บทที่ 526 จวนบุปผา

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 526 จวนบุปผา

ปรากฏว่าเฝิงหลุนเห็นหน่วยลาดตระเวนอีกกลุ่มหนึ่งของชาวทะเลผ่านมาพอดี เขาจึงหยิบกระบี่ออกมาสังหารพวกของมนุษย์หนวดปลาหมึก เพื่อที่ความผิดทั้งหมดนั้นจะได้ตกเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว

หลินเป่ยเฉินจะสามารถปล่อยให้เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร?

“บัดซบ”

หลินเป่ยเฉินตวาดลั่น “นี่เจ้าคิดจะแย่งความดีความชอบไปจากข้างั้นหรือ?”

เขาคว้าไหล่เฝิงหลุนและโยนหมอนั่นกลับไปที่กลุ่มลูกศิษย์ร่วมสถาบันซึ่งยืนอยู่ด้านหลัง

“พวกมนุษย์… บนบก… กล้าก่อปัญหาอย่างนั้นหรือ?”

หน่วยลาดตระเวนหน่วยนี้เป็นชาวทะเลยกกลุ่ม แต่เมื่อเทียบกับหัวหน้ากลุ่มชาวทะเล 3 ตนก่อนหน้านี้ พวกเขาก็มีระดับพลังไม่สูงส่งสักเท่าไหร่ เพียงแต่ว่ามีกำลังพลไม่ใช่น้อย นับดูแล้วประมาณ 20 คนเห็นจะได้

“พวกมันมาหาเรื่องข้าก่อน” หลินเป่ยเฉินชี้มือไปยังหัวหน้ากลุ่มทหารชาวทะเล 3 ตัวที่นอนตายอยู่บนพื้น “ข้าก็เลยฆ่าพวกมันซะ”

บัดนี้ เขากำลังสวมใส่ชุดเครื่องแบบของลูกศิษย์ประจำสถานศึกษากระบี่ที่สาม

หัวหน้ากลุ่มลาดตระเวนหน่วยนี้ก็เป็นมนุษย์หนวดปลาหมึกเช่นกัน

แต่พิเศษตรงที่ว่านอกจากมีมือเป็นหนวดปลาหมึกแปดเส้นแล้ว มันยังมีขาเป็นหนวดปลาหมึกอีกแปดเส้นด้วยเช่นกัน ส่วนหัวมีลักษณะเหมือนมนุษย์ทุกประการ เพียงแต่จมูกยุบหายลงไปใต้ผิวหนังซึ่งมีลักษณะตะปุ่มตะป่ำ มองดูแล้วอัปลักษณ์เป็นอย่างยิ่ง

“เจ้าพวกเด็กเมื่อวานซืน กล้าดีอย่างไรถึงมาสังหารชาวทะเล…” มนุษย์หนวดปลาหมึกถลึงตาจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยเข้าใจว่าเด็กหนุ่มเป็นเพียงลูกศิษย์ธรรมดาคนหนึ่งในสถานศึกษาแห่งนี้

นั่นเป็นเพราะว่าชาวทะเลปกครองเมืองหยุนเมิ่งเป็นเวลากว่า 3 เดือนแล้ว และมนุษย์หนวดปลาหมึกตนนี้ไม่เคยพบเจอเด็กหนุ่มที่แข็งแกร่งมาก่อน ปกติแล้ว ผู้คนยามพบเจอหน้ามัน หากไม่วิ่งหนีไปด้วยความหวาดกลัว ก็มักจะตกใจเกินไปจนสลบเหมือดอยู่ตรงนั้นเอง

วูบ! วูบ!

หนวดปลาหมึกทั้งแปดเส้นสะบัดฟาดผ่านอากาศพุ่งตรงมาที่หลินเป่ยเฉิน

หลินเป่ยเฉินคว้าจับหนวดปลาหมึกเส้นหนึ่งเอาไว้และม้วนเป็นก้อนกลมเช่นเดิม

จากนั้นเขาก็เหวี่ยงมันขึ้นเหนือศีรษะ

มนุษย์หนวดปลาหมึกลอยคว้างอยู่กลางอากาศเหมือนเป็นกังหันลม

หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็จับมันฟาดลงกับพื้นดินอย่างแรง

หมึกสีดำสาดกระจายไปรอบทิศทาง

ในเวลาเดียวกันนั้น มนุษย์หนวดปลาหมึกพลันโคจรพลังลมปราณ ตัดหนวดของตนเองที่อยู่ในมือของหลินเป่ยเฉินให้ขาดออกจากกัน

“เอ๋? นี่มันอาหารทะเลชั้นเยี่ยมเลยนี่นา?” หลินเป่ยเฉินก้มหน้ามองหนวดปลาหมึกที่เหลืออยู่ในมือ และพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง “ท่าทางน่าอร่อยเหมือนกันนะ?”

พูดจบ หลินเป่ยเฉินก็หันกลับไปมองกลุ่มเพื่อนร่วมสถาบันที่ยืนอยู่ด้านหลัง แล้วเขาก็ต้องตกตะลึงเล็กน้อย

เพราะว่ากลุ่มเด็กหนุ่มเหล่านั้นตัวเปื้อนน้ำหมึกตั้งแต่หัวจรดเท้า กำลังจ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาไม่สบอารมณ์

“อ้าว โทษที ข้าไม่ได้ตั้งใจ…”

หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มและโยนหนวดปลาหมึกเส้นนั้นให้แก่หวังจง พลางกำชับว่า “เอาไปต้มน้ำซุป แล้วใช้เป็นอาหารให้เจ้าหมาป่าน้ำแข็งของพวกเรารับประทาน มันกำลังจะคลอดลูกในไม่ช้า บำรุงสักหน่อยก็ไม่เสียหาย…”

เซียวปิงน้ำลายไหลย้อย

“ท่านพี่ ดูหน้าตามันน่าอร่อยไม่น้อยเลยนะขอรับ”

ดวงตาของเด็กหนุ่มร่างอ้วนเป็นประกายระยิบระยับ

ระหว่างที่พูดคุยกันอยู่นี้ มนุษย์หนวดปลาหมึกก็สามารถถอยหลังกลับไปตั้งหลักได้แล้ว

เห็นได้ชัดว่ามันตกใจในฝีมือของหลินเป่ยเฉินไม่ใช่น้อย

“ฝากไว้ก่อนเถอะ มนุษย์ผู้ต่ำต้อย… เจ้าจงรอคอยความตายได้เลย”

มนุษย์หนวดปลาหมึกซึ่งเลือกตัดแขนตัวเองเพื่อความอยู่รอด ระเบิดเสียงคำรามมาจากที่ห่างไกล บัดนี้ มันกำลังใช้ขาที่เป็นหนวดปลาหมึกของตนเอง ปีนขึ้นไปเกาะอยู่ที่ด้านข้างของอาคารเรียนหลังหนึ่งพร้อมกับกัดฟันกรอด และใช้สายตาจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉินด้วยความเคียดแค้น

“เก่งจริงก็อย่าหนีสิ มาลงหม้อน้ำซุปของข้าเสียดีๆ”

หลินเป่ยเฉินดาวน์โหลดธนูเหล็กไหลและศรมังกรคราสออกมายิงไปที่มนุษย์หนวดปลาหมึกตนนั้น และตรึงมันไว้บนกำแพงของอาคารเรียน

“หวังจง รีบไปจับตัวมัน เอามาทำเป็นอาหารเดี๋ยวนี้”

หลินเป่ยเฉินออกคำสั่งเสียงดัง

หลังจากนั้น เขาก็หันหน้ากลับมาพูดกับเฝิงหลุนว่า “เจ้าตัวโง่งม เดี๋ยวนี้คิดขโมยความดีความชอบกันซึ่งหน้าอย่างนี้เชียวหรือ?”

เฝิงหลุนยันตัวลุกกลับขึ้นมาไม่พูดอะไร นอกจากกัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจ

หลินเป่ยเฉินกำลังจะเดินผ่านไป

พลัน เฝิงหลุนยกมือขึ้นปาดเลือดออกไปจากใบหน้า ดวงตาของเขาจ้องมองอยู่ที่หลินเป่ยเฉินตลอดเวลาขณะพูดว่า “เมื่อสักครู่ ข้าตั้งใจขโมยความดีความชอบของเจ้า… เจ้าจะปล่อยข้าไปง่ายๆ เช่นนี้หรือ?”

หลินเป่ยเฉินหันกลับมายกมือขึ้น

เฝิงหลุนหลับตารอรับการลงโทษ

แต่กลับกลายเป็นว่าหลินเป่ยเฉินเอื้อมมือมาปัดเลือดออกไปจากแขนเสื้อของเฝิงหลุน และกล่าวว่า “เห็นว่าเจ้าเป็นแกนนำกลุ่มผู้ประท้วงไม่ใช่หรือ? หากข้าอยากจะเข้าร่วมการประท้วงด้วย ไม่ทราบว่าสายเกินไปหรือไม่?”

เฝิงหลุนเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง

เขาจ้องมองหลินเป่ยเฉินอย่างไม่เข้าใจ

“ทำไม? หรือว่าเจ้าไม่ต้อนรับข้า?” หลินเป่ยเฉินเลิกคิ้วขึ้นสูงเล็กน้อยและพูดด้วยน้ำเสียงหมดหวัง “เฮ้อ ไว้หน้าข้าบ้างสิ ข้าเป็นถึงผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองเชียวนะ… ซ้ำบัดนี้ยังมีคนจ้องมองอยู่มากมาย”

ความรู้สึกดีใจและตื้นตันท่วมท้นอยู่เต็มร่างกายของเฝิงหลุน

เฝิงหลุนรู้ดีว่าหลินเป่ยเฉินให้อภัยกับเรื่องราวที่เขาเคยทำเอาไว้ในอดีตแล้ว

ความรู้สึกผิดที่คอยกัดกินจิตใจเด็กหนุ่มสลายหายวับไปกับตา

“ตกลง เจ้าเข้าร่วมการประท้วงของเราได้ไม่มีปัญหา” เฝิงหลุนว่า “พวกเราทุกคนจะเชื่อฟังเจ้าเป็นอย่างดี”

นี่คือจิตวิญญาณของคนหนุ่ม

ถ้าใช้ไม้แข็งมากเกินไป ศักดิ์ศรีที่ค้ำคออยู่ก็คงไม่หายไปโดยง่าย แต่ถ้าให้ความเคารพเล็กน้อย อีกฝ่ายก็จะยอมอ่อนข้อให้เองโดยปริยาย

นี่คือรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ผู้ยิ่งใหญ่หลายคนมองข้าม

กลุ่มเด็กหนุ่มระเบิดเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจ

หลินเป่ยเฉินล้วงยาลูกกลอนโอสถหกสวรรค์ออกมาให้เฝิงหลุนกับเกาหมิน รวมไปถึงศิษย์คนอื่นๆ ที่ได้รับบาดเจ็บให้รับประทานทีละคน

“พวกเจ้ากินนี่สิ ไม่ต้องเกรงใจ…”

ทุกคนรับยาไปทานด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

เซียวปิงกลืนน้ำลายและพูดว่า “ท่านพี่ขอรับ ข้าก็อยากรับประทานเหมือนกัน”

“เจ้ารับประทานเยอะเกินไปแล้ว ระวังจะกลายเป็นเครื่องบดยาเอานะ”

หลินเป่ยเฉินปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย

เพราะว่ายาหมดแล้วต่างหาก

ในไม่ช้า ทุกคนก็ได้รับทราบข่าวว่าหลินเป่ยเฉินผู้เป็นตำนานประจำสถาบันได้กลับมาแล้ว พวกเขาจึงเข้าร่วมการเดินขบวนประท้วงครั้งใหม่ด้วยความตื่นเต้น เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น เด็กหนุ่มและเด็กสาวจำนวน 500 คน ก็มารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว และจำนวนผู้คนก็กำลังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย

แต่ก็มีอาจารย์บางท่านเดินออกมา พยายามห้ามปราม

“พวกเจ้าอย่าไปเลยนะ อย่าไปประท้วงกันเลย”

และก็มีอาจารย์อีกท่านหนึ่งเดินมายืนขวางหน้ากลุ่มผู้ประท้วง พร้อมกับกล่าวว่า “พวกเจ้าแก้ปัญหาด้วยวิธีนี้ไม่ได้หรอก… เหตุไฉนถึงไม่ส่งตัวแทนสักกลุ่มหนึ่ง เข้าไปเจรจาที่จวนผู้ว่าด้วยความเป็นมิตรและประนีประนอมมากกว่านี้ล่ะ… บัดนี้ ข้าที่ทำหน้าที่เป็นอาจารย์ใหญ่ชั่วคราวของสถานศึกษากระบี่ที่สาม ขอสั่งให้พวกเจ้าทุกคนกลับไปร่ำเรียนกันตามปกติเดี๋ยวนี้”

คนพูดเป็นชายวัยกลางคนมีผมสีเทาทั้งศีรษะ

“เฮอะ คนทรยศ”

“หน้าด้านไร้ยางอาย… พวกเราไม่เคารพอาจารย์ใหญ่อย่างท่านหรอก”

“ไสหัวไปซะ ไม่งั้นอย่าหาว่าเราไม่ไว้หน้า”

กลุ่มเด็กหนุ่มผู้มีจิตใจโกรธแค้นคำรามออกมาด้วยความเดือดดาล ไม่ว่าจะพูดจาเช่นไรก็ไม่ยินยอมรับฟังอีกแล้ว อาจารย์ใหญ่ชั่วคราวท่านนี้รับข้อเสนอมาจากชาวทะเล เพื่อดูแลสถานศึกษากระบี่ที่สามให้อยู่ภายใต้ความสงบสุข เขาได้รับความเคารพเสมอมา เพราะคอยออกหน้าช่วยเหลือกลุ่มลูกศิษย์ยามมีปัญหากับชาวทะเลอยู่บ่อยครั้ง

แต่บัดนี้ อาจารย์ใหญ่ชั่วคราวท่านนี้มีสีหน้ารู้สึกผิดและเป็นกังวลที่ไม่สามารถห้ามปรามกลุ่มลูกศิษย์ได้อีกแล้ว

กลุ่มมือกระบี่รุ่นเยาว์เดินขบวนออกจากสถาบันลงไปตามท้องถนน

พวกเขาชูป้ายผ้าและโบกสะบัดผืนธงในอากาศ

“ทวงคืนความเป็นธรรมให้แก่อาจารย์ของพวกเรา!”

“ทวงคืนความเป็นธรรมให้แก่ชาวเมืองหยุนเมิ่ง!”

“พวกเรายอมตายดีกว่ายอมอยู่ใต้อำนาจของพวกชาวทะเล…”

“จงรีบปล่อยตัวอาจารย์เถียนเถียนและอาจารย์ฉุยหมิงโหลวออกมาเดี๋ยวนี้!”

บรรดาเด็กหนุ่มเด็กสาวร้องตะโกนถ้อยคำเหล่านั้นระหว่างเดินขบวนตรงไปที่ใจกลางเมือง

ระหว่างทาง ชาวเมืองจำนวนมากได้เข้ามาร่วมเดินขบวนด้วย

หากนี่เป็นเชื้อเพลิงที่บรรจุอยู่ในถังน้ำมัน ถังน้ำมันถังนี้ก็พร้อมที่จะระเบิดได้ตลอดเวลา

“ว่าแต่ว่า อาจารย์ใหญ่หลิงหายไปไหนหรือขอรับ?”

หลินเป่ยเฉินเดินนำอยู่หน้าขบวน คอยร้องตะโกนร่วมกับเพื่อนร่วมสถาบันอย่างมีความสุข มีจังหวะหนึ่งเขานึกอะไรขึ้นมาได้ จึงหันหน้ามากระซิบถามฉู่เหิน

ฉู่เหินตอบว่า “อาจารย์ใหญ่ก็เหมือนพวกข้า 3 คนนี่แหละที่ต้องลาออกจากสถาบัน อาจารย์ใหญ่เปลี่ยนแปลงจวนตระกูลหลิงหลังเก่า ให้กลายเป็นจวนบุปผาที่ต้อนรับแต่สาวงามเท่านั้น อาจารย์ใหญ่แต่งตั้งตนเองเป็นผู้ปกครองจวน และห้ามไม่มีผู้ใดเดินทางเข้าไปที่นั่นทั้งสิ้น…”

จวนบุปผาอย่างนั้นหรือ?

หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วนิ่วหน้า

นี่อาจารย์ใหญ่เปิดหอนางโลมส่วนตัวหรืออย่างไร?

แต่เขาไม่ได้อยากจะเข้าเมืองเพื่อไปหอนางโลมสักหน่อย

หลินเป่ยเฉินนึกว่าอาจารย์ใหญ่หลิงจะมีภาพลักษณ์ที่ดีกว่าอาจารย์ติงของเขาเสียอีก

ว่าแต่ว่าอาจารย์ติงคิดอะไรอยู่นะ?

พูดมาถึงตอนนี้ ขบวนผู้ประท้วงก็มีผู้เข้าร่วมแล้วหลายพันคน พวกเขาต่างพร้อมใจกันเปลี่ยนทิศทางเดินขบวนตรงไปที่จวนผู้ว่าหลังใหม่

ระหว่างทาง หลินเป่ยเฉินได้ค้นพบว่าเมืองหยุนเมิ่งในปัจจุบัน มีสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงจากเมื่อ 3 เดือนก่อนมากมายนัก มีการขุดลอกเส้นทางน้ำเพื่อนำน้ำทะเลเข้ามาสู่ตัวเมือง ทำให้ท้องถนนหลายสายจมหายไปใต้บาดาล ก่อเกิดเป็นแม่น้ำลำคลองที่มีอยู่เต็มเมือง ส่วนถนนหนทางให้คนเดินนั้นมีเหลืออยู่เพียงไม่กี่เส้น จึงกล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำแล้วว่าเมืองหยุนเมิ่งของพวกเขากลายเป็นเมืองบาดาลโดยสมบูรณ์

จวนผู้ว่าหลังใหม่ตั้งอยู่บนเกาะกลางทะเลสาบ

มีสะพานยักษ์ทอดยาวจากสี่ทิศทาง ไม่ว่าจะเป็นฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ ฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือและอีกสองทิศทางที่เหลืออยู่ ล้วนแล้วแต่ทอดนำไปสู่ใจกลางเกาะกลางทะเลสาบทั้งสิ้น

สภาพอากาศหนาวเย็น

มองจากระยะไกล จวนผู้ว่าเป็นเหมือนกระดองเต่ายักษ์ที่มีสีสันสดใสตระการตา

บัดนี้ บนประตูหน้าจวนผู้ว่า ได้มีการติดตั้งหน้าจอถ่ายทอดสดการประหารชีวิตผู้คนเอาไว้ให้ชาวเมืองได้รับชมเป็นการข่มขวัญ