ตอนที่ 206-1 เรื่องจุกจิกในเมืองหลวง

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

เรือนเหลียนอีคือเรือนที่เสิ่นหย่าพักอาศัยอยู่ตอนที่ยังไม่ออกเรือน เทียบกับตอนนี้แล้ว เรือนเหลียนอีในตอนนี้เปลี่ยนไปนานแล้ว ทาสีกำแพงลานบ้านใหม่ สีน้ำมันบนช่องหน้าต่างก็มันวาว บนราวจับตรงระเบียงทางเดินก็ทาน้ำมันขัดเงา ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการตกแต่งภายในห้อง ย่อมต้องหรูหราโอ่อ่าแน่นอน

 

 

เสิ่นหย่ามองลานบ้านที่แพรวพราวเหมือนใหม่ แทบจะน้ำตาตก สายตาของนางกวาดมองหญ้าทุกใบต้นไม้ทุกต้นในลานบ้าน ตอนที่มองเห็นต้นกุ้ยฮวา (ต้นหอมหมื่นลี้) ที่มีขนาดใหญ่เท่าสองคนกอด ดวงตานางก็ปรากฏประกายแห่งความคิดถึง ตอนนั้นนางชอบนั่งเย็นปักถักร้อยอยู่ใต้ต้นกุ้ยฮวาต้นนั้น เมื่อสายลมพัด ทั่วทั้งลานบ้านก็เต็มไปด้วยกลิ่นหอม

 

 

“ท่านแม่ นี่คือเรือนที่ท่านอยู่เมื่อก่อนหรือ” เหอหลินหลินประหลาดใจอย่างถึงที่สุด ให้ตาย เรือนหลังนี้ใหญ่ยิ่งนัก พอๆ กับจวนตระกูลเหอทั้งจวนเลย ลานบ้านแห่งนี้ดีงามโอ่โถงยิ่งนัก เทียบกับมันแล้ว เรือนที่พวกนางอยู่ที่อวิ๋นโจวกลายเป็นกรงสุนัขไปเลย ที่แท้แล้วก่อนหน้านี้ท่านแม่ก็มีชีวิตเช่นนี้นี่เอง ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าท่านแม่แต่งงานกับท่านพ่อแล้วเหตุใดถึงมีชีวิตที่ขมขื่นนัก

 

 

คนที่ประหลาดใจเหมือนเหอหลินหลินยังมีเสี่ยวจวี๋ นางเป็นบ่าวที่เสิ่นหย่าซื้อมาในภายหลัง สถานที่ที่โอ่โถงที่สุดที่เคยเห็นก็คือจวนตระกูลเหอ ตั้งแต่เมื่อครู่ที่เข้ามาใจวนโหวนางก็มึนศีรษะงุนงง ตอนนี้เข้ามาในเรือนเหลียนอีแม้แต่เดินยังเดินไม่ถูกแล้ว สวรรค์ นี่คือที่อยู่ของเทพหรือไม่ หลังจากนี้นางจะอยู่กับคุณหนูและคุณหนูน้อยด้วยกันที่นี่ได้จริงๆ หรือ นี่ไม่ใช่ฝันใช่หรือไม่

 

 

อวิ๋นหรงกับแม่นมก็มีสีหน้าดีใจทั้งใบหน้า ทอดมองหญ้าทุกใบต้นไม้ทุกต้นในลานบ้านอย่างไม่รู้จักพอ ไม่คิดจริงๆ ว่าชีวิตนี้จะได้กลับมาที่นี่อีก น่าเสียดายคนที่เคยออกเรือนพร้อมคุณหนูตอนนี้เหลือเพียงแค่พวกนางสองคน คนที่เหลือไม่ตายก็ถูกขายออกไปไกลแล้ว

 

 

“ถูกต้อง นี่คือเรือนที่แม่อาศัยอยู่เมื่อก่อน หลังจากนี้หลินเจี่ยเอ๋อร์ก็อยู่กับแม่ด้วยกันที่นี่ หลินเจี่ยเอ๋อร์ชอบหรือไม่” เสิ่นหย่ามองลูกสาวด้วยความรัก

 

 

เหอหลินหลินพยักหน้าด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข “ชอบ ชอบ ท่านแม่ ลูกชอบยิ่งนัก” อาศัยอยู่ในเรือนที่งดงามเช่นนี้ อีกทั้งยังไม่มีใครมาก่นด่ารังแกพวกนาง ซ้ำยังได้เรียนร่วมกับพี่น้องในจวน ไม่มีชีวิตที่ดีไปมากกว่านี้อีกแล้ว

 

 

เห็นรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าลูกสาว หัวใจของเสิ่นหย่าก็เต็มไปด้วยความอ่อนโยน นางลูบศีรษะของลูกสาว กล่าวเสียงนุ่ม “หลังจากนี้เจ้าก็อยู่ในห้องฝั่งตะวันออก รีบไปดูสิว่าชอบหรือไม่ หากไม่ชอบเจ้าก็เปลี่ยนได้ตามใจ เจ้าอยากเปลี่ยนเป็นแบบนี้ก็ได้ทั้งสิ้น”

 

 

“จริงหรือ ดียิ่งนัก” ดวงตาของเหอหลินหลินก็ยิ่งเป็นประกาย นางยกขาวิ่งไปยังห้องฝั่งตะวันออกแล้ว เร็วจนเย่ว์กุ้ยตะโกนดังอยู่ข้างหลัง “คุณหนูญาติผู้น้องช้าหน่อย ช้าหน่อยเจ้าคะ”

 

 

เสิ่นหย่าเองก็หลุดหัวเราะ “เด็กคนนี้นี่” แต่กลับไม่ได้พูดต่อ ตอนที่อยู่ในจวนตระกูลเหอก่อนหน้านี้หลินเจี่ยเอ๋อร์มีเวลาร่าเริงเช่นนี้น้อยอย่างยิ่ง แม้แต่ยิ้มยังไม่ค่อยยิ้ม ตอนนี้ในที่สุดนางก็เผยนิสัยธรรมชาติของเด็กผู้หญิงออกมาแล้ว นางจะใจแข็งว่ากล่าวได้อย่างไร

 

 

เย่ว์กุ้ยไม่ได้กลับเรือนเฟิงหวา เสิ่นเวยให้นางอยู่ที่นี่เพื่อช่วยเหลือก่อน รอบ่าวรับใช้ประจำกายท่านอาและลูกผู้น้องจัดการงานได้เองแล้วค่อยกลับมา

 

 

ตกบ่ายฮูหยินสวี่ก็ส่งสาวใช้ใหญ่สี่คนและสาวใช้ชั้นรองแปดคนมาให้ สำหรับสาวใช้และหญิงชราใช้แรงงานชั้นสาม ก่อนหน้านี้ก็เข้ามาในเรือนเหลียนอีเรียบร้อยแล้ว

 

 

ที่ส่งมาพร้อมกับสาวใช้ยังมีสัญญาทาสของพวกนาง “น้องลองใช้ก่อน คนที่ดื้อรั้นความคิดไม่ตรงกันเหล่านั้นก็ค่อยเปลี่ยน” ฮูหยินสวี่พูดเช่นนี้

 

 

เสิ่นหย่าย่อมปฏิเสธร้อยแปดพันเก้า ปฏิเสธไม่ได้ก็ฝืนใจรับไว้ อันที่จริงนางคิดจะออกเงินไปซื้อข้างนอกเอง นางเป็นกูไหน่ไนที่หย่ากลับมา ไม่อาจเอาเปรียบตระกูลฝั่งมารดาได้ พี่ชายทั้งหลายไม่สนใจ แต่เหล่าพี่สะใภ้จะไม่พูดได้หรือ

 

 

จากมุมมองของเสิ่นเวยเรื่องนี้เป็นการคิดมากไปแล้ว จวนจงอู่โหวมีทรัพย์สินมหาศาล ใครจะคิดเล็กคิดน้อยกับสาวใช้ไม่กี่คน หากต้องให้กูไหน่ไนออกเงินซื้อคนเองจริงๆ เช่นนั้นจวนโหวก็ไม่มีเกียรติแล้ว

 

 

สุดท้ายสาวใช้ใหญ่สี่คนที่ส่งมาเสิ่นหย่าเก็บไว้เพียงคนเดียว อีกสามคนที่เหลือยกให้ลูกสาวทั้งหมด ข้างกายนางยังมีอวิ๋นหรงกับแม่นมอยู่ ไม่จำเป็นต้องการคนมากเพียงนั้นจริงๆ สาวใช้ชั้นรองแปดคนแม่ลูกแบ่งกันคนละสี่คน นอกจากนี้เสิ่นหย่ายังขอแม่นมหนึ่งคนจากพี่สะใภ้ใหญ่มาไว้ข้างกายลูกสาว ลูกสาวอายุสิบสามปีแล้ว ควรจะเรียนกฎมารยาทบ้างแล้ว

 

 

สาวใช้ใหญ่ประจำกายเสิ่นหย่าผู้นั้นเปลี่ยนชื่อเป็นชุนเฟิน อีกสามคนประจำกายเหอหลินหลินก็ตั้งชื่อตามว่าชุนฟัง ชุนอิงและชุนหลวน ส่วนแปดคนชั้นรองทั้งหมดล้วนขึ้นต้นด้วยอักษรชิว ชิวเฟิง ชิวอวี่ ชิวอวิ๋น ชิวซย่า ชิวฮวา ชิวกั่ว ชิวสือและชิวเยี่ย

 

 

เสิ่นเวยเปลี่ยนชุดและไปยังห้องหนังสือของปู่นางที่เรือนนอกทันที รายงานเรื่องที่อวิ๋นโจวก่อน “หลานคิดว่าต่อให้คนแซ่เหอผู้นั้นจะน่ารังเกียจแต่เขาก็ยังเป็นพ่อแท้ๆ ของลูกผู้น้อง ท่านอาตัดความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยากับเขาได้ แต่สายสัมพันธ์ทางสายเลือดของพ่อลูกกลับตัดไม่ขาด หากพวกเราออกมือเอาชีวิตเขา ข้างนอกก็จะบอกว่าครอบครัวของเราไร้เมตตา และชื่อเสียงของลูกผู้น้องก็จะมีอุปสรรค หากลูกผู้น้องเป็นแค่เด็กอายุสามขวบห้าขวบเช่นนั้นก็ไม่เป็นไร กว่าลูกผู้น้องจะถึงวัยปักปิ่นทุกคนก็ลืมเรื่องนี้ไปหมดแล้ว แต่ตอนนี้ลูกผู้น้องอายุสิบสามปีแล้ว อย่างมากที่สุดอีกสองสามปีก็ควรจะแต่งงานได้แล้ว เก็บชื่อเสียงดีๆ ไว้จะดีกว่า ดังนั้นหลานจึงตัดสินใจเองว่าจะเนรเทศคนแซ่เหอออกไปยังเหลียวตง คนแซ่เหอฝ่าฝืนกฎต้ายงเอง อีกทั้งใต้เท้าข้าหลวงยังไต่สวนคดีด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ไม่เกี่ยวข้องกับจวนจงอู่โหวของพวกเราแม้แต่นิดเดียว ส่วนเขาจะไปถึงเหลียวตงได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ จะใช้ชีวิตอยู่ในเหลียวตงได้หรือไม่ นั่นก็ไม่เกี่ยวกับพวกเราแล้ว”

 

 

นายท่านผู้เฒ่าโหวพยักหน้า ดวงตาปรากฏประกายความชื่นชม “อืม เวยเจี่ยเอ๋อร์เจ้าทำถูกยิ่งนัก ต่อให้ปู่ไปเองก็ยังทำไม่ได้เท่านี้”

 

 

เสิ่นเวยกล่าวต่อ “คนอื่นๆ ในตระกูลเหอ หลานก็ไม่ได้เอาชีวิตเขา เพียงแค่ลงโทษเล็กๆ น้อยๆ ก็เท่านั้นเอง ตระกูลเหอใช้สินเดิมของท่านอาแล้วยังปฏิบัติไม่ดีต่อท่านอา เช่นนั้นก็ไล่พวกเขากลับไปอยู่จุดเดิมก็พอ คนบางคนก็ต่ำช้า ท่านทำดีกับเขา เขากลับเหยียบจมูกขึ้นหน้าคิดว่าถูกต้องแล้ว ต้องให้ท่านหยิบแส้โบยภายหลังจึงจะได้ พวกเรารอดูสิว่าคนตระกูลเหอที่หล่นจากเมฆลงมาสู่โคลนไม่มีการสนับสนุนจากสินเดิมของท่านอาแล้วจะใช้ชีวิตอยู่อย่างไร”

 

 

แม้เสิ่นเวยจะกล่าวอย่างเรียบเฉย แต่นายท่านผู้เฒ่าโหวก็ได้ฟังการรายงานของพ่อบ้านรองก่อนหน้านี้แล้ว เขาคิดถึงแผนการจากสิ่งหนึ่งไปสู่อีกสิ่งหนึ่งนั้น อุบายที่พลิกมือเป็นเมฆคว่ำมือเป็นฝนนั้นของหลานสาว ในใจก็เกิดความรู้สึกร้อยแปดพันเก้า หากเชียนเกอเอ๋อร์มีฝีมืออย่างหลานสี่บ้างเขายังจะต้องกลุ้มใจอะไรอีก แม้แต่ตำแหน่งราชครูของรัชทายาทอะไรนั่นเขาก็จะปฏิเสธ พาทหารคนสนิทสองคนออกไปเยี่ยมสหายท่องดินแดนแล้ว

 

 

ทว่าตอนนี้กลับไม่ได้ เชียนเกอเอ๋อร์ยังไม่มีรากฐานมั่นคงในซีเจียง เขายังต้องอยู่ในราชสำนัก อยู่ข้างพระองค์จักรพรรดิเพื่อชิงเกียรติจวนโหวแทนชนรุ่งหลัง ความปรารถนาที่อยากจะท่องดินแดนไม่รู้เหมือนกันว่าชีวิตนี้จะยังเป็นจริงได้หรือไม่ เฮ้อ

 

 

นายท่านผู้เฒ่าโหวรู้สึกสลดใจขึ้นมา กล่าวถามอย่างคล้ายนึกอะไรขึ้นได้ “ไม่ใช่ว่ากันว่าพวกเจ้าเจอเรื่องระหว่างทางหรือ เกิดอะไรขึ้น พ่อบ้านรองเองก็ไม่ได้บอกชัดเจน หายตัวอะไร ลอบสังหารอะไร ทำให้เขาเป็นกังวลขึ้นมา

 

 

“อ้อ ท่านหมายถึงเรื่องนั้นน่ะหรือ” เสิ่นเวยกล่าวอย่างเฉยเมย “ขากลับพวกข้ากลับทางน้ำใช่หรือไม่ ท่านอาเมาเรือ ตอนที่ผ่านเมืองทงโจวหลานก็พานางขึ้นฝั่งเพื่อผ่อนคลาย ถือโอกาสกินข้าวเดินเล่นพักหนึ่งคืน ใครจะรู้มีคนไม่ดูตาม้าตาเรือเห็นใบหน้าที่งดงามของหลานท่าน อยากขายหลานท่านให้ที่นั่น อืม ที่ที่ผู้ชายชื่นชอบไม้ป่าเดียวกันชอบไปเรียกว่าอะไร อ้อใช่แล้ว เรียกหอนายโลม วางแผนกับคนที่ไม่ทันระวังตัว ซ้ำยังอยู่ในอาณาเขตของคนอื่น หลานก็เลยถูกลักพาตัว” เสิ่นเวยแบมือทั้งสอง ท่าทางไร้เดียงสาอย่างยิ่ง

 

 

นายท่านผู้เฒ่าโหวกระตุกมุมปาก เด็กคนนี้ปราดเปรียวยิ่งกว่าลิง จะถูกคนลักพาตัวได้ง่ายๆ หรือ คงจะแกล้งสลบวางแผนว่าไม่เข้าถ้ำเสือใยจะได้เสือสิท่า ไม่พูดไม่ได้ว่านายท่านผู้เฒ่าโหวคิดถูกแล้ว ส่วนหอนายโลมอะไรนั่น นายท่านผู้เฒ่าโหวเพียงแค่ทำเป็นไม่ได้ยิน

 

 

จากนั้นก็ได้ยินเสิ่นเวยกล่าวต่อ “คิดว่าข้าเป็นใครกัน อย่างไรเสียก็เคยขลุกอยู่ในสนามรบมาแล้วครั้งหนึ่ง พวกเราไหนเลยจะเสียเปรียบได้ ด้วยเหตุนี้หลานจึงเผารังที่ซ่อนคนของผู้นั้น ปล่อยคนที่ถูกลักพาตัวทั้งหมดออกมา จากนั้นข้าก็กลับโรงเตี๊ยมอย่างมีความสุข” เสิ่นเวยเล่าสั้นๆ แต่กลับไม่ต่างจากเรื่องจริงนัก

 

 

“หลังจากนั้นเล่า ไม่ใช่บอกว่ามีมือสังหารมาหรือ” นายท่าผู้เฒ่าโหวถามต่อ

 

 

“หลานกลับไปถึงโรงเตี๊ยมก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง ผู้มีอำนาจยังสู้คนในท้องถิ่นไม่ได้ เขาเป็นผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น เสียหายมากเพียงนี้จะยอมเลิกราได้ที่ไหนกัน เพื่อความปลอดภัย ข้าเลยให้คนเอาเทียบเชิญของท่านไปขอความช่วยเหลือจากใต้เท้าข้าหลวงท้องที่ ข้าหลวงอวี๋ผู้นั้นยังนับว่าไม่เลว ให้ยืมกำลังพลหนึ่งกลุ่มอย่างง่ายดาย คืนนั้นก็มีมือสังหารมาจริงๆ วิทยายุทธ์คนผู้นั้นสูงอย่างยิ่ง ท่านปู่ท่านไม่เห็น หากไม่ใช่ว่าหลานท่านยุทธ์ดี ท่านคงจะไม่ได้เห็นข้าแล้ว” เสิ่นเวยกล่าวเกินจริงพอควร

 

 

“เรื่องนี้หากจบลงเช่นนี้ก็คงไม่เป็นไร แต่ท่านไม่รู้ คนที่ปองร้ายหลานผู้นั้นน่ารำคาญยิ่งนัก เขาลากข้าหลวงอวี๋มาเป็นผู้ไกล่เกลี่ย ต่อหน้าก็ขอโทษขอโพยมอบของขวัญให้ข้า แต่ท่าทางกลับหยิ่งผยองสิ้นดี ซ้ำยังใช้คำพูดเบียดเบียนข้า โมโหจนข้าทนแล้วทนอีกจึงไม่ถีบเขาลงแม่น้ำ พอขึ้นเรือ ข้ายิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นผู้ทรงอำนาจท้องถิ่น แม้แต่ขุนนางยังไม่ใช่ คาดไม่ถึงว่ากล้ามาวัดกับคุณชายจวนโหว นี่ไม่ใช่ว่ารนหาที่ตายหรอกหรือ หากหลานไม่ใช่วิธีโหดเ**้ยมขู่ขวัญเสียหน่อย คนอื่นก็จะมองว่าพวกเราจวนจงอู่โหวรังแกง่าย” พูดถึงตรงนี้เสิ่นเวยก็ตั้งใจหยุดครู่หนึ่ง กะพริบตาปริบๆ มองปู่นาง เห็นปู่นางสีหน้าสงบนิ่ง ก็ทำได้เพียงแสยะปากพูดต่อไป

 

 

“เพราะเหตุนี้หลานจึงพาคนนั่งเรือเล็กขึ้นฝั่ง ขี่ม้ากลับไปที่เมืองทงโจวอีกครั้ง ปล้นคลังลับหนึ่งแห่งของคนชั่วผู้นั้นจนเกลี้ยงก่อน จากนั้นก็ต่อยขาทั้งสองของคนผู้นั้นจนพิการ”

 

 

“เงินเล่า” นายท่านผู้เฒ่าโหวถาม เขาจำไม่ได้ว่าหลานนำเงินกลับจวน คงไม่ได้ซ่อนเอาในซอกมุมเช่นนั้นอีกหรอกนะ

 

 

เสิ่นเวยเลิกคิ้ว “แจกจ่ายออกไป หลานให้ทหารลับไปแจกจ่ายเงินทองแก่ชาวบ้านยากจนตอนกลางคืน นี่เป็นเงินสกปรก คนที่มีคุณธรรมสูงส่งเช่นหลานจะเก็บไว้ได้อย่างไร” นางกล่าวอย่างห้าวหาญเด็ดเดี่ยว

 

 

นายท่านผู้เฒ่าโหวไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี หากหลานคนนี้ของเขาไปใช้ชีวิตอยู่ในราชสำนัก เช่นนั้นก็คงจะต้องเป็นขุนนางสพลอขุนนางคุมอำนาจ เรื่องอย่างการกลับผิดเป็นถูกจะต้องทำออกมาได้แน่ๆ ไหนจะเงินสกปรก ไหนจะคุณธรรมสูงส่ง เงินของรังโจรนั้นไม่ว่าใครก็แย่งได้ไม่เร็วเท่านาง

 

 

“ไม่ได้ทิ้งร่องรอยอะไรไว้ใช่หรือไม่” ขอเพียงแค่หลานสาวไม่เสียหาย นายท่านผู้เฒ่าโหวก็ขี้เกียจจะสนว่าใครจะขาพิการ

 

 

เสิ่นเวยส่ายหน้า กล่าวอย่างไม่สนใจ “ไม่มี ท่านปู่วางใจเถอะ แม้ว่าจะเป็นผู้ทรงอำนาจในท้องถิ่น ต่อให้จะรู้ว่าเป็นข้าก็ไม่มีหลักฐานอยู่ดี เขากล้าวิ่งมากัดข้าถึงเมืองหลวงหรือ หึๆ ยิ่งไปว่านั้นตอนนี้เขายังดูแลตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ การทะเลาะภายในยังตามไม่ทันไหนเลยจะมีเวลาว่างมาหาเรื่องข้า”

 

 

“เช่นนั้นก็ดี” นายท่านผู้เฒ่าโหววางใจลง “ในเมื่อกลับมาแล้ว ก็พักผ่อนดีๆ เถอะ รอคุณชายใหญ่สวีกลับมา อีกไม่ช้าเจ้าก็แต่งงานแล้ว เจ้าก็ถือโอกาสตั้งสมาธิ อย่างไรเสียก็เป็นสตรี อย่าเอาแต่วิ่งเล่นข้างนอกทั้งวัน คุณชายใหญ่สวีไม่อยู่ในเมืองหลวง เจ้าอย่าออกไปดึงดูดสายตาใคร หากดังไปถึงหูฝ่าบาท อย่างไรเสียก็ไม่ดีนัก” นายท่านผู้เฒ่าโหวชี้แนะด้วยความจริงใจ

 

 

เสิ่นเวยตาลุกวาว ร่างโน้มไปข้างหน้า “ท่านปู่ สรุปแล้วคุณชายใหญ่สวีไปทำอะไรกันแน่”

 

 

นายท่านผู้เฒ่าโหวชายตามองหลานสาวเขาปราดหนึ่ง ส่ายหน้า แต่กลับไม่พูดเลยแม้แต่ประโยคเดียว

 

 

เสิ่นเวยลูบลูบจมูกแสยะปาก นี่หมายความว่าพูดไม่ได้หรือไม่รู้ เอาเถอะ ลึกลับใช้ได้ ชิ อยากทำอะไรก็ทำ ข้าไม่อยากรู้หรอกนะ เสิ่นเวยเชิดหน้าออกมาด้วยความทะนงตน