เล่มที่ 17 ตอนที่ 19

Memorize

ตอนที่ 19 โดย ProjectZyphon

ธุระที่เผ่าโครยอเสร็จสิ้นลงไปแล้ว หลังจากที่เสร็จงาน แคลนลอร์ดโครยอและโจซองโฮได้แสดงความขอบคุณสำหรับไมตรีของผมและได้เสนอให้ไปร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน แต่ผมก็ปฏิเสธไปโดยอ้างว่าได้มีนัดกับพี่อยู่ก่อนแล้ว

ความจริงผมก็คิดจะไปกินข้าวด้วย แต่สีหน้าของแคลนลอร์ดโครยอดูไม่ค่อยดีเท่าใดนัก ผมจึงตัดสินใจลุกออกมาจากโต๊ะ เขาดูจะช็อกพอสมควรที่ได้ยืนยันความจริงที่ว่าจางแฮยุนเป็นพวกเร่ร่อนด้วยสองตาตัวเอง

ดังนั้นผมจึงไปหาพี่จริงๆ ตามที่ได้อ้างไว้ ผมไม่ได้รับการติดต่อจากพี่อีกเลยหลังจากที่ผมโกรธเขาใหญ่โตตั้งแต่คำสั่งเรียกรวมพลคราวก่อน นิสัยของพี่น่ะ มักจะถามอะไรก็ตามตามอารมณ์ของผมเสมอแทนที่จะเคืองผมหรือไม่พอใจผม เพราะมันก็ตั้งแต่เด็กแล้วถ้าหากว่าผมโกรธ พี่จะทำเพียงแค่มองเข้ามาในตาผมนิ่งๆ เท่านั้น ผมจึงคิดจะเป็นฝ่ายเข้าหาก่อน

เป็นอย่างที่คิด พี่ต้อนรับผมที่มาเยี่ยมเยียนเผ่าแฮมิลอย่างยินดี และพยักหน้าตอบรับคำชวนออกไปทานอาหารข้างนอกด้วยกันของผมด้วยความดีใจ

แม้ผมจะแอบรู้สึกผิดต่อพี่จุนซองที่กำลังจัดกองเอกสารที่อยู่ข้างตัว นั่นก็เพราะพี่ลากตัวผมออกไปทันที โดยที่ผมทำได้แค่ทักทายพี่จุนซองเท่านั้น

หลังจากที่เราหาร้านอาหารที่กว้างและเงียบสงบพอดีกับเราแล้ว เราทั้งสองก็นั่งลงที่โต๊ะในมุมหนึ่ง และหลังจากที่สั่งอาหารกันเรียบร้อย ก็เริ่มถามสารทุกข์สุขดิบกันอย่างง่ายๆ

“นายสบายดีหรือเปล่าล่ะ”

“ก็เรื่อยๆ นั่นแหละ”

“ลมอะไรหอบนายมาถึงนี่กัน”

“ผมมีธุระที่เผ่าโครยอน่ะ หลังจากเสร็จงานแล้วเลยแวะมาที่นี่ด้วยเสียเลย”

ผมจิบน้ำที่พนักงานนำมาเสิร์ฟให้ แล้วจึงอธิบายธุระที่ผมไปทำที่โครยอให้พี่ฟังสั้นๆ ตั้งแต่การพาแพคซอยอนไปที่นั่น ไปจนถึงเรื่องคริสตัลแห่งความสัตย์จริง พี่ตั้งใจฟังเป็นอย่างดีไม่มีสีหน้าเบื่อหน่ายออกมาให้เห็น

“อืม…แล้วทางโครยอไม่ได้พูดอะไรกับนายเป็นพิเศษเลยเหรอ”

“พวกเขาก็แค่ขอบคุณที่ผมมาช่วยและชวนให้ร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน แต่เพราะสีหน้าของแคลนลอร์ดโครยอดูไม่ดีเอามากๆ ผมจึงปฏิเสธไปน่ะ เขาดูต้องการการพักผ่อนอย่างมากทีเดียว”

“อย่างนั้นเองสินะ แต่ถ้าอีกฝ่ายคือจางแฮยุนมันก็ถือว่าคุ้มกันแล้วล่ะนะ”

พี่ถอนหายใจออกมาพร้อมทั้งพร้อมกับพยักหน้าราวกับยังมีอะไรสงสัยอยู่ในใจ ผมมองหน้าเขาเพราะไม่รู้ว่าที่พี่ตอบออกมานั้นหมายถึงอะไร เมื่อพี่เห็นสีหน้านั้นของผมจึงพูดขึ้นมาอีกครั้ง

“พี่ก็ไม่ได้รู้อะไรมากมายนักหรอกนะ แต่จางแฮยุนน่ะ ก็เป็นที่รู้กันดีอยู่ว่าเป็นผู้ติดตามคนสนิทที่แคลนลอร์โครยอไว้ใจ ดังนั้นเมื่อความจริงเปิดเผยว่าเขาเป็นสายลับ ทุกคนก็คงจะตกใจกันมากน่ะ”

พี่ยิ้มอย่างขมขื่นครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ

“จางแฮยุน หมอนั่นกับพี่ ความจริงแล้วก็รู้จักกันเล็กน้อยนะ เขาก็ดูเป็นคนดีใช้ได้ เป็นคนที่มีประวัติดีเลยทีเดียว…”

อย่างนั้นนี่เอง เพราะแบบนี้ฮันโซยองถึงได้ขอไว้แบบนั้น

ภารกิจค้นหาสายลับไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด แม้จะดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ถึงอย่างไรก็ต้องมีอุปสรรคในระหว่างนั้นแน่นอนอยู่แล้ว

ยกตัวอย่างเช่นในกรณีของจางแฮยุน เขาเป็นคนมีชื่อเสียงอย่างที่พี่ได้พูดไป ดังนั้นผู้เล่นที่ทำตามเขาก็ย่อมมีมากตามไปด้วย และหากเราจับกุมเขาอย่างปัจจุบันทันด่วนล่ะก็ จะต้องมีการต่อต้านเกิดขึ้นแน่นอน ดังนั้นเราจึงต้องการแพคซอยอนเพื่อเป็นข้ออ้างทำให้การต่อต้านนั้นน้อยลง

ถ้าลองพี่พูดแบบนี้แล้ว…ก็เป็นไปได้ว่าอาจจะมีบางคนตกหลุมพรางของจางแฮยุนสินะ

“เอาเถอะ ยังไงก็ขอบใจนายมากนะที่มาหาพี่ เพราะพี่เองก็คิดจะไปหานายเร็วๆ นี้อยู่พอดี”

“หืม? ที่เมอร์เซนต์นารี่น่ะเหรอ”

ระหว่างที่ผมกำลังจมอยู่กับความคิดของตัวเองอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงพี่ดังมาจากเบื้องหน้า ทันทีที่ผมเงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นพี่กำลังทำสีหน้าเคร่งเครียดอยู่

“ซูฮยอน พี่มีบางอย่างที่อยากจะบอกกับนายจริงๆ จากใจ หวังว่านายจะฟังพี่หน่อยนะ”

“อะไรล่ะ”

“เกี่ยวกับสงครามครั้งนี้”

“…”

“เฮ้อ พี่รู้นะว่านายคิดอะไรอยู่ แต่นายจะฟังพี่ก่อนสักหน่อยไม่ได้เลยเหรอ”

หากพี่เกิดจะห้ามไม่ให้ผมเข้าร่วมในสงครามครั้งนี้ ผมคงได้โกรธเขาอีกรอบ แต่ว่าคำพูดของพี่กลับมีความจริงใจออกมาเกินกว่าที่ผมจะปฏิเสธเขาได้ลง ในท้ายที่สุดแล้วผมก็พยักหน้า เพราะมันก็ไม่ได้มีอะไรเสียหายหากผมจะลองฟังดูสักหน่อย

“ขอบใจนะ เอาล่ะ แล้วเผ่าทางใต้ไม่มีข่าวคราวอะไรบ้างเลยเหรอ”

“ไม่มีนี่ ทำไมล่ะ”

“ถ้าอย่างนั้น…”

พี่ดูเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วเขาก็โบกมือไปมาเบาๆ ทันใดนั้นผมก็รู้สึกว่ามีม่านล่องหนปกคลุมอยู่รอบโต๊ะ พี่หันมองไปรอบกายราวกับจะทดสอบว่ามันได้ผลหรือไม่ แล้วจึงพูดขึ้นด้วยเสียงที่กดลงต่ำกว่าเดิม

“อีกไม่ช้าไม่นาน…พี่คิดว่าทางตะวันออกคงจะจัดกองกำลังผู้เล่นก่อนกำหนดภายในอาทิตย์หน้านี้ แน่นอนว่าเป็นทัพใหญ่เลยละ”

“อาทิตย์หน้า? เร็วขนาดนั้นเลยเหรอ”

พี่ไม่ได้ตอบรับอะไรกับคำถามของผม ทำเพียงแค่เคาะนิ้วชี้ลงกับโต๊ะราวกับกำลังเรียบเรียงความคิดบางอย่างแล้วจึงพูดขึ้น

“ฟังให้ดีนะ เพราะต่อจากนี้พี่จะเริ่มอธิบายแล้ว ขนาดของสงครามในครั้งนี้ดูท่าจะใหญ่กว่าที่คิดเอาไว้ ใหญ่จนนายคิดไม่ถึงเชียวล่ะ”

ใหญ่กว่าที่คิดงั้นเหรอ…

สำหรับผมที่พอจะล่วงรู้อนาคตได้นั้น เรื่องนี้ก็เป็นส่วนที่พอจะยอมรับได้ แต่พี่กลับมีสีหน้าเคร่งเครียดเกินกว่าจะปล่อยไปเฉยๆ

“ฟู่ว…พูดก็พูดเถอะนะซูฮยอน ความจริงพี่กังวลมากว่าควรบอกนายดีหรือเปล่า เพราะมันอาจจะฟังดูมีเหตุผล หรือไม่ก็กลับกลายเป็นการข้ออ้างได้เหมือนกัน นายอาจจะไม่รู้ แต่มันคือสถานการณ์ของพี่ในตอนนี้”

พี่พูดอย่างนุ่มนวลสวนทางกับนิสัย แต่ผมว่าผมพอจะรู้นะว่าทำไมเขาจึงพูดมันขึ้นมา จู่ๆ ผมก็รู้สึกถึงน้ำรสขมๆ ที่เอ่อล้นขึ้นภายใน

“แต่พี่คิดว่ามันคงดีกว่าหากจะบอกนายแต่เนิ่นๆ ถ้าหากว่านายจะรู้สึกผิดหวังกับพี่หรือคนอื่นๆ ที่นายได้เคยพบมา…”

“ผมไม่ผิดหวังหรอกน่า”

ผมพูดตัดบทพี่ขึ้นมาและได้เห็นดวงตาของพี่เบิกโตขึ้น อาจเป็นเพราะคาดไม่ถึงกับคำตอบของผมล่ะมั้ง

หลังจากกลืนอาการคลื่นไส้นั่นลงคอไป ผมก็พยายามพูดขึ้นอีกครั้ง

“ผมรู้ดีว่าโลกใบนี้ดำเนินไปยังไง…โลกที่เรียกว่าฮอลล์เพลนแห่งนี้ ดังนั้นผมจะพูดอีกครั้ง ไม่ว่าพี่จะพูดอะไรก็ตาม ผมไม่เคยผิดหวัง โดยเฉพาะในตัวพี่ ไม่เคยเลยสักนิดเดียว”

“ซูฮยอน”

พี่เรียกชื่อผม เม้มปาก แล้วจ้องผมนิ่งๆ ผมไม่ได้หลบสายตานั้นของเขา ผมมองกลับไปตรงๆ

จู่ๆ ผมก็รู้สึกอยากหัวเราะออกมาเสียอย่างนั้น ผิดหวังกับฮอลล์เพลนอย่างนั้นเหรอ มันก็นานเหลือเกินแล้วที่ผมหลุดพ้นจากความรู้สึกนั้น ในฐานะ ‘ผู้เล่น’ แล้ว การมีความรู้สึกแบบนั้นก็ถือเป็นความไม่เหมาะสมในตัวมันเองอยู่แล้ว มันเป็นเรื่องเกินกำลังสำหรับผมที่จะมีชีวิตรอดและดูแลทุกคนที่สำคัญกับผมในตอนนี้ และการคิดแบบนั้นก็ดูเป็นความคิดที่ไม่จำเป็นเลยสักนิดเดียว

ผมรู้ดีว่าฮอลล์เพลนไม่ได้เป็นสถานที่ที่สวยงามขนาดนั้น บางทีอาจจะรู้ดียิ่งกว่าพี่เสียอีก

ความเงียบปกคลุมอยู่สักพัก สายตาของพี่ยังคลุมเครือ หากมองเพียงแวบเดียวอาจจะดูภูมิใจแต่ก็สามารถรู้สึกได้ถึงความโดดเดี่ยวไปพร้อมกันด้วย

หลังจากนั้นพี่ก็ถอนหายใจยาวออกมา

“ตั้งแต่เมื่อไรกันนะ…ที่นายโตแบบนี้”

ไม่ใช่ ‘ตอนนี้’ แต่เป็น ‘เมื่อไร’ ไม่รู้ทำไม แต่ความแตกต่างของสองคำนี้ถึงได้เสียดแทงใจผมเหลือเกิน

“ตอนนี้พี่รู้สึกดีขึ้นมากแล้วละ หลังจากที่ได้บอกมันกับนาย ขอบใจแล้วก็…ขอโทษด้วย”

“ไม่มีอะไรที่พี่ต้องขอโทษ”

“ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นพี่จะเริ่มพูดเรื่องใหม่ล่ะนะ นายรู้หรือเปล่าว่าเผ่าสิงโตทองได้ร้องขอความช่วยเหลือมา”

ผมเริ่มได้ยินเสียงเคาะนิ้วกับโต๊ะอีกครั้งแล้ว พฤติกรรมแบบนั้นเป็นนิสัยของพี่เวลาจมอยู่กับความคิดของตัวเองอย่างลึกซึ้ง เขาเพิ่งจะพูดไปว่ารู้สึกดีขึ้นมากแล้ว แต่ตอนนี้บนหน้าพี่กลับมีคำว่า ‘ฉันจะพูดยังไงดี’ เขียนไว้อย่างชัดเจน

“อืม ผมได้ยินข่าวแล้ว แต่ผมคิดว่ามันค่อนข้างน่าขำ”

“พี่ก็ว่าอย่างนั้น ทั้งฝั่งตะวันออกและใต้เองก็คงจะประกาศสถานการณ์ออกมาอย่างเป็นทางการในไม่ช้านี้”

“สถานการณ์อย่างเป็นทางการ? แล้วจะประกาศยังไงกัน”

“มีกำหนดตัดขาดวาร์ปเกตกับบาบาร่าภายในอาทิตย์นี้ พวกเขาเห็นพ้องร่วมกันว่าจะเข้าร่วมกับเมืองของทางฝั่งเหนือที่เหลืออยู่ที่นี่”

ถึงฝั่งเหนือเลยเหรอ

ถึงแม้ว่าพี่จะไม่ได้อธิบายอะไรเกี่ยวกับสถานการณ์อย่างเป็นทางการ แต่ผมก็สามารถอนุมานสถานการณ์ในปัจจุบันได้จากคำตอบที่ตามมา

การตัดวาร์ปเกตออกไปไม่ใช่เรื่องที่น่าตกใจอะไร แต่ข่าวการเข้าร่วมของทางฝั่งเหนือต่างหากที่คาดไม่ถึง

หลังจากที่พูดจบ พี่ก็ส่งสายตามาหาผมราวกับกำลังสังเกตปฏิกิริยาของผมอยู่ ผมส่งสีหน้าเรียบนิ่งกลับไปเพราะมีสิ่งที่ผมได้ตัดสินใจไว้ก่อนหน้านี้แล้ว และแสดงท่าทีตั้งใจฟังเป็นสัญญาณให้พี่พูดต่อ

“แล้วก็…”

ก๊อก ก๊อก

ในตอนนั้นเอง บล็อกฟีลด์ที่พี่สร้างไว้ก็ส่งเสียงดังออกมาเบาๆ เมื่อหันไปมอง ก็เห็นพนักงานถืออาหารที่เราสั่งไว้แล้วทำหน้าอึกอักยืนอยู่

“เดิมทีแล้ว พี่ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับทางใต้หรอกนะ แต่ในทางตะวันออกนั้น มีการแนะนำว่าให้ปล่อยพวกผู้รุกรานไปน่ะ ถ้าหากพวกเขามาที่นี่เพื่อแก้แค้นเพียงอย่างเดียวล่ะก็ ไม่เห็นมีความจำเป็นจะต้องสร้างความขัดแย้งเลยสักนิด”

“…”

“แต่ต้องขอบคุณนาย ที่ทำให้พี่ได้เห็นความจริงที่อยู่ภายในนั้น ดูเหมือนว่าจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ เกิดขึ้นในความคิดของทุกคนแล้วละ พี่เพียงแค่คิดว่าเราไม่สามารถต่อสู้เงียบๆ แบบนี้เพียงอย่างเดียวได้ ดังนั้นเมื่อไม่นานมานี้ เราจึงได้ล้มเลิกแผนเดิมแล้วได้คิดกลยุทธ์ใหม่ขึ้นมา”

ที่พวกสายลับหายไปก็คงเป็นส่วนหนึ่งของแผนนี้สินะ

ผมพยักหน้าช้าๆ แล้วจึงพยักพเยิดไปทางพนักงานเสิร์ฟที่ยังรออยู่ด้วยความประหม่า

“แผนนั้นน่ะ ผมรอดูอยู่นะ”

“ชื่อของแผนนั้นก็คือ ‘โลกใบใหม่’”

“โลกใบใหม่?”

“ใช่ มันหมายความว่าพี่จะทำให้พวกทวีปทางตะวันตกที่บุกรุกเข้าทวีปทางเหนือได้เห็นโลกใบใหม่ยังไงล่ะ”

พี่ที่ได้รับสัญญาณทางสายตาจากผม หันไปมองข้างๆ แล้วพูดขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา

“ครั้งนี้ทางเราได้ตัดสินใจว่าจะไม่ส่งพวกผู้รุกรานกลับไปเลยแม้แต่คนเดียว เราทั้งหมดเห็นพ้องต้องกันให้กำจัดเสียให้สิ้นซาก”

“เดิมทีพี่ไม่อยากให้นายเข้าร่วมเลย…แต่นายก็คงจะไม่ทำอย่างที่พี่พูดใช่ไหม”

“จะยังไงก็ลองคิดดูเถอะ พวกนายเป็นทหารรับจ้างอิสระ ยังไงก็ไม่มีทางถูกผูกมัดเป็นแน่ และถ้าหากนายตัดสินใจแล้ว พี่ก็อยากให้นายบอกพี่ก่อนเป็นคนแรก”