเป็นเด็กนี่นะ

แต่หลินโส่วอีกลับไม่เหมือนกัน น่าจะเป็นเพราะเขามีความรู้สึกที่ค่อนข้างเฉียบไว เป็นคนที่จิตใจละเอียดอ่อนและมีความคิดเป็นตัวของตัวเองอย่างยิ่ง อีกทั้งปณิธานยังสูงส่งยาวไกล ดังนั้นระหว่างทางที่เดินทางมาขอศึกษาต่อถึงได้ก้าวเดินไปบนเส้นทางของการฝึกตนก่อนใคร เรื่องนี้เฉินผิงอันไม่รู้สึกประหลาดใจ

จูเหลี่ยนอาศัยลางสังหรณ์ของตัวเอง ไม่ได้ตรงดิ่งไปที่หอพักของตัวเอง แต่ตามเฉินผิงอันเข้ามาในห้องแล้วถามเบาๆ ว่า “มีเรื่องหรือ?”

นายบ่าวในนามสองคนนี้เคยร่วมศึกใหญ่ที่ตัดสินเป็นตายกันมาหลายครั้ง ความรู้ใจจึงถูกบ่มเพาะขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

เฉินผิงอันไม่ได้ปิดบังจูเหลี่ยน หลังจากรินเหล้าสองถ้วยแล้วก็พยักหน้ารับ “เจ้าขุนเขาเหมาบอกข้าว่าช่วงนี้มีคนในเมืองหลวงต้าสุยคิดเล่นงานสำนักศึกษา หวังจะอาศัยช่วงเวลาสำคัญที่ฮ่องเต้ต้าสุยจะจัดงานเลี้ยงเชียนโซ่วเหยียน มีทูตของต้าหลีเข้าร่วมงานเลี้ยง หากเกิดปัญหาขึ้นที่สำนักศึกษาก็สามารถยุยงให้ชาวบ้านของสองแคว้นเกิดความเดือดดาล จากนั้นก็ทำลายของสมดุลของทั้งสองฝ่ายลง ไม่แน่ว่าอาจถึงขั้นก่อให้เกิดสงครามใหญ่ที่ชายแดน สองปีมานี้เดิมทีคนทั่วทั้งราชสำนักต้าสุยก็สะกดกลั้นไฟแค้นที่ฮ่องเต้สกุลเกาเป็นฝ่ายก้มหัวให้กับต้าหลีซึ่งพวกเขามองว่าเป็นคนเถื่อนก่อนอยู่แล้ว จากขุนนางบุ๋นแม่ทัพบู๊ที่รู้สึกได้รับความอัปยศเป็นเท่าตัว ไปจนถึงวงการวรรณกรรมที่แค้นเคืองต่อความไม่เป็นธรรม กระทั่งพวกชาวบ้านที่งุนงงสงสัยไม่เข้าใจ ขอแค่มีโอกาสปรากฏขึ้นมาก็ต้อง…”

จูเหลี่ยนรับคำพูดต่อ “ประกายไฟลุกลามอย่างรวดเร็วจนไม่อาจยับยั้งได้ทัน ต้าสุยจะไม่มีทางให้เดินย้อนกลับ ต่อให้เป็นฮ่องเต้สกุลเกาก็ต้องถูกบีบให้ทำลายพันธมิตรแห่งขุนเขาลง”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างเฉยเมย “เรื่องใหญ่ในราชสำนักประเภทนี้ ขอแค่ได้ในสิ่งที่ปรารถนาก็ไม่มีอะไรให้ต้องขุ่นเคืองใจ ข้าเข้าใจดี ดังนั้นข้าจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว ไม่อยู่ในตำแหน่งก็ไม่เข้าใจงานในหน้าที่ หลักการเดียวกับที่พวกเราท่องอยู่ในยุทธภพแล้วต้องรับผิดชอบความเป็นความตายของตัวเอง เพียงแต่ว่าเมื่อเกี่ยวพันมาถึงพวกเป่าผิง…”

เฉินผิงอันกระดกเหล้าในถ้วยดื่มรวดเดียวหมด แล้วก็ไม่เอ่ยอะไรอีก

จูเหลี่ยนตกตะลึงเล็กน้อย

ช่างเป็นปราณสังหารที่รุนแรงนัก

ในทะเลสาบหัวใจพลันมีคลื่นแห่งความอำมหิตโถมตัว

จูเหลี่ยนขยับปากทำท่าจะพูด แต่ก็ไม่ได้พูด

เฉินผิงอันเอ่ยด้วยสีหน้าเฉยชา “ข้ารู้”

เฉินผิงอันรินสุราอีกถ้วย “ยิ่งฝึกวิชากระบี่ก็ยิ่งได้รับอิทธิพลจากภาพในปีนั้นที่เว่ยจิ้นใช้หนึ่งกระบี่ฟันม่านราตรีให้ปริแตก และภาพที่จั่วโย่วเปิดฉากสังหารสี่ทิศในร่องเจียวหลง ข้าคนนี้เป็นคนขี้ขลาด ไม่กล้าทำอะไรตามใจตัวเองมากที่สุด แต่ภายหลังถูกเรือกลืนกระบี่ของตู้เม่าแทงทะลุท้อง ต่อมาก็ยังได้เจอกับศัตรูคู่อาฆาตอย่างหลี่เป่าเจิน ยิ่งนานวันข้าก็ยิ่งเข้าใจว่า สภาพจิตใจของตัวเองเกิดปัญหาแล้ว ถึงขั้นเป็นไปได้ว่าจะมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของข้าถูกทุบแตกตอนยังเป็นเด็ก สรุปก็คือนี่เป็นปัญหาอย่างมาก”

จูเหลี่ยนกล่าวอย่างเป็นกังวล “ถ้าอย่างนั้นนายน้อยจะจัดการอย่างไร? ดูเหมือนว่านี่จะเกี่ยวพันไปถึงปมในใจ…หรือควรจะพูดอีกอย่างหนึ่งว่าจิตมารของผู้ฝึกตน?”

เฉินผิงอันยกถ้วยเหล้าขึ้นชนกับของจูเหลี่ยน ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “อ่านตำราให้มาก”

เห็นจูเหลี่ยนมีสีหน้าเหลือเชื่อ เฉินผิงอันก็ยิ้มฝืด “ไม่ได้ล้อเจ้าเล่นหรอกนะ”

จูเหลี่ยนดื่มเหล้าหนึ่งอึก โคลงศีรษะไปมา

หากนี่ไม่ได้เรียกว่าล้อเล่น ใต้หล้านี้จะยังมีเรื่องล้อเล่นอีกหรือ?

เฉินผิงอันพูดเบาๆ “ก่อนที่ข้าจะมาถึงสำนักศึกษาที่ตั้งอยู่บนภูเขาตงหัวแห่งนี้ อันที่จริงก็ได้เริ่มลองอ่านตำราอริยะปราชญ์ที่มีความลึกซึ้งแล้ว ตอนอยู่แคว้นชิงหลวน ทำไมข้าถึงต้องอ่านตำราของสำนักนิติธรรม? นั่นก็เพราะข้าค้นพบว่าหากอ่านแค่ตำราลัทธิขงจื๊ออย่างเดียวก็คล้ายว่าจะไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ดั้งเดิมบางอย่างที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูกของข้า ได้ผลไม่มากพอ พอชุยตงซานแนะนำ ข้าถึงได้คิดจะนำบทความของลัทธิขงจื๊อมาพิสูจน์เปรียบเทียบกับความรู้อันเป็นพื้นฐานของสำนักนิติธรรม ภายหลังมาลองย้อนนึกดูก็เห็นว่ามีส่วนที่เป็นประโยชน์อยู่บ้างจริงๆ รอจนมาถึงสำนักศึกษา เห็นตัวอักษรที่สลักไว้บนไม้บรรทัดที่เจ้าขุนเขาเหมาห้อยไว้ตรงเอว สติปัญญาของข้าถึงพลันเปิดโล่ง รู้สึกว่าเดินมาถูกทางแล้ว เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้ยังรู้สึกมึนงง ได้แต่เดินไปโดยอาศัยสัญชาตญาณของตัวเอง ทว่าจะต้องเดินไปทางไหน ในใจกลับไม่มีความมั่นใจเลย เจ้าอาจจะไม่รู้ว่า สิ่งที่ข้าเฉินผิงอันกลัวมากที่สุดก็คือการที่…”

เฉินผิงอันเริ่มใคร่ครวญหาคำพูด