ตอนที่ 207-2 พระชายาจิ้นอ๋องมีคำเชิญ

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

สวีโย่วคิดว่าเขาเดินเตร่ไปมาเช่นนี้ไม่ได้แล้ว ต้องมีคนไปสืบข่าวจากหลวงจีนเต้ากวง และกุฏิของเจ้าอาวาสจึงจะถูก ให้ใครไปดีเล่า แม้ว่าหลวงจีนในวัดจยาหลานจะเป็นมิตรกับพวกเขาอย่างยิ่ง แต่เขาก็รู้ว่าพวกเขาไม่ได้ลดการเฝ้าติดตามพวกเขามาโดยตลอด ดังนั้นเขากับเจียงเฮยเจียงไป๋จึงลงมือไม่ได้ กระทั่งคนอื่นๆ ที่ขึ้นเขามาพร้อมกับเขาก็ไม่ได้เช่นกัน เช่นนั้นก็ทำได้เพียงหาคนกลางจากข้างนอก สวีโย่วขมวดคิ้ว นิ้วมือเคาะโต๊ะเบาๆ ในสมองคิดอย่างรวดเร็วว่าจะพาคนกลางขึ้นเขาอย่างไร สืบข่าวอย่างไร

 

 

เรือนส่วนในจวนจิ้นอ๋อง พระชายาจิ้นอ๋องปรนนิบัติจิ้นอ๋องถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก ร้อนอกร้อนใจไปพลาง “นี่ก็ผ่านมาหลายเดือนแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าอาการป่วยของโย่วเกอเอ๋อร์ดีขึ้นแล้วหรือยัง ไม่มีแม้แต่ข่าว ข้าร้อนใจจะแย่แล้ว”

 

 

ฝีเท้าของจิ้นอ๋องที่หมุนตัวพลันหยุดชะงัก ทันใดนั้นก็กล่าว “บนเขามีหมอเทวดาเก่าแก่อยู่ หลายปีมานี้โย่วเกอเอ๋อร์ก็ป่วยมาหลายรอบแล้ว ครั้งไหนบ้างที่ไม่ร้ายแรงแต่ไม่มีอันตราย เจ้าวางใจลงเถอะ ไม่เป็นไรหรอก”

 

 

พระชายาจิ้นอ๋องยังคงกระวนกระวาย “ข้าไหนเลยจะวางใจได้ เมื่อคิดภาพว่าโย่วเกอเอ๋อร์ทรมานอยู่บนเขา หัวใจของข้าก็เจ็บราวกับถูกเข็มแทง ท่านอ๋อง ต้องเป็นบนเขาเท่านั้นหรือ พวกเราไม่อาจเชิญหมอเทวดากลับจวนอ๋องหรือ ข้าได้เห็นโย่วเกอเอ๋อร์จิตใจก็จะได้สบายขึ้นหน่อย”

 

 

สบสายตาที่มองมาของหวังเฟย จิ้นอ๋องก็ส่ายหน้า “ยอดฝีมือเหล่านั้นต่างก็มีนิสัยประหลาดดื้อรั้น เจ้าคิดว่าเสด็จพี่ไม่เคยคิดจะเชิญหมอเทวดาลงเขาหรือ จะทำอย่างไรได้ในเมื่อเขาไม่ยินยอม คงไม่อาจฆ่าเขาได้กระมัง เช่นนั้นใครจะรักษาโรคให้โย่วเกอเอ๋อร์เล่า”

 

 

พระชายาจิ้นอ๋องกล่าวในใจ ฆ่าเสียก็ดี ลูกบุญธรรมขี้โรคผู้นั้นควรจะตายไปตั้งนานแล้ว ก่อนหน้านี้ยังดีหน่อย ตั้งแต่ครั้งก่อนที่กลับมาจากเขาก็สร้างความรำคาญให้ตนมาโดยตลอด เริ่มที่สมรสพระราชทานอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ต่อมาก็ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นจวิ้นอ๋องอะไรนั่น เป็นหลานแท้ๆ เหมือนกัน ฝ่าบาทช่างลำเอียง

 

 

อ้อ ยังมี ตนหวังดีเสนอให้เขาแต่งฮุ่ยเอ๋อร์เป็นอนุภรรยา เขาไม่ซาบซึ้งก็ไม่เป็นไร แต่กลับกระแทกกระทั้นบอกว่าตนมีเจตนาไม่ดี เพียงแค่วางคนของตัวเองไว้ข้างกายเขาเพื่อให้วางใจก็เท่านั้น เจ้าคนขี้โรคที่แม้แต่เรื่องร่วมรักยังไม่รู้ว่าทำเป็นหรือไม่ ข้าจะวางแผนร้ายอะไรเจ้าได้ เหอะ ช่างเป็นสุนัขที่แว้งกัดคนให้อาหารจริงๆ ไม่รู้จักความหวังดีของคนอื่น สมน้ำหน้าที่เจ้าป่วย สมน้ำหน้าที่เจ้าทนทรมาน

 

 

ในใจพระชายาจิ้นอ๋องคิดอย่างสบายใจ แต่สีหน้าบนใบหน้ากลับไม่มีพิรุธแม้แต่นิดเดียว “ท่านอ๋อง พวกเราเป็นพ่อแม่ยังกระวนกระวายใจเช่นนี้ คุณหนูสี่จวนจงอู่โหวใช่จะเป็นกังวลยิ่งกว่าหรือไม่ เฮ้อ น่าสงสาร ใกล้จะแต่งเข้าบ้านอยู่แล้ว โย่วเกอเอ๋อร์ดันมาป่วย ฝ่าบาทก็ออกพระราชโองการเลื่อนวันสมรส แม่นางผู้นั้นอายุยังน้อยอาจจะตกใจกลัวก็เป็นได้” สีหน้านางมีความเห็นใจ

 

 

จิ้นอ๋องได้ยินหวังเฟยพูดเช่นนี้ เมื่อคิดตามอย่างละเอียดยังรู้สึกว่าเป็นปัญหาเช่นนี้จริงๆ จึงกล่าว “หากหวังเฟยไม่สบายใจ ก็ถือโอกาสเรียกคุณหนูสี่ผู้นั้นมาปลอบขวัญหวังเฟยสักหน่อย อย่างไรเสียไม่ช้าไม่เร็วก็ต้องเป็นสะใภ้ของตระกูลเราอยู่ดี”

 

 

พระชายาจิ้นอ๋องแอบดีใจในใจ แต่ใบหน้ากลับแสดงสีหน้าลังเล “เช่นนี้จะดีหรือ จะทำให้เกิดการนินทาหรือไม่ จะเป็นการขู่ขวัญคุณหนูผู้นั้นหรือไม่”

 

 

จิ้นอ๋องไม่เห็นด้วย “นี่ไม่ใชเรื่องฝ่าฝืนกฎอะไร เพียงแค่คนที่เป็นแม่สามีพบลูกสะใภ้ล่วงหน้า ใครอยากนินทานก็ปล่อยให้เขานินทาไป ก็แค่ฮูหยินที่พูดไปเรื่อยเปื่อยไม่มีหน้าออกงานสังคมไม่กี่คนเท่านั้นเอง หวังเฟยไม่ต้องไปสนใจ”

 

 

พระชายาจิ้นอ๋องพยักหน้าด้วยความดีใจ “เช่นนั้นข้าก็วางใจแล้ว” ดวงตาลุกวาวกล่าว “ข้าฟังว่าคุณหนูสี่ผู้นี้เป็นคนดี โย่วเกอเอ๋อร์ของพวกเราป่วยวันแรก วันที่สองคุณหนูสี่ผู้นี้ก็ไปสวดมนต์ขอพรให้เขาที่วัดต้าเจวี๋ย ถือศีลกินเจเป็นเดือนกว่าจะกลับมา เฮ้อ ไม่รู้ว่าจะซีดเซียวจนเป็นเช่นไรแล้ว พอคิดดูแล้วข้าก็ปวดใจ”

 

 

“มีเรื่องนี้ด้วยหรือ เช่นนั้นครั้งนี้เสด็จพี่กลับหาภรรยาที่ดีให้โย่วเกอเอ๋อร์ได้จริงๆ” จิ้นอ๋องประหลาดใจหลายส่วน

 

 

ทว่าพระชายาจิ้นอ๋องกลับลอบมองเขาปราดหนึ่ง “ดูจิ้นอ๋องพูดเข้า ฝ่าบาทรักโย่วเกอเอ๋อร์เพียงใด จะหาคนไม่ดีมาให้เขาได้อย่างไร หากไม่ดีจะได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นจวิ้นจู่หรือ อย่าว่าแต่ฝ่าบาทชอบ แม้แต่ข้าเองก็ชอบสตรีที่มีเมตตามีคุณธรรมเช่นนี้เหมือนกัน!”

 

 

พูดถึงตรงนี้ นางก็ชะโงกหน้าออกไปตะโกนกับข้างนอก “หวาเยียน หวาเยียน รีบหา**บเครื่องประดับมาให้ข้า” จากนั้นก็หันกลับมาอธิบายกับท่านอ๋องต่อ “ข้าต้องเลือกของขวัญพบหน้าให้คุณหนูสี่แซ่เสิ่นดีๆ เสียแล้ว อ้อจริงสิ ยังมีเสื้อผ้า ท่านอ๋อง วันนั้นข้าใส่ชุดไหนดี ท่านอ๋องรีบช่วยข้าเลือกเร็ว” นางดึงจิ้นอ๋องท่าทางดีอกดีใจ

 

 

จิ้นอ๋องเห็นหวังเฟยยุ่งอยู่กับการเลือกของขวัญพบหน้าทั้งยังเลือกเครื่องแต่งกายด้วยความเริงร่าเช่นนี้ ก็หลุดหัวเราะอย่างอดไม่ได้ “ดึกเพียงนี้แล้วเจ้ายังจะทำอะไรอีก เจ้าเป็นแม่สามีเพียงแค่นั่งวางมาดก็พอแล้ว นางเป็นชนรุ่นหลังจะมาจับผิดเจ้าได้อย่างไร”

 

 

“ไม่ใช่ว่าข้ารีบร้อนจนลืมไปแล้วหรือ” พระชายาจิ้นอ๋องเหลือบมองจิ้นอ๋องด้วยความออดอ้อนปราดหนึ่ง หันหน้ากลับมาบนใบหน้าก็มีความกังวล “นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเจอคุณหนูสี่แซ่เสิ่น ไม่อาจทำให้คุณหนูรู้สึกว่าข้าเป็นแม่สามีใจร้ายได้กระมัง ไม่รู้เหมือนกันว่าคุณหนูสี่แซ่เสิ่นจะชอบทานอะไรชอบเล่นอะไร”

 

 

จิ้นอ๋องหัวเราะขึ้นมา กล่าวหยอกล้อนาง “เจ้าเป็นแม่สามีมาสองครั้งแล้ว เหตุใดถึงยังไม่เลิกตื่นเต้นอีก ตอนที่สะใภ้ของเยี่ยเอ๋อร์เข้าเรือนก็ไม่เห็นเจ้าเป็นเช่นนี้

 

 

ทว่าพระชายาจิ้นอ๋องกลับกล่าวอย่างมีเหตุผล “จะเหมือนกันได้อย่างไร โย่วเกอเอ๋อร์เป็นบุตรชายคนโตในจวนจิ้นอ๋องของพวกเรา ซ้ำยังได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นจวิ้นอ๋อง มีอนาคตกว่าเยี่ยเอ๋อร์เหยียนเอ๋อร์เสียอีก เขาแต่งงานข้าย่อมต้องเอาจริงเอาจังหน่อย”

 

 

รอยยิ้มบนใบหน้าของจิ้นอ๋องกลับจางลง “พอแล้ว ไม่ต้องหาเรื่องใส่ตัว สงบอารมณ์เสีย” แม้ว่าบุตรคนโตจะได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นจวิ้นอ๋องนานแล้ว แต่เมื่อจิ้นอ๋องได้ยินหวังเฟยพูดว่าบุตรคนโตมีอนาคตกว่าบุตรทั้งสามเสียอีก ในใจเขาก็ไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง เป็นบุตรชายเขาเหมือนกัน สุขภาพก็ยังดีกว่าคนขี้โรคมิใช่หรือ โดยเฉพาะเยี่ยเอ๋อร์บุตรคนรอง อายุสิบสามสิบสี่ก็ตามเขาไปทำงานแล้ว ช่วยเขาไปมากเพียงใด เหตุใดถึงเทียบคนขี้โรคที่ตลอดปีรักษาตัวอยู่บนเขาไม่ได้ ก็แค่ฝ่าบาทลำเอียงเท่านั้นเอง

 

 

ตอนนี้ จิ้นอ๋องไม่พอใจเสด็จพี่ของเขาขึ้นมาแล้ว

 

 

พระชายาจิ้นอ๋องลอบมองสีหน้าบนใบหน้าจิ้นอ๋อง ย่อมโอนอ่อนผ่อนตามอย่างว่าง่าย

 

 

อะไรนะ พระชายาจิ้นอ๋องเชิญนางไปพูดคุยที่จวนหรือ เสิ่นเวยได้ยินคำพูดของท่านป้าสะใภ้ใหญ่นางก็แทบจะพ่นชาในปากออกมา ความคิดแรกในสมองก็คือ พระชายาจิ้นอ๋องจะเล่นลูกไม้อะไร

 

 

ไม่แปลกที่เสิ่นเวยคิดเช่นนี้ อันที่จริงจังหวะที่พระชายาจิ้นอ๋องเลือกก็ไม่ถูกจริงๆ คุณชายใหญ่สวียังรักษาตัวอยู่บนเขา ว่าที่แม่เลี้ยงสามีของเจ้าเรียกนางไปที่จวนทำไม มัดใจด้วยอุบาย เตือนสติ หรือว่าแสดงอำนาจ ชั่วพริบตาเสิ่นเวยก็คิดไปต่างๆ นานา

 

 

ทว่าฮูหยินสวี่กลับกล่าวอย่างดีอกดีใจ “คนที่มาบอกข่าวคือแม่นมซือประจำกายพระชายาจิ้นอ๋อง ฟังจากเจตนาในคำพูดของนาง พระชายาจิ้นอ๋องให้ความสำคัญกับเจ้ามากเป็นพิเศษ คุณชายใหญ่สวีไม่ใช่กลับมาป่วยอีกแล้วหรือ หวังเฟยเป็นห่วงว่าเจ้าจะคิดมาก อยากรับเจ้าเข้าจวนไปพูดคุย ถือโอกาสปิดปากคนเหล่านั้นข้างนอกอีกด้วย”

 

 

เสิ่นเวยตาลุกวาว ลางสังหรณ์บอกว่าไม่เชื่อ แม่เลี้ยงสามีปลอบขวัญว่าที่สะใภ้งั้นหรือ ภาพๆ นี้ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ผิดปกติ หากพระชายาจิ้นอ๋องผู้นี้เป็นคนใจกว้างเมตตาจริงๆ เช่นนั้นสวีโย่วคนโรคจิตผู้นั้นจะมีนิสัยเย็นชาเช่นนั้นหรือ ยิ่งไปกว่านั้นตำแหน่งซื่อจื่อจวนจิ้นอ๋องยังตกอยู่ในมือลูกชายแท้ๆ ของหวังเฟยผู้นี้ แม้ทุกคนต่างก็พูดว่าเพราะร่างกายสวีโย่วไม่ดี เหอะ หลอกใครหรือ เสิ่นเวยไม่เชื่ออย่างยิ่งว่าในนั้นจะไม่มีฝีมือของหวังเฟยผู้นั้น

 

 

ฮูหยินสวี่จับมือของเสิ่นเวยอธิบายต่างๆ นานา “วันกำหนดไว้เป็นวันหลัง อีกทั้งแม่นมซือผู้นั้นยังมารับ ถึงตอนนั้นเจ้าแต่งตัวสวยๆ งามๆ สร้างความประทับให้หวังเฟย อืม ให้แม่นมมั่วไปเป็นเพื่อนเจ้าด้วย นางมาจากในวัง คุ้นเคยกับกฎมารยาทราชนิกุล มีตรงไหนที่ไม่เข้าใจนางจะได้เตือนเจ้าได้” นางสาธยายยืดยาว กลัวว่าเสิ่นเวยทำไม่ดีตรงไหนจะเป็นการยั่วโมโหว่าที่แม่สามี

 

 

เสิ่นเวยพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “อืม อืม ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ หลานทราบแล้ว จะไม่ทำให้จวนโหวของพวกเราเสียหน้าแน่นอน”

 

 

ฮูหยินสวี่ลูบศีรษะของเสิ่นเวย ถอนหายใจเบาๆ หนึ่งคราแล้วกล่าว “เวยเจี่ยเอ๋อร์ ป้ากลับไม่ได้สนใจว่าเจ้าจะทำจวนโหวเสียหน้า เจ้าต้องรู้ไว้ว่า ในภายหน้าเจ้าแต่งเข้าจวนจิ้นอ๋อง พระชายาจิ้นอ๋องก็คือแม่สามีของเจ้า คุณชายใหญ่สวี่ไม่ใช่คนที่นางให้กำเนิด ที่นางปฏิบัติต่อพวกเจ้าเป็นเพียงภายนอก เจ้าต้องเอาใจนาง ชีวิตจึงจะดี เจ้ายังเล็ก ไม่เข้าใจ หากคนที่เป็นแม่สามีมีเจตนาอยากทำร้ายลูกสะใภ้ เจ้าก็จะไม่มีหนทางแม้แต่นิดเดียว อย่างไรเสียนางก็ถือครองกฎในตระกูล”

 

 

คำพูดที่จริงใจเช่นนี้ก็มีเพียงแม่แท้ๆ ที่จะพูดกับบุตรสาวได้ เสิ่นเวยย่อมซาบซึ้ง “ท่านป้าสะใภ้ใหญ่วางใจ หลานจะรับปากอย่างดี”

 

 

ไปจวนจิ้นอ๋องล่วงหน้าก็ดีเหมือนกัน อย่างไรเสียนั่นก็เป็นสถานที่ใช้ชีวิตต่อจากนี้ของนาง พบหน้าพระชายาจิ้นอ๋องผู้นั้นล่วงหน้า จะได้เลี่ยงไม่ให้แต่งเข้าไปแล้วตื่นตระหนกไม่ใช่หรือ

 

 

เหอะๆ คุณชายใหญ่สวี อีกประเดี๋ยวข้าก็จะไปพบแม่เลี้ยงแสนดีผู้นั้นของเจ้าแล้ว เจ้าคิดว่าอย่างไร ให้ข้าถือโอกาสช่วยเจ้าระบายความแค้นดีหรือไม่