ตอนที่ 8 ที่รัก มาลงชามของข้าให้ไว (2) โดย Ink Stone_Fantasy
แน่นอนว่าสิ่งที่เรียกว่าการพัฒนานั้นเพิ่งจะมีขึ้นเมื่อไม่กี่ปีมานี้ หนำซ้ำพื้นที่ที่พวกเขาพยายามจะพัฒนาก็น้อยนิดมาก ตอนนี้มันถูกจำกัดอยู่เพียงภูเขาฝั่งตะวันตกเท่านั้น และเป็นเพียงการระบุลักษณะทางภูมิศาสตร์ของที่นี่ลงในแผนที่ ดังนั้นจึงยังไม่มีการพัฒนาที่เป็นจริงเป็นจังอะไรนัก… ทว่าเพียงแค่ทำแผนที่ของภูเขาตะวันตกเพียงอย่างเดียวก็อาจเรียกได้ว่า ‘ขุดเจอขุมทรัพย์มหาศาล’ แล้วก็เป็นได้
ตัวอย่างเช่น กระแสน้ำทมิฬ พอกระแสน้ำทมิฬพัดขึ้นมา โลกก็จะเปลี่ยนไป ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดภายใต้กระแสน้ำนั้นจะมีชีวิตรอดได้ ทว่าภายใต้กระแสน้ำทมิฬนั้น ไม่ได้มีเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น วิญญาณของสิ่งมีชีวิตที่ตายไปยังอยู่ที่นั่น เช่น ราชาซากศพปรลัยและวิญญาณอื่นๆ ที่สร้างความวุ่นวายอยู่ในกระแสน้ำทมิฬนั้น
วิญญาณปรลัยเหล่านี้แตกต่างจากวิญญาณที่อยู่ในอาณาจักรเก้าแคว้นหรือแม้แต่วิญญาณในทวีปฝั่งตะวันตก ในร่างของพวกมันมีพลังงานแห่งปฐมกลียุคซึ่งคล้ายคลึงกับแท่นบูชาปฐมกลียุคของหวังลู่อยู่ และหากวิญญาณพวกนั้นถูกผู้บำเพ็ญเซียนฆ่า ผู้บำเพ็ญเซียนจะได้รับพลังปฐมกลียุคจากร่างของวิญญาณเหล่านั้น แต่เพราะตัวตนที่วุ่นวายไร้ระเบียบ สิ่งที่ได้รับจะไม่ตายตัวทั้งยังไม่คงที่ ตัวอย่างเช่น พวกเขาอาจจะได้วัตถุวิญญาณที่พิเศษไม่เหมือนใครหรือ สิ่งไม่คาดคิดหายากอื่นๆ… อย่างน้อยจูซือเหยาก็สามารถบรรลุแก่นของกระบี่ได้ทันทีที่สังหารราชาซากศพปรลัยเพียงแค่ตัวเดียว
เขาสันนิษฐานเอาว่าที่อาจารย์ส่งเขามายังแดนปรลัยนี้น่าจะเป็นเพราะพลังปฐมกลียุคเหล่านี้ เขาไม่รู้ว่าพลังนี้กับวิชาไร้ลักษณ์เกี่ยวข้องกันหรือไม่เพราะผู้เป็นอาจารย์ไม่ได้บอกไว้ หนำซ้ำยังไม่อาจเดาสุ่มเอาเองได้ ทว่าเรื่องนี้ไม่เป็นปัญหาสำหรับเขา เพราะไม่ช้าก็เร็วเขาย่อมได้รู้แน่
ดังนั้นสามร้อยวันจึงผ่านไปรวดเร็วราวกะพริบตา
เป็นเรื่องยากลำบากเหลือแสนที่จะเอาชีวิตรอดในแดนปรลัย แม้แต่ในภูเขาฝั่งตะวันตกที่ได้รับการพัฒนาบ้างแล้วจากสำนักกระบี่วิญญาณ สัตว์ประหลาดที่อยู่ที่นี่แข็งแกร่งเกินกว่าจะขับไล่ออกไป ดังนั้นจึงยังมีสัตว์ประหลาดจำนวนไม่น้อยเดินเร่ร่อนอยู่ในสถานที่แห่งนี้ หนำซ้ำพวกมันยังแข็งแกร่งกว่าเหล่าปีศาจในยอดเขาเมฆาครามหลายเท่านัก แม้หวังลู่เองจะแข็งแกร่งขึ้นกว่าเมื่อครั้งที่เขาไปสั่งสมประสบการณ์ที่เขาเมฆาครามสิบเท่าร้อยเท่า ดังนั้นในแดนปรลัยแห่งนี้ หลายครั้งที่หวังลู่ต้องยึดกฎการเอาตัวรอด คือทำตัวเงียบๆ และซ่อนตัวให้มิดชิดเข้าไว้
เมื่อถึงเวลาที่กระแสน้ำทมิฬพัดมา เมื่อนั้นก็คือฝันร้าย ไม่ต้องพูดถึงวิญญาณปรลัยนับไม่ถ้วนที่อยู่ในกระแสน้ำทมิฬ แม้แต่ตัวกระแสน้ำทมิฬเองก็มีพิษร้ายแรงจนสามารถคร่าชีวิตผู้บำเพ็ญเซียนได้ในพริบตา แม้จะมีวิชาไร้ลักษณ์ กระดูกไร้ลักษณ์และร่างกายกำยำแข็งแรงเทียบเท่ากับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐาน แต่เมื่อยามที่กระแสน้ำทมิฬพัดขึ้นมา หวังลู่ก็ยังรู้สึกหายใจไม่ออกและเวียนศีรษะยิ่งนัก
หากต้องการมีชีวิตรอดจากกระแสน้ำทมิฬ ก็ต้องซ่อนตัวอยู่ตามพื้นดินภายในภูเขา หรือก้นทะเลสาบและก้นแม่น้ำ ถึงกระนั้นสถานที่เหล่านี้ก็ใช่ว่าจะปลอดภัยอย่างสมบูรณ์ เพราะนอกจากสถานที่เหล่านั้นจะมี ‘ผู้ครอบครอง’ ดั้งเดิมอยู่แล้ว กระแสน้ำทมิฬเองก็สามารถแทรกซึมเข้าไปตามร่องหินได้ ความจริงตอนที่เขาเผชิญกับกระแสน้ำทมิฬเป็นครั้งแรกหลังจากที่มาถึงแดนปรลัย หวังลู่ก็ถูกเหล่าวิญญาณปรลัยกักตัวอยู่ในถ้ำ
หากเป็นผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่น หรือแม้แต่หลิวหลีเอง การถูกกักอยู่ในถ้ำก็เหมือนต้องเผชิญกับทางตัน อย่างไรเสียแม้ว่ากระบี่กระจ่างใจของนางจะทรงพลังเพียงใด แต่นางจะเอาผ้าห่มออกมาคลุมตัวให้พ้นจากกระแสน้ำทมิฬหรืออย่างไร และนอกจากจะไม่สามารถสลัดพ้นการโอบล้อมของกระแสน้ำทมิฬได้แล้ว นางยังไม่อาจยืดหยัดต่อสู้ได้ทั้งวันทั้งคืนอีกด้วย ทว่าวิชาไร้ลักษณ์ทำให้หวังลู่มีโอกาสเล็กน้อยในการรอด เขาใช้กระบี่เขาคุนปิดปากถ้ำด้วยเพลงกระบี่ตั้งรับกระบี่สามฉื่อ เหมือนชายที่ปิดช่องแคบเพื่อให้ให้ชายอีกนับหมื่นคนผ่านเข้าไปได้
เพลงกระบี่ไร้ลักษณ์ของเขาไม่อาจทำอันตรายศัตรูได้ แต่ไม่ว่าพวกมันจะทรงพลังเพียงใด ก็ไม่อาจทำอะไรเขาได้เช่นกัน ตอนแรกมีภูตปีเน่าเหม็นสูงไม่เกินเข่าหลายสิบตัวพยายามเจาะทะลุเข้ามา จากนั้นก็มีโครงกระดูกสีขาวซีดหลายโครงพยายามทะลวงเข้ามา ต่อมาก็เป็นลูกไฟ ผีดิบ… พวกมันทั้งหมดไม่อาจผ่านปากถ้ำเข้ามาได้เพียงแม้คืบเดียว แล้วหากซึมผ่านก้อนหินเข้ามาเล่า ดินแดนแห่งนี้ปนเปื้อนกระแสน้ำทมิฬมานับพันๆ ปี หินของที่นี่จึงแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก… หลังจากนั้นเหล่าวิญญาณที่เกิดจากกระแสน้ำทมิฬก็ค่อยๆ รวมตัวกันจนดูคล้ายภูเขาซากศพและทะเลเลือด ทว่าพอเห็นดังนั้น หวังลู่ก็เอาแต่ยิ้มย่องและใช้เพลงกระบี่ไร้ลักษณ์ปกป้องปากทางเข้าต่อไป พละกำลังของเขาดูไม่หมดไม่สิ้น มากยิ่งกว่าวิญญาณไม่เหน็ดเหนื่อยเหล่านี้เสียอีก บางครั้งพวกมันก็ทำให้เขาได้แผล ทว่าแผลก็แทบจะหายสนิทในทันที โดยที่ไม่รู้สึกเจ็บปวดแม้แต่น้อย
จนกระทั่งสุดท้ายแล้วมีปีศาจขนาดเท่าเนินเขาปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า ทันทีที่ได้เห็นมัน หวังลู่ก็เหยียดยิ้มอยู่ในใจพลางคิดว่าปีศาจตัวใหญ่เบ้อเริ่มจะเข้ามาในถ้ำๆ แห่งนี้ได้อย่างไร ขณะเดียวกันเขาก็ตั้งสมาธิจดจ่อที่มัน เตรียมพร้อมรอรับการโจมตีที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ทันใดนั้นแขนซ้ายของเขาก็หายไป
กลายเป็นว่าเจ้าปีศาจขนาดเท่าเนินเขานั้นเป็นเพียงตัวล่อ ผู้ร้ายตัวจริงค่อยๆ ซึมผ่านรอยแยกของหินมาในร่างของวิญญาณหมอกโปร่งใส วิญญาณหมอกสามารถทำตัวโปร่งใสจนแทบมองไม่เห็น และภายในกระบวนท่าเดียวมันก็ตัดแขนซ้ายของหวังลู่ออก หวังลู่ไม่ผงะแม้แต่น้อย เขาตวัดแขนขวาโปรยยันต์อัสนีบาตนับร้อยชิ้นออกมาซึ่งช่วยขับไช่วิญญาณหมอกไปได้ในทันที
ในขณะเดียวกัน ปีศาจขนาดเท่าเนินเขาก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ทว่าหลังจากก้าวเข้ามาอีกก้าวหนึ่ง มันก็ลังเล และเลือกที่จะล่าถอยไป
เหล่าภูเขาซากศพและทะเลเลือดต่างก็ล่าถอยไปพร้อมกันในทันทีไม่ต่างจากกระแสน้ำ ไม่กี่นาทีต่อมาพวกมันก็หายหน้าไปกันหมด หลังจากนั้นไม่นาน แสงอาทิตย์ก็สาดส่องลงมากระแสน้ำทมิฬล่าถอยไป… หวังลู่สามารถเอาชีวิตรอดมาได้อีกหนึ่งวันแล้ว
ต่อมาหวังลู่ก็พบหยกเรืองแสงสองสามก้อนจาก ‘ซาก’ ของปีศาจหมอกที่อยู่ภายในถ้ำ เหตุใดปีศาจหมอกไร้รูปร่างจึงทิ้งหยกที่เรืองแสงแจ่มชัดขนาดนี้ไว้ได้หลังจากที่ตายไป นี่อาจจะเป็นความลับของพลังปฐมกลียุคก็เป็นได้ หลังจากมีหยกเรืองแสง หวังลู่ก็สามารถผ่านเหตุการณ์กระแสน้ำทมิฬไปได้อีกหลายครั้ง ภายหลังเมื่อมีประสบการณ์เพิ่มมากขึ้น เขาก็พบสถานที่ดีๆ ที่เหล่าปีศาจไม่อาจแทรกซึมมาตามช่องว่างของก้อนหินได้ง่ายๆ อีกหลายที่ เขายังได้พบหยกเรืองแสงอีกเป็นจำนวนมากในภูเขาฝั่งตะวันตก ทำให้กระแสน้ำทมิฬไม่อาจทำอันตรายเขาได้อีก อย่างไรก็ตาม หลายครั้งภายใต้ม่านแห่งรัตติกาล เขาจะแอบย่องออกไปจากถ้ำและใช้วิธีต่างๆ ฆ่าปีศาจสักสองสามตัวเพื่อเอาวัตถุวิเศษกลับมา
หลังจากผ่านการเอาตัวรอดมาสามร้อยกว่าวัน ความแข็งแกร่งของหวังลู่ก็บรรลุถึงช่วงปลาย หนึ่งปีก่อนหน้านี้ เขาเพิ่งทะลวงสู่ขั้นฝึกปราณระดับห้า แต่มาตอนนี้เขาบรรลุถึงขั้นต่อไปได้แล้ว หนำซ้ำที่น่าพอใจยิ่งกว่าคือ เขายังมีช่องว่างให้พัฒนาอีกมาก ส่วนด้านกระดูกกระบี่ไร้ลักษณ์ จิตเซียนไร้ลักษณ์ และวิชาอื่นๆ ไม่ต้องบอกก็รู้ได้ว่าพวกมันส่งเสริมกันได้อย่างดีเยี่ยม
ส่วนแขนซ้ายที่หายไปนั้น หวังลู่ไม่ใส่แม้แต่น้อย
อย่างไรเสีย แขนอีกข้างก็เพียงพอให้เขาทำในสิ่งที่จำเป็นต้องทำได้อยู่แล้ว… หนำซ้ำ การเสียงแขนไปหนึ่งข้างแลกกับการเอาตัวรอดจากกระแสน้ำทมิฬครั้งแรก ซึ่งเป็นจุดที่ยากที่สุดในการท่องเที่ยวเอาตัวรอดครั้งนี้ ถือว่าเป็นการสังเวยที่ราคาถูกมาก เพราะเมื่อเขากลับไปยังสำนัก เขาสามารถขอให้ผู้อาวุโสช่วยปลูกแขนกลับคืนมาได้ แม้แต่ตอนนี้ ด้วยระดับของกระดูกกระบี่ไร้ลักษณ์ที่เขามีอยู่ การจะปลูกแขนด้วยตัวเองก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร เพียงแค่ว่าพลังอิทธิฤทธิ์ที่ต้องใช้ในการปลูกแขนนั้นมากเสียจนเขาจะต้องอ่อนแรงไปอีกสิบวัน และในแดนปรลัยแห่งนี้ สิบวันของการอ่อนแอก็เท่ากับความตาย
ภายใต้แรงกดดันของกระแสน้ำทมิฬ หยกเรืองแสงก็ค่อยๆ อ่อนกำลังลง ทว่ากระแสน้ำทมิฬที่อยู่ภายนอกก็ใกล้จะสิ้นสุดลงแล้วเช่นกัน อย่างมากที่สุดก็อาจกินเวลาอีกหกเค่อ หวังลู่ขี้เกียจเกินจะหยิบหยกเรืองแสงก้อนใหม่ออกมา เขาจึงคว้ากระบี่ขึ้นมาเตรียมจะปิดปากทางเข้าถ้ำ
ทว่าทันทีที่เขาฉวยกระบี่ได้ บางอย่างที่มีขนาดเล็กจิ๋วก็พุ่งพรวดเข้ามาในถ้ำ มันรวดเร็วปานสายฟ้าแตกต่างจากวิญญาณที่อยู่ในกระแสน้ำทมิฬเหล่านั้น ขนาดหวังลู่เองก็ไม่ทันได้ตั้งรับ
ทว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะไม่ทันคาดคิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น เมื่อมีไฟจากหยกเรืองแสง วิญญาณหน้าไหนก็ไม่กล้าเข้าใกล้ ยกเว้นราชาซากศพปรลัยที่กล้าโจมตีซึ่งๆ หน้า ทว่าราชาซากศพปรลัยหรือเหล่าวิญญาณระดับสูงนั้นไม่เคยมากล้ำกรายในสถานที่ที่หวังลู่เลือกแล้วเป็นอย่างดี… เช่นนั้นแล้ว เจ้าสิ่งเล็กๆ ที่ไม่เกรงกลัวแสงจากหยกเรืองแสงนั้นคืออะไรกันแน่เล่า
เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ เขาก็ต้องประหลาดใจไม่น้อย เจ้าสิ่งเล็กๆ ที่ว่านี้แท้จริงคือสุนัขพันธุ์ทางขนด่างหลากสีตัวจ้อย ระยำแท้ มีสุนัขอยู่ในแดนปรลัยจริงๆ หรือนี่!
สิ่งที่ดูแปลกตาส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นปีศาจ ดังนั้นหวังลู่จึงวางกระบี่ลงอย่างไม่ลังเล จากนั้นก็หยิบหม้อใบเล็กออกมาจากย่ามสีเหลืองหม่น ตามด้วยชามกระเบื้อง กระบวย ตะเกียบคู่หนึ่ง และเครื่องปรุงรส เขาวางหม้อเหล็กไว้บนหยกเรืองแสง จากนั้นก็หยิบชามกระเบื้องขึ้นมาและพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน “มามะเจ้าเพื่อนยาก มาลงชามของข้าเสียดีๆ”
………………………………………………