กลิ่นแปลกประหลาดนี้ผสมด้วยกลิ่นหอมฉุนๆ ที่ทำให้ผู้คนรู้สึกเมามาย

หานลี่พลันพลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง กล่องไม้สีม่วงที่ไป๋กั่วเอ๋อร์นำมาปรากฏขึ้นในมือ

ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบฝากล่องเปิดออกทันที เผยให้เห็นแก่นปีศาจสีดำเขียวสองสามเม็ด

“มีพิษของแก่นปีศาจแมงมุมดำบึงยะเยือกก็น่าจะฝึกฝนร่างผสมพิษขั้นสุดท้ายได้ หากใช้อิทธิฤทธิ์นี้พร้อมกับเคล็ดวิชาตื่นจากจำศีลแปลงกายสิบสองครั้ง เกรงว่ากายเนื้อคงแข็งแกร่งเทียบเท่ากับร่างวัชระ เทียบกับร่างวิญญาณเที่ยงแท้ในตำนาน” หานลี่มีสีหน้าตื่นเต้นดีใจฉาบแวบผ่าน แล้วเอ่ยพึมพำออกมา

สะบัดข้อมือแก่นปีศาจสองสามเม็ดในกล่องไม้ทยอยกันสั่นเทาแล้วกระโดดออกมาเสียง “ฟึบๆ” ดังขึ้นร่อนลงสู่หม้อยักษ์

ชั่วครู่แก่นปีศาจเหล่านี้ก็หลอมละลายจนมีขนาดเล็กอยู่ภายในหม้อใบยักษ์ สุดท้ายก็กลายเป็นของเหลวลึกลับส่วนหนึ่ง

มือหนึ่งร่ายอาคมอีกครั้ง เปลวเพลิงสีเงินด้านล่างพุ่งสูงขึ้นสองสามเท่าแทบจะห่อหุ้มหม้อใบยักษ์เอาไว้ข้างใน

ชั่วขณะนั้น ของเหลวด้านในพลันหมุนวนเร็วขึ้น

หานลี่มองหม้อใบยักษ์ตรงหน้าสีหน้าฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ แต่แววตากลับเปล่งประกาย ยังคงมองด้วยความกังวลที่อยู่ในใจ

วิธีการใช้พิษประหลาดร้อยชนิดมาปรุงให้เป็นของเหลวในหม้อใบยักษ์ตรงหน้านี้คือวิธีที่เขาได้มาจากวิธีฝึกตนที่แนบมากับระฆังฉีเทียนในงานแลกเปลี่ยนแดนทมิฬ

เพราะหากหานลี่อยากฝึกฝนเคล็ดวิชาจิตสัมผัสขั้นที่สอง มีเพียงต้องเพิ่มความแข็งแกร่งของกายเนื้อของตนเอง แน่นอนว่าจึงหาทุกวิธีที่ทำให้ร่างกายของเขาแข็งแกร่ง

ระฆังฉีเทียนนั้นเป็นเพียงของไร้ค่า แต่วิธีการฝึกตนที่แนบมาด้วยกลับไม่ธรรมดา

จุดนี้พอมองออกจากร่างผู้ฝึกตนที่เคาะระฆังสีดำในวันนั้น นี่เป็นหนึ่งในสาเหตุที่เขาแลกกับระฆังฉีเทียนในงานแลกเปลี่ยน

เคล็ดวิชาฝึกตนของชนต่างเผ่านี้เขายังไม่ทันได้ศึกษาให้ละเอียดภายในช่วงเวลาของงานหมื่นสมบัติ แต่ต่อมาที่ผจญภัยอยู่ในเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจก็ได้ศึกษาอย่างทะลุปรุโปร่ง

ผลคือทำให้เขาทั้งตกตะลึงระคนดีใจ!

เคล็ดวิชาฝึกตนของชนต่างเผ่ามีชื่อเรียกว่า ‘ร่างผสมพิษ’ คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเคล็ดวิชาลับที่อยู่เหนือความคาดหมายของเขา

เคล็ดวิชานี้มีทั้งหมดเจ็ดขั้น ทุกขั้นที่ฝึกฝนล้วนต้องมีกายเนื้อที่แข็งแกร่ง

หากฝึกฝนครบทั้งเจ็ดขั้น ก็เพียงพอจะทำให้ร่างของเผ่ามนุษย์ธรรมดาๆ มีอานุภาพแข็งแกร่งเท่ากับปีศาจผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูง เป็นร่างที่พิษไม่อาจรุกรานได้แล้ว

ทว่าปัญหาเดียวก็คือเคล็ดวิชาฝึกตนชุดนี้เหนือกว่าเคล็ดวิชาการฝึกฝนธรรมดา คาดไม่ถึงว่าจะต้องทำให้กายเนื้อแช่อยู่ในของเหลวพิษ ถึงจะฝึกฝนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

และพิษที่ใช้ฝึกฝนก็ต้องเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามระดับที่ฝึกฝน

นอกจากนั้นวิธีการฝึกฝนที่อาศัยพลังจากภายนอกเป็นสิ่งที่อันตรายเป็นอย่างยิ่ง! จากในคาถาผู้บำเพ็ญเพียรที่ฝึกฝนแปดในสิบคน หากไม่ถูกพิษกำเริบจนตายระหว่างฝึกฝน กายเนื้อก็ไม่อาจรับการแตกสลายได้

นี่เป็นเพราะชนต่างเผ่าที่สร้างอาคมนี้มีกายเนื้อที่แข็งแกร่งกว่าเผ่ามนุษย์มาก

หากเผ่ามนุษย์ธรรมดาๆ ฝึกฝนเคล็ดวิชานี้อัตราในการมีชีวิตรอดย่อมต่ำเตี้ยเรี่ยดิน

วันนั้นแม้ว่าผู้ฝึกตนที่เคาะระฆังฉีเทียนจะมีพรสวรรค์เหนือชั้น แต่ก็ฝึกฝนได้แค่สองขั้นแรกเท่านั้น ไม่กล้าฝึกฝนต่อ

แต่สำหรับหานลี่แล้วกลับไม่ใช่ปัญหา

จากสมุนไพรวิญญาณและผลวิญญาณต่างๆ ที่เขาเคยใช้ประกอบกับกายเนื้อที่แข็งแกร่งจากการฝึกฝนเคล็ดวิชาพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์มารเที่ยงแท้จนต้านทานกับพิษได้ก็อยู่เหนือกว่าที่เผ่ามนุษย์ทั่วๆ ไปจะเทียบเทียมตั้งนานแล้ว

แม้ว่าร่างผสมพิษจะเป็นเรื่องที่เสียสติแต่สำหรับเขาก็ไม่น่าจะเป็นอันตรายมากนัก

และยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ได้ใช้ของเหลวผลึกจันทราที่แลกมาจากไฉ่หลิวอิงตั้งนานแล้ว

เขาจะเอาของเหลวชนิดนี้ทาทั่วเรือนร่างทุกๆ ช่วงระยะเวลาหนึ่ง แล้วใช้เคล็ดวิชาลับดูดซับพิษจากของเหลววิญญาณจนหมดทำให้กายเนื้อมั่นคงมากยิ่งขึ้น เช่นนี้การกำเริบที่อาจจะเกิดขึ้นได้ระหว่างเขาฝึกฝนร่างผสมพิษก็จะยิ่งต่ำลงจนแทบไม่มี

สองสามปีที่ผ่านมาหานลี่ยังดื่มสุราเซียนตาข่ายสีแดงจอกเล็กๆ จอกหนึ่งทุกๆ สองสามวัน และพบผลลัพธ์ด้วยความตกตะลึงระคนดีใจว่า สุราชนิดนี้มีประสิทธิภาพในการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของร่างกายที่มหัศจรรย์

ทว่าการเปลี่ยนแปลงกลับไม่เหมือนกับร่างผสมพิษและของเหลวผลึกจันทรา ประสิทธิภาพของสุราวิญญาณชนิดนี้น้อยนิดมากและยิ่งไปกว่านั้นมันก็ค่อยๆ เปลี่ยนคุณสมบัติในการฝึกฝนอย่างช้าๆ หากไม่ดื่มเป็นเวลานานความเปลี่ยนแปลงนี้ก็แทบจะสัมผัสไม่ได้

แต่หากดื่มต่อไปประโยชน์ที่มากมายย่อมเผยออกมาได้ง่ายขึ้น

เช่นนี้หานลี่จึงมั่นใจว่าจะบรรลุระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายได้มากยิ่งขึ้น

พอเขาท่องเที่ยวหาประสบการณ์จากทั้งสองเผ่าเสร็จ แล้วกลับมาที่ถ้ำพำนักแล้วก็เริ่มค้นหาพิษชนิดต่างๆ ทันที

ร่างผสมพิษขั้นแรกๆ ยังพอว่า พิษธรรมดาย่อมมีผล แต่รอจนถึงสามขั้นสุดท้ายกลับต้องเป็นพิษที่หาได้ยากในเผ่ามนุษย์

นี่จึงทำให้เขาจำใจต้องไปยืมพลังของฉินซู่เอ๋อร์ของเผ่าปีศาจ

ทำให้เขาต้องเสียเวลาไปเกือบร้อยปีในการฝึกฝนร่างผสมพิษจนมาถึงขั้นที่หกและยามนี้ก็รวบรวมพิษที่ต้องการของขั้นที่เจ็ดครบแล้ว

โดยเฉพาะแก่นปีศาจของแมงมุมดำบึงยะเยือกแม้ว่าจะหาได้ยากยิ่งในเผ่าปีศาจ ฉินซู่เอ๋อร์ค้นหามายี่สิบสามสิบปีจึงจะหาพบตามจำนวนที่ต้องการไม่นาน

แน่นอนว่าสองสามปีนี้หานลี่ก็ฝึกฝนเคล็ดวิชาพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์มารเที่ยงแท้และพลังปราณไม่หยุดเช่นกัน

หลังจากผ่านการทดสอบก็พบว่าพลังลึกลับของของเหลวสีเขียวยังคงมีผลกับหญ้ากร่อนพิษและหลังจากที่กระตุ้นการเจริญเติบโตของเมล็ดสมุนไพรที่นำกลับมาจากแดนกว้างเย็นได้สำเร็จเขาก็ปรุงยาลูกกลอนพัฒนาพลังยุทธ์ระดับผสานอินทรีย์ได้สองสามชนิดได้สำเร็จ

ยาลูกกลอนเหล่านี้ไม่ว่าวิธีการปรุงหรือวัตถุดิบส่วนเสริม หานลี่ล้วนต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจถึงจะรวบรวมให้ครบได้

ส่วนในบรรดายาลูกกลอนสองสามชนิดนี้ไม่ว่าชนิดใดหากนำออกมาภายนอกก็ต้องทำให้ตัวประหลาดเฒ่าระดับผสานอินทรีย์แย่งชิงกัน

ถึงอย่างไรเสียยาลูกกลอนที่สามารถเพิ่มพลังยุทธ์ของระดับผสานอินทรีย์ก็เป็นสิ่งที่หายากในเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจและยิ่งไปกว่านั้นกำลังการผลิตยังต่ำต้อยเสียจนนับนิ้วได้

หากตัวประหลาดเฒ่าระดับผสานอินทรีย์เหล่านั้นได้ไปย่อมมีประโยชน์ในการทะลวงจุดคอขวด โดยปกติแล้วจึงไม่อาจเอามากินในยามฝึกฝนได้

แต่สำหรับหานลี่ที่มีของเหลวลึกลับสีเขียว ยาลูกกลอนเหล่านี้กลับกินได้ทุกๆ สองสามวัน วิธีการที่ฟุ่มเฟือยเช่นนี้เพียงพอที่จะทำให้ตัวประหลาดเฒ่าระดับผสานอินทรีย์คนอื่นๆ รู้สึกอิจฉาจนกระอักเลือด

ทว่าเช่นนี้ความเร็วที่ทำให้พลังปราณของเขาเพิ่มขึ้นก็แทบจะเร็วกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ระดับธรรมดาๆ เจ็ดแปดเท่า

ดังนั้นแม้ว่าจะฝึกฝนเป็นระยะเวลาสั้นๆ เพียงสองร้อยปีพลังยุทธ์กลับเพิ่มขึ้นหลายเท่า

ขอแค่หานลี่ฝึกฝนร่างผสมพิษขั้นสุดท้ายสำเร็จ แล้วฝึกฝนอย่างหนักอีกร้อยปีก็น่าจะเริ่มทะลวงจุดคอขวดขั้นต้นได้แล้ว

เขามั่นใจว่าหากมียาลูกกลอนและกายเนื้อที่แข็งแกร่งประกอบกับจิตสัมผัสช่วยเสริมย่อมต้องทะลวงจุดคอขวดที่ยากจะข้ามผ่านสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ธรรมดาๆ ได้อย่างง่ายดาย

หานลี่ขบคิดอย่างรวดเร็วหลังจากที่ครุ่นคิดอีกครั้งก็หน้าเปลี่ยนสีเปล่งแสงสีเขียวออกมาร่างทั้งร่างที่นั่งขัดสมาธิอยู่ลอยขึ้นอย่างช้าๆ และย้ายไปอยู่เหนือหม้อใบยักษ์อย่างเงียบเชียบ

ลำแสงสีเขียวเจิดจ้า จากนั้นอาภรณ์สองสามชิ้นพลันบินออกมา

หานลี่ร่อนลงไปในหม้อใบยักษ์

ของเหลวห้าสีปกคลุมเรือนร่างของเขาทันทีเผยออกมาเพียงศีรษะที่อยู่ด้านนอก

เปลวเพลิงสีเงินด้านนอกหม้อเปล่งเสียงไพเราะเสนาะหูออกมา ท่ามกลางเปลวเพลิงที่พลิ้วไหว คาดไม่ถึงว่าจะมีวิหคเพลิงสีเงินขนาดสองสามฉื่อปรากฏขึ้นรางๆ สองสามตัว พลางบินวนล้อมรอบหม้อไปมาและพ่นเปลวเพลิงสีเงินออกมาไม่หยุด

ชั่วพริบตานั้น ในหม้อก็ร้อนระอุหมอกพิษห้าสีหมุนวนแล้วทะลักออกมาจากด้านในอย่างรวดเร็วแผ่ไปทั่วทั้งห้อง

เช่นนี้ย่อมมองไม่เห็นเงาร่างของหานลี่อีกจึงทำได้เพียงได้ยินเสียงกระดูกแตกหักดังแว่วออกมาจากในหมอกพิษเป็นบางครั้งคราว

……

เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า แดนที่หานลี่กักตนบำเพ็ญเพียรที่ถูกปิดผนึกแล้วไม่เคยถูกเปิดขึ้นอีก

นอกจากไป๋กั่วเอ๋อร์และลูกศิษย์ทั้งสามคนที่มาที่นี่เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ของเขตอาคมเป็นครั้งคราวแล้ว เวลาส่วนใหญ่ย่อมเงียบสงัดราวกับเป็นสถานที่ที่ตายไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น

สองสามปีต่อมาชี่หลิงจื่อก็ผนึกร่างทารกวิญญาณสำเร็จกลายเป็นผู้พิทักษ์ระดับสูงของเมืองเทวะสวรรค์

หลังจากฝึกฝนอย่างหนักมาเป็นระยะเวลายี่สิบสามสิบปีในที่สุดไป๋กั่วเอ๋อร์ก็ฝึกฝนจนมาอยู่ระดับจิตวิญญาณสีทองขั้นปลาย

ทว่าเพื่อให้การผนึกทารกวิญญาณในวันข้างหน้าราบรื่นหญิงสาวผู้นี้จึงมาอยู่ด้านหน้าม่านหมอกกักตนของหานลี่เพียงลำพังหลังจากที่อธิษฐานด้วยเสียงแผ่วเบาแล้วก็ออกไปจากถ้ำพำนักเริ่มออกไปหาประสบการณ์ในเผ่ามนุษย์เพียงลำพัง

ส่วนไห่ต้าเซ่าเองก็ฝึกฝนจนมาอยู่ในระดับหลอมรวมขั้นกลาง และหลังจากที่ไป๋กั่วเอ๋อร์ออกไปจากถ้ำพำนักก็กลายเป็นศิษย์ที่มักจะมาที่แดนต้องห้ามนี้บ่อยที่สุด

เช่นนั้นเวลาสองปีเต็มจึงผ่านพ้นไป วันนี้ไห่ต้าเซ่ากำลังควบคุมสำเภาไม้โปร่งใสลำหนึ่งพุ่งมาอยู่ห่างจากถ้ำพำนักของหานลี่ไม่ถึงยี่สิบสามสิบจั้ง

ฉับพลันนั้นเขาพลันหน้าเปลี่ยนสีคาดไม่ถึงว่าจะใช้มือหนึ่งร่ายอาคมลำแสงหลีกหนีหม่นแสงศาสตรายุทธ์ใต้ฝ่าเท้าหยุดชะงักกลางอากาศ จากนั้นก็มองไปยังจุดที่ไกลออกไปด้วยใบหน้าฉงน

เห็นเพียงท้องฟ้าที่อยู่ไกลออกไปมีพายุหมุนห้าสีปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็สุดจะรู้ได้!

พายุหมุนนี้มีความสูงประมาณพันจั้งราวกับเสาค้ำฟ้าก็ไม่ปราณ บริเวณรอบมีประจุไฟฟ้าสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนเปล่งแสงสว่างวาบไม่หยุดและส่งเสียงอึกทึกดังมาอย่างต่อเนื่อง

และตรงจุดที่พายุหมุนปรากฏขึ้นก็เป็นจุดที่ถ้ำพำนักของท่านอาจารย์ตั้งอยู่

“หรือว่าท่านอาจารย์เขา…”

ไห่ต้าเซ่าสัมผัสได้ถึงพลังปราณฟ้าดินที่รุนแรงใบหน้าจึงบัดเดี๋ยวสดใสบัดเดี๋ยวเคร่งขรึม สุดท้ายก็เผยสีหน้าตกตะลึงระคนดีใจออกมาขณะเอ่ยพึมพำ

ปรากฏการณ์บนท้องฟ้าที่อยู่ไกลออกไปดำรงอยู่เกือบครึ่งวันถึงได้สลายหายไปท้องฟ้ากลับมาเป็นดังเดิม

ไห่ต้าเซ่าเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็ตบเท้าไปบนศาสตราอาคมอย่างไม่ลังเลอีก ชั่วขณะนั้นสำเภาไม้ก็กลายเป็นสายรุ้งสีฟ้าพุ่งไป

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ก็มาอยู่เหนือยอดเขาของถ้ำพำนักของหานลี่และหม่นแสงลงและก็ร่อนลงอย่างรวดเร็ว

“ท่านอาจารย์! ท่านออกจากการกักตนแล้ว ปรากฏการณ์บนท้องฟ้าเมื่อครู่ก็เป็นสิ่งที่ท่านอาจารย์ดึงดูดมาสินะ เช่นนั้นศิษย์ก็ขอแสดงความยินดีกับท่านอาจารย์ที่พลังยุทธ์เพิ่มขึ้นด้วย!!” ไห่ต้าเซ่าเพิ่งจะเดินเข้าไปในห้องโถงของถ้ำพำนักก็เห็นบุรุษและสตรีสองคนนั่งอยู่จึงคารวะบุรุษด้วยความดีใจและรีบเอ่ยทักทาย

บุรุษผู้นั้นย่อมเป็นหานลี่ที่เพิ่งจะออกจากการกักตน สตรีที่อยู่ด้านข้างก็คือหงส์น้ำแข็งที่ฝึกฝนอยู่ในถ้ำพำนักอยู่เป็นเวลาหลายปีเช่นกัน

“ที่แท้ก็เย่ว์เทียนปรากฏการณ์บนท้องฟ้าเมื่อครู่เป็นเพราะข้าบรรลุระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลาง นี่เป็นเพราะท่านอาจารย์อาน้ำแข็งของเจ้าลงมือกระตุ้นเขตอาคมของถ้ำพำนักกดพลังปราณฟ้าดินกว่าครึ่งเอาไว้ มิเช่นนั้นเกรงว่าคงดึงดูดความสนใจจากคนอื่นๆ” หานลี่เห็นศิษย์ตรงหน้าก็เอ่ยพร้อมหัวเราะน้อยๆ ออกมา