หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 856 ไล่ล่าพันลี้
ฮึ่ม**! ฮึ่ม!**
ชั้นบรรยากาศกระเพื่อมไหว ขณะที่ขนนกสีดำนับไม่ถ้วนฉีกผ่านมิติจากทุกทิศทาง โดยที่อีกด้านหนึ่งมีร่างร่างหนึ่งยืนอยู่บนท้องฟ้าราวกับจระเข้ดุร้ายกำจายรัศมีเชี่ยวกรากรุนแรงออกมา
ร่างนี้ก็คือเจ้าภูเขาเอ่อ…สูป้า เขามองไปที่การโจมตีที่โหมกระหน่ำเข้ามาด้วยสายตาน่ากลัว ไม่มีอาการหวาดกลัวใดบนใบหน้า แม้ว่ามู่เฉินจะสามารถกลั่นวิญญาณสงครามของรัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์ออกมาได้ แต่พลังนั่นก็มีจำกัด ด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่ของมู่เฉิน แม้จะมีแรงสนับสนุนของรัศมีจั้นยี่ แต่ก็คงเทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกเท่านั้น พลังระดับนี้ ยังไม่ง่ายที่จะเอาชนะเขาได้หรอก
“คัมภีร์เทียนเอ่อ ปากกลืนฟ้า!”
สายตาสูป้าไร้ความปรานีขณะกระทืบเท้าลงบนพื้น ทันใดนั้นคลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็กวาดออก ก่อรูปเป็นปากจระเข้ขนาดใหญ่ ปากนี้มีสีดำสนิทมองดูราวกับสามารถเขมือบทุกสรรพสิ่งได้ เมื่อมันเปิดออกแรงดูดทรงพลังก็พวยพุ่งออกมา จากนั้นก็สูบขนนกสีดำเข้าไปทั้งหมด
ปัง! ปัง!
เกิดชุดระเบิดดังออกมาจากปากจระเข้ คลื่นหลิงที่น่าสะพรึงและรุนแรงส่งผลกระทบให้ปากใหญ่บิดเบี้ยวจนระเบิดในท้ายที่สุด
คลื่นหลิงป่าเถื่อนแผ่ออก ร่างของสูป้าก็กระตุก ก่อนที่จะสลายพลังกระแทกนั้น สายตาจ้องไปที่มู่เฉินอย่างมืดครึ้มพลางเค้นเสียงเย็น “ไอ้หนู อย่าทำเก่งเพราะแค่เจ้ามีวิญญาณสงครามวิหคโลกันตร์ ยังไงรัศมีจั้นยี่ก็เป็นพลังงานภายนอก มันไม่สามารถช่วยให้เจ้าเหนือกว่าทุกคนในใต้หล้านี้หรอก”
“เป็นไปไม่ได้ที่จะเหนือกว่าทุกคนในใต้หล้านี้ แต่นี่ก็มากพอที่จะจัดการเจ้าแล้ว” มู่เฉินเค้นเสียงเย็น หากอยู่ในการต่อสู้ปกติ เขาแทบไม่มีโอกาสที่จะชนะถ้าปะทะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกอย่างสูป้า แต่ด้วยแรงสนับสนุนของรัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์ เขาก็ไม่ต้องกลัวอีกฝ่ายในตอนนี้
“ไอ้ยโส!”
สูป้าหัวเราะเสียงหลอนด้วยความโกรธสุดขีด ก่อนที่ร่างจะกลายเป็นลำแสงทะยานออกไป เขากำมือแน่น ในเวลาเดียวกันดาบสีแดงก็ปรากฏในมือ มีอักขระสีแดงเถือกอยู่บนใบมีดพร้อมกับรัศมีลางร้ายเชี่ยวกรากกวาดออกมา เห็นได้ชัดว่านี่เป็นอาวุธร้ายที่น่าสะพรึงอย่างยิ่ง
วาบ!
สูป้าทำท่าเฉือนลงมาจากด้านบน มิติเบื้องหน้าแตกออก ดาบแสงสีแดงสดที่ยาวหลายร้อยฉื่อกวาดออกพุ่งฟันใส่หน่วยรบวิหคโลกันตร์
กระบวนท่านี้ของสูป้าเผยพลังของจอมยุทธ์ระดับจื้อจุนขั้นหกให้เป็นที่ประจักษ์ พลังการโจมตีเป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าระยะปลายสุดอย่างฟังยี่ก็ไม่สามารถเผชิญหน้าได้
สายตาของมู่เฉินเย็นเยือกลงขณะมองไปที่การโจมตีจากสูป้า เขาไม่มีอาการตื่นตระหนก ตราประทับในมือเปลี่ยนแปลงเร็วรี่ บัญชารัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตให้กวาดออกมา ก่อตัวเป็นคลื่นพลังปะทะกับดาบแสงจังใหญ่
ปัง!
คลื่นกระแทกที่น่าตกใจพัดออกมา ขณะที่รัศมีจั้นยี่และดาบแสงพังทลายลงอย่างรวดเร็ว
การปะทะกันระหว่างทั้งสองถือว่าอยู่ในระดับเดียวกัน
ใบหน้าของสูป้ามืดครึ้มแต่ก็ไม่ได้หยุดโจมตี ร่างของเขาทะยานออกพร้อมกับดาบแสงนับไม่ถ้วนอัดแน่นเต็มท้องฟ้า ก่อนที่จะล้อมกรอบมู่เฉินและหน่วยรบวิหคโลกันตร์ราวกับห่าฝน
แต่เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีของสูป้า มู่เฉินก็ไม่กลัว เขาควบคุมรัศมีจั้นยี่วิหคโลกันตร์ไร้ขอบเขตเข้าห้ำหั่น การปะทะที่น่าสะพรึงระเบิดระหว่างสองจอมยุทธ์พร้อมกับลอนคลื่นมิติไร้ที่สิ้นสุดกั้นกลาง ช่างเป็นฉากที่ตระการตานัก
ทว่าก็ไม่มีใครได้เปรียบระหว่างการปะทะกันและไม่มีใครสามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้เช่นกัน ทำให้การแลกกระบวนท่านี้เกิดสถานการณ์ตึงเกร็ง
แต่การตึงเกร็งนี้ทำให้ผู้ชมต่างพากันแอบเดาะลิ้น มู่เฉินสมควรกับคำว่าม้ามืด ด้วยขุมพลังที่มีก่อนหน้าเขาก็บีบฟังยี่จนบาดเจ็บไปด้วยกัน และตอนนี้ก็ยืมพลังหน่วยรบวิหคโลกันตร์เผชิญหน้ากับผู้เชี่ยวชาญศึกอย่างสูป้า ความสำเร็จดังกล่าวเพียงพอที่จะทำให้ทุกคนอึ้งทึ่งเลยทีเดียว
หลังจากสงครามล่าครั้งนี้ หากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ยังยืนหยัดอยู่ได้ มู่เฉินก็จะก้าวข้ามฟังยี่ขึ้นบัลลังก์จอมยุทธ์รุ่นใหม่แห่งภูมิภาคทางเหนือ
ขณะที่มู่เฉินนำหน่วยรบวิหคโลกันตร์เข้าห้ำหั่นกับสูป้าแบบไม่มีใครยอมใคร จิ่วโยวก็ไล่ล่ากองทัพจระเข้สวรรค์ ส่วนเสี่ยยิงก็นำกำลังพุ่งเข้าโจมตีอย่างกระชั้นชิด
ในกองทัพจระเข้สวรรค์ถึงจะมีแนวป้องกันจากแม่ทัพนายกองต่างๆ แต่ก็ไม่สามารถต้านการโจมตีของจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกสองคนและหน่วยรบเหยี่ยวโลหิตได้ เนื่องจากพวกเขาไม่มีใครที่มีความสามารถเหมือนมู่เฉินที่สามารถกลั่นวิญญาณสงครามได้ ดังนั้นทุกครั้งที่เกิดการปะทะกันของคลื่นหลิง ก็จะมีร่างนักรบจากกองทัพจระเข้สวรรค์ร่วงหล่นลงจากท้องฟ้าไม่หยุด เห็นได้ชัดว่าแต่ละคนสิ้นชีพจากผลกระทบของคลื่นหลิง
ในช่วงเวลาไม่กี่นาทีก็มีนักรบจระเข้สวรรค์จำนวนมากบาดเจ็บล้มตาย กระบวนทัพเรรวนในการถอยหนีอย่างเร่งรีบ ไม่เหลือเค้าความยิ่งใหญ่อีกต่อไป
อีกด้านหนึ่งสองกองทัพจากหมู่ตึกเทวะก็โดนสามหน่วยรบจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ไล่ล่าไม่หยุดเช่นกัน ทว่าเนื่องจากมีเจ้าภูเขาเหยียนหลังและเจ้าภูเขาเทียนสงควบคุมกระบวนทัพอยู่ ดังนั้นจึงสามารถต้านไปถอยไปได้…
เมื่อคนมุงจากกองทัพอื่นๆ เห็นฉากจลาจลและกองทัพจากหมู่ตึกเทวะล่าถอย พวกเขาก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ วันนี้หมู่ตึกเทวะเป็นฝ่ายปราชัยแล้ว
สุดท้ายสูป้าที่แลกกระบวนท่ากับมู่เฉินก็ไม่มีทางเลือกนอกจากถอยหนี เนื่องจากเขาพบว่ามู่เฉินไม่ได้ต้องการเปิดศึกมรณะ อีกฝ่ายเพียงต้องการรั้งเขาไว้เพื่อซื้อเวลาให้จิ่วโยวและหน่วยรบเหยี่ยวโลหิตเข้าจัดการกับกองทัพจระเข้สวรรค์
เมื่อปราศจากผู้นำกองทัพจระเข้สวรรค์ก็ไม่สามารถต่อกรกับศัตรูเช่นนี้ได้
“ไอ้หนู เจ้าจำเอาไว้เลย ในอนาคตข้ามาจัดการกับแกแน่!” สูป้าคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว จากนั้นก็ถอยออกจากสมรภูมิต่อสู้กับมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกลับไปที่กองทัพจระเข้สวรรค์และไม่รอช้าอีกต่อไปนำกำลังพลที่เหลือหนีตายด้วยความเร็วเต็มพิกัด
ขณะที่ศัตรูถอยทัพ จิ่วโยวและเสี่ยยิงก็ใช้โอกาสนี้ไล่ตีกองหลัง ทำให้นักรบจระเข้สวรรค์บาดเจ็บกันอีกระนาว
“ไม่คิดว่าเจ้าภูเขาเอ่อจะขี้ขลาดขนาดนี้” มู่เฉินส่งเสียงเยาะในลำคอ น้ำเสียงสะท้อนไปทั่วบริเวณ แต่การเคลื่อนไหวของเขาก็ไม่ได้ช้าลง เขาไล่ล่าศัตรูไปด้วยความเร็วเต็มพิกัดพร้อมกับหน่วยรบวิหคโลกันตร์
ขณะที่เสียงของมู่เฉินสะท้อนก้องไปทั่ว สูป้าก็กระอักเลือดออกจากปากด้วยความคั่งแค้น ดวงตาแดงฉานจ้องมองมู่เฉินราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ แต่เขาไม่ใช่คนโง่และรู้ว่ามู่เฉินกำลังยั่วยุอารมณ์อยู่ ดังนั้นเขาจึงกดความโกรธแค้นและความอัปยศในหัวใจ หลบหนีเต็มกำลังไปกับกองทัพจระเข้สวรรค์
การไล่ล่ากินเวลาไปหนึ่งชั่วโมง ก้าวข้ามเขตแดนไปพันลี้ ระหว่างการหนีตายนักรบจระเข้สวรรค์ก็ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก เรื่องนี้ทำเอาสูป้าเกือบจะเป็นบ้า
ความปั่นป่วนจากการไล่ล่านี้กระตุ้นความสนใจของกองทัพแข่งรวมสงครามมากมาย โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาเห็นว่าผู้ที่ถูกไล่ล่าก็คือกองทัพหมู่ตึกเทวะ ทุกคนอ้าปากตาค้างเลยทีเดียว
ในภูมิภาคทางเหนือหมู่ตึกเทวะเป็นสำนักที่รากฐานหยั่งลึก จำนวนจอมยุทธ์ก็มากมายราวกับเมฆบนท้องฟ้า แต่ใครจะคิดพยัคฆ์ร้ายในสายตาพวกเขาจะตกอยู่ในสภาพน่าสมเพชเช่นนี้
ดังนั้นหลังจากความตกตะลึงผ่านไป ความปั่นป่วนขยายวงราวกับภูเขาไฟระเบิด
“สวรรค์ นั่นเจ้าภูเขาเอ่อจากหมู่ตึกเทวะนี่! ทำไมถึงอยู่ในสภาพน่าสมเพชเช่นนี้?!”
“คนที่ไล่ล่าเขา…ดูเหมือนจะเป็นมู่เฉินจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์?! ข้าเคยเห็นเขาในศึกมังกรหงส์!”
“ม้ามืดมู่เฉินน่ะเหรอ? เป็นไปได้ไง…ตอนประลองศึกมังกรหงส์มู่เฉินยังเอาชนะโยวหมิงไม่ได้เลย…”
“ข้าจำไม่ผิดแน่ ข้างๆ เจ้าภูเขาเอ่อดูเหมือนจะเป็นฟังยี่นะ… จุ๊ๆ กระบวนทัพเช่นนี้ยังแพ้อย่างน่าอนาถ ดูเหมือนจะมีการต่อสู่ที่น่าตื่นใจมาก่อนแน่ ยิ่งกว่านั้นดูจากผลลัพธ์ตอนนี้ อาณาเขตกงเวทสวรรค์เป็นผู้ชนะอีกด้วย!”
“น่าเสียดายที่ข้าไม่ได้เกาะขอบชม…”
“…”
ความสับสนอลหม่านทุกรูปแบบกวนตัว ทำเอาใบหน้าของสูป้าและฟังยี่ถึงกับเขียวคล้ำ ทว่าพวกเขาก็ไม่กล้าหยุดโต้ตอบ แต่ละคนทำได้เพียงแผดเสียงคำรามคั่งแค้นในหัวใจ
การไล่ล่ากินระยะทางพันลี้
ในที่สุดมู่เฉินก็ตัดสินใจถอยทัพไป นั่นเพราะเขารู้ว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไล่ล่าต่อไป พวกเขาไม่มีทางทำลายกองทัพจระเข้สวรรค์ทั้งหมดได้ ยิ่งกว่านั้นหากสูป้าถูกบีบจนตรอกและควบคุมกองทัพเข้าสู้กันตายไปข้าง หน่วยรบวิหคโลกันตร์ก็ต้องจ่ายราคามหาศาล
ยิ่งกว่านั้นหากไปดึงดูดกองทัพอื่นๆ ของหมู่ตึกเทวะให้เข้ามาละก็ จะสร้างปัญหาให้พวกเขาแน่ ดังนั้นเป็นการดีที่สุดที่จะยุติก่อน
ดังนั้นหลังจากไล่ล่ามาพันลี้ มู่เฉินก็ส่งสัญญาณถอย แม้ว่าเสี่ยยิงยังคันไม้คันมืออยากจะสังหารศัตรูต่อ แต่เขาก็ไม่ได้ปฏิบัติกับมู่เฉินเหมือนที่แล้วมา บวกกับสาเหตุที่เขาได้รับความช่วยเหลือจากมู่เฉิน ดังนั้นเขาจึงไม่คิดจะหักหน้าการตัดสินใจของอีกฝ่าย
ทั้งสองหน่วยรบรวมตัวกันก่อนจะเคลื่อนพลกลับ แต่ละคนเปลี่ยนเป็นร่างแสงหายไปที่เส้นขอบฟ้า
สูป้าและฟังยี่ที่หลบหนีไปยังเส้นทางอื่นก็รับรู้ถึงการเคลื่อนพลกลับของพวกมู่เฉิน พวกเขารู้สึกโล่งใจขึ้นมาก ก่อนที่จะนำกองทัพจระเข้สวรรค์ทะยานลงบนภูเขาหนึ่งอย่างระมัดระวัง
ยามนี้นักรบจระเข้สวรรค์หมดทั้งแรงกายแรงใจ กระทั่งแม่ทัพทั้งหลายก็มีใบหน้าคลุกฝุ่น ท่าทางหมดอาลัยตายอยาก ใบหน้าแต่ละคนซีดเซียวเลยทีเดียว
ระหว่างการไล่ล่าพวกเขาสูญเสียนักรบชั้นยอดไปถึงหนึ่งในสาม
เมื่อได้ยินรายงานสถานการณ์ใบหน้าของสูป้าก็บิดเบี้ยว สองตาเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ ขณะจ้องมองไปยังทิศที่มู่เฉินจากไป เขาแผดเสียงคำรามลั่น “มู่เฉิน ล้างคอรอไว้ได้เลย!”
กองทัพจระเข้สวรรค์เป็นสิ่งที่เขาทุ่นเทดูแลมานาน ไม่รู้ว่าเขาใช้เวลาและทรัพยากรไปเท่าใดสำหรับกำลังพลหนึ่งในสามที่สูญเสีย ทว่านักรบเหล่านี้กลับตายด้วยน้ำมือของมู่เฉินในครั้งเดียว
ฟังยี่พูดด้วยเสียงพร่าต่ำ “ท่านสู ไม่ยากสำหรับพวกเราที่จะสังหารมู่เฉิน หลังจากไปรวมตัวกับกองทัพอื่นๆ ของหมู่ตึกเทวะ”
สูป้าตวัดสายตามองฟังยี่อย่างโกรธแค้น ความโกรธอัดแน่นในท้องเตรียมจะระเบิด ทว่าสุดท้ายเขาก็ระงับความโกรธพูดด้วยเสียงเย็นเยือก “ไอ้หนูนั่นมีความสามารถจริงๆ มันสามารถกลั่นวิญญาณสงครามได้ด้วยวัยแค่นี้…”
ขณะที่พูดสูป้าก็หรี่ตาลง ท่าทางเหมือนคิดอะไรบางอย่างได้ ก่อนที่มุมโค้งเย็นชาจะผุดที่ริมฝีปาก
“วิญญาณสงครามรึ?”
“น่าจะบอกแม่นางคนนั้นสักหน่อย… นางให้ความสนใจกับคนที่กลั่นรัศมีจั้นยี่ได้มากเลยทีเดียว…”
สูป้าหัวเราะเสียงเย็น
“มู่เฉินอย่าคิดว่าในหมู่ตึกเทวะไม่มีจั้นเจิ้นซือ วิญญาณสงครามไม่ใช่เจ้าคนเดียวที่ทำได้!”