กรอบตาของรั่วหลานแดงขึ้น น้ำตาไหลอาบลงมาโดยไร้เสียง ทำให้นางดูน่าสงสารยิ่งนัก กระทั่งซุนเชี่ยนเองก็ยังเกิดความรู้สึกเวทนาขึ้นมา โชคดีที่นางกำลังเผชิญอยู่กับเมิ่งเชี่ยนโยว ผู้ที่ไม่มีทางหลงกลเป็นแน่

 

 

ถอยหลังนั่งลงบนตั่งอย่างช้าๆ ราวกับว่าไม่เห็นสภาพของนาง พูดอย่างเย็นชาเช่นเคยว่า “บอกมา ว่าเจ้ามาบ้านของข้าด้วยวัตถุประสงค์ใด”

 

 

รั่วหลานพยายามเป็นครั้งสุดท้าย จึงทำเพียงร้องไห้อย่างเงียบๆ ไม่พูดอะไรสักคำ

 

 

“ความอดทนของข้ามีขีดจำกัด หากเจ้าไม่ต้องการถูกลงโทษอีกก็รีบพูดออกมา” เสียงของเมิ่งเชี่ยนโยวเรียบเฉย แต่คำขู่นั้นกลับน่ากลัวยิ่งนัก

 

 

ราวกับว่ารั่วหลานนึกถึงการลงโทษเมื่อครู่ได้ จึงได้สั่นสะท้านอย่างไม่รู้ตัว เงยหน้าขึ้น มองนางอย่างน่าสงสาร อ้าปากอยู่หลายทีแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว มองนางด้วยสายตาน่ากลัวราวกับมีดดาบ

 

 

รั่วหลานอดทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ในที่สุดจึงได้เปิดปากพูดออกมาด้วยเสียงที่เบาเสียจนเมิ่งเชี่ยนโยวเกือบจะฟังไม่ถนัด “พวกเขาบอกว่า หลังจากที่ข้าเข้าบ้านมาแล้วให้ข้าหาโอกาสขึ้นเตียงกับท่านชายใหญ่ ให้เรื่องเสียหายของตระกูลเมิ่งโด่งดังไปทั่ว จากนี้ไปจะต้องขายหน้าอับอายผู้คน”

 

 

ปัง เมิ่งเชี่ยนโยวแกว่งเท้าวางบนเตียงอย่างแรงจนเตียงสั่น รั่วหลานตกใจจนร้องออกมา

 

 

ซุนเชี่ยนหูไม่ดีเท่าเมิ่งเชี่ยนโยว ได้ยินคำของรั่วหลานไม่ชัด แต่ว่าเมื่อเห็นสีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว ก็รู้ได้ว่าเรื่องนี้ต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่

 

 

สิ้นเสียงร้องตกใจของรั่วหลาน นางก็คุกเข่าก้มหัวบนเตียง “แม่นาง แม่นางไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด ท่านผู้ว่าการเขตสั่งข้ามาเช่นนี้ อาจารย์สั่งข้ามาเช่นนี้ แต่หลังจากที่ข้าน้อยมาถึงที่นี่แล้ว ก็ได้คิดทบทวนหลายที จึงไม่ได้ทำเช่นนั้น ไม่เช่นนั้นผ่านมาเดือนกว่าแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจึงไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย ขอร้องแม่นางไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด”

 

 

“ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่ทำ แต่ว่าเจ้าไม่มีโอกาสทำมากกว่าไม่ใช่หรือ เนื่องจากหลังจากที่เจ้ามาที่นี่แล้ว พี่ใหญ่ไม่ชายตาแลเจ้าเลยแม้แต่น้อย ซ้อก็ไม่เข้าใกล้เจ้า คนทั้งบ้านไม่มีใครสนใจเจ้า เจ้าจึงไม่มีโอกาสลงมือทำ!”

 

 

รั่วหลานยืดตัวตรง โบกมืออย่างร้อนรน ว่า “มิใช่นะเจ้าคะ ว่าท่านชายเมิ่งจะไม่สนใจข้า แต่ว่านายหญิงก็ดีกับข้ายิ่งนัก กลางวันข้าอยู่ที่เรือนหลักตลอด หากอยากลงมือทำย่อมมีโอกาสเสมอ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเบ้ปาก ยิ้มเยาะออกมา “อ๋อเหรอ อย่างนั้นเจ้าพูดมาสิ เหตุใดจึงไม่ลงมือทำ คิดว่าหากลงมือทำแล้วครอบครัวเราจะไม่ยอมรับเจ้า? หรือเจ้าคิดว่าหากทำลายครอบครัวข้าแล้วตัวเจ้าเองก็จะจบไม่สวย”

 

 

สายตาของรั่วหลานขยับเล็กน้อย ละล่ำละลักอยู่นานถึงได้พูดออกมาว่า “ข้าเป็นเพียงบุตรสาวจากตระกูลยากจน ในตอนนั้นครอบครัวข้าแทบจะไม่มีข้าวกิน จึงได้จำใจขายข้า ประจวบเหมาะกับที่ตระกูลเฉียวถูกชะตาข้า จึงได้ซื้อตัวข้ามาและมอบให้ผู้ว่าการเขต ข้ามิมีอำนาจไปขัดขวางแผนการณ์ที่พวกเขาต้องการทำลายตระกูลเมิ่งได้ ทำได้เพียงให้พวกเขาชักใย แต่ข้าเองรู้จักผิดชอบชั่วดี รู้ว่าเรื่องใดควรทำ เรื่องใดมิควร อย่างเรื่องเลวทรามเช่นการทำลายคนทั้งตระกูลเช่นนี้ข้ามิทำ และอีกอย่าง ตั้งแต่ข้าเข้ามาที่นี่ ท่านชายใหญ่ก็ดีกับข้ามาก ของกิน ของใช้ก็มีให้ข้าพร้อม”

 

 

“เจ้ารู้จักผิดชอบชั่วดี?” เมิ่งเชี่ยนโยวถามกลับ “เกรงว่าความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเจ้าคงถูกสุนัขกินไปหมดแล้วตั้งแต่คืนที่เจ้าใส่ร้ายพี่ชายข้า มิเช่นนั้นเจ้าอยู่ที่นี่มาตั้งนานเหตุใดจึงไม่เคยพูดความจริงออกมา เห็นอยู่กับตาว่าพี่ใหญ่และซ้ออิดโรยเพียงใด พ่อแม่ข้าหน้าตาคร่ำเครียดเพียงใด แต่เจ้ากลับไม่คิดจะทำอะไรเลย”

 

 

รั่วหลานอธิบายด้วยเสียงร้อนรน “ชีวิตของครอบครัวข้าอยู่ในกำมือของพวกเขานะเจ้าคะ หากไม่ทำตามคำขอของพวกเขา พวกเขาก็จะทำร้ายครอบครัวข้า ข้าจำใจต้องใส่ร้ายท่านชาย แต่เรื่องท่านชายใหญ่นั้นข้าทำไม่ลงจริงๆ แม้ว่าพวกเขาจะเร่งข้ามาหลายหน ข้าก็ได้แต่อ้างว่าไม่มีโอกาส ข้าทำไม่ลงจริงๆ แม่นางไตร่สวนดูได้ ที่ข้าพูดทุกประโยคเป็นจริง ไม่มีคำโกหกเลยแม้แต่ประโยคเดียว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหรี่ตาลง แววตามีประกายเล็กน้อย แต่ไม่นานก็หายไป ถามว่า “เท่าที่ข้ารู้มา ตั้งแต่เจ้ามาที่นี่พวกเขาก็ไม่เคยมาอีกเลย เช่นนี้พวกเขาจะเร่งรัดเจ้าได้อย่างไรกัน”

 

 

อะไรที่ควรพูดก็ได้พูดมาจนหมดแล้ว ที่เหลือรั่วหลานจึงไม่คิดปิดบังอีก จึงตอบอย่างรวดเร็วว่า “พวกเขาส่งคนปลอมตัวเป็นคนส่งของ ไม่กี่วันก็จะต้องมาส่งข่าว ฮูหยินไม่เข้มงวดกับข้า ข้าจึงได้อาศัยจังหวะตอนไปดูของส่งข่าวให้ทางนั้น”

 

 

“พวกเขาให้เวลาเจ้าถึงเมื่อใด” เมิ่งเชี่ยนโยวถามด้วยเสียงด้วยเสียงอำมหิต

 

 

สีหน้าของรั่วหลานกลัวขึ้นมาทันใด จากนั้นจึงรีบตอบไปว่า “คืนวันพรุ่งเจ้าค่ะ พวกเขาสั่งข้าว่าหลังจากเสร็จเรื่องแล้ว เช้าตรู่ในวันแรกของตรุษจีนให้เปิดประตูบ้านกว้างๆ เมื่อได้ยินเสียงคนเข้ามาสวัสดีปีใหม่ ก็ให้ตะโกนร้องดังๆ ให้คนมาเห็นว่าท่านชายใหญ่อดใจไม่ได้ จึงได้นอนกับข้า”

 

 

ซุนเชี่ยนเพิ่งจะเข้าใจเป้าหมายของนาง เบิกตาโตขึ้นอย่างตกใจ รีบเอามือปิดปากไว้ เกรงว่าตนจะอดไม่ได้ส่งเสียงกรีดร้องออกไป

 

 

แผนการณ์ชั่วร้ายเช่นนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็ตกใจจนเหงื่อผุดออกมา ยังดีที่ตนกลับบ้านมาทัน หากเป็นไปตามแผนของพวกนั้นเข้า ตระกูลเมิ่งของนางก็คงต้องจบสิ้นจริงๆ ไม่ต้องพูดถึงว่าชื่อเสียงของตระกูลเมิ่งจะเป็นเช่นไร แต่หากเมิ่งจงจวี่และภรรยารู้เข้าว่าลูกชายและหลานชายนอนกับหญิงคนเดียวกัน คงจะต้องโกรธจนเป็นอะไรไปเป็นแน่ ยังมีเมิ่งเอ้ออิ๋น หากรู้ว่าตนเองได้ทำเรื่องเลวทรามเช่นนี้ลงไปก็คงไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว ส่วนเมิ่งเสียน หากถูกเรื่องเช่นนี้โจมตีเข้าก็คงต้องเสียใจไปตลอดชีวิต แล้วแม่ของตนเล่า ไหนจะซ้ออีก อีกอย่างหากเรื่องนี้แพร่ไปถึงเมืองหลวงเข้า เรื่องการหมั้นหมายของนางและอี้เซวียนก็คงเป็นไปไม่ได้อีก ยิ่งคิดยิ่งน่ากลัว สีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวดูเครียดเป็นอย่างมาก กระทั่งน้ำเสียงที่ใช้ถามก็ยังฟังดูหนาวเย็น แม้แต่ชิงหลวนและจูหลีที่ยืนอยู่หน้าประตูเองก็ยังรู้สึกอดเสียวสันหลังไม่ได้ รั่วหลานเองยิ่งรู้สึกว่าร่างของตนนั้นถูกเสียงของนางแช่แข็งไปแล้ว “ข้าถามเจ้า ใครเป็นคนคิดแผนการณ์เลวทรามเช่นนี้ออกมา พวกมันต้องการอะไรกันแน่”

 

 

รั่วหลานกลัวจนตัวสั่น ฟันกระทบกัน พูดจาไม่เป็นคำ

 

 

“ขอแค่เจ้าบอกเป้าหมายที่แท้จริงของพวกมันออกมา ข้าให้สัญญาว่าข้าจะปล่อยเจ้าไป” เมิ่งเชี่ยนโยวหลอกล่อนาง

 

 

รั่วหลานมองนางอย่างไม่อยากเชื่อ แววตามีประกายแห่งความหวังออกมา พยายามบังคับเสียงที่สั่นเครือของตนเอง พูดว่า “ข้าเองก็ไม่แน่ใจ เพียงแต่ได้ยินพวกเขาพูดคร่าวๆว่า แม่นางมีคู่หมั้นคู่หมายอยู่ที่เมืองหลวง มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น จะต้องทำลายชื่อเสียงของตระกูลเมิ่ง จึงจะทำลายการหมั้นหมายครั้งนี้ได้อย่างถอนรากถอนโคน ขอแค่แม่นางพลาดการหมั้นหมายครั้งนี้แล้ว ก็จะกลายเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาผู้หนึ่ง จากนี้จะสามารถจัดการกับท่านได้ง่ายขึ้น ”

 

 

เป็นอย่างที่นางคิดไว้จริงเสียด้วย ไฟโกรธในใจของเมิ่งเชี่ยนโยวประทุขึ้นมา แผ่เอาความอำมหิตไปทั่ว รั่วหลานตกใจจนต้องก้มหัวขอร้องอีกครั้ง “แม่นางไว้ชีวิตข้าด้วย ที่ข้าไม่กล้าลงมือ ยื้อเวลาจนถึงบัดนี้ ก็เพื่อรอให้แม่นางมาจัดการเรื่องนี้นะเจ้าคะ ข้าเองก็ทำร้ายครอบครัวที่แสนดีเช่นนี้ไม่ลงจริงๆ”

 

 

ซุนเชี่ยนตกใจจนพูดอะไรไม่ออก

 

 

“เจ้าจะลงมืออย่างไร” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม

 

 

รั่วหลานผละไป จากนั้นก็เข้าใจความหมายของนาง กล่าวว่า “พวกเขาให้ยาข้ามาสองห่อ ให้ข้าหาโอกาสใส่ลงไปในโอ่งน้ำ”

 

 

“แล้วยาเล่า” เมิ่งเชี่ยนโยวถามด้วยเสียงแข็ง

 

 

รั่วหลานตะเกียกตะกายหันหลัง เปิดผ้าห่มอีกฝั่งขึ้น หยิบยาสองห่อขึ้นมา ยื่นส่งให้เมิ่งเชี่ยนโยวด้วยความกลัว “ยาสองห่อนี้เจ้าค่ะ ห่อหนึ่งเป็นยานอนหลับ อีกห่อเป็นยากล่อมประสาทเจ้าค่ะ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรับมา บีบห่อยาไว้แน่น ความโกรธของนางใกล้จะประทุออกมาแล้ว

 

 

ซุนเชี่ยนนั่งอยู่ข้างนาง รับรู้ได้ถึงอารมณ์โกรธของนาง จึงลืมความตกใจไป และรีบกอดเอวของนางไว้ พูดด้วยเสียงสั่นว่า “น้องเล็ก ใจเย็นก่อน พวกเราเองก็ยังอยู่ดีมีสุขกันมิใช่หรือ”

 

 

รั่วหลานในสถานการณ์เช่นนี้รีบคุกเข่าคำนับบนเตียง ร้องขอชีวิตไม่หยุดปาก

 

 

ชิงหลวนและจูหลีที่อยู่ด้านนอกก็รู้สึกได้ถึงความกดดันของเมิ่งเชี่ยนโยว ตกใจเป็นอย่างมาก จึงได้รีบวิ่งเข้ามา เห็นนางนั่งอย่างสงบอยู่กับที่ จึงมองหน้ากัน หน้าผากเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ