บทที่ 391 จงสยบให้กับกระบี่ของข้าซะ!

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

บทที่ 391 จงสยบให้กับกระบี่ของข้าซะ!

ในที่สุด หลิงตู้ฉิงและคนของเขาก็ใช้เวลาครึ่งเดือนเพื่อไปถึงบ่อน้ำต้นกำเนิดชีวิต

ซึ่งรอบ ๆ บริเวณบ่อน้ำต้นกำเนิดชีวิต ในตอนนี้มีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก

เนื่องจากผู้คนที่เข้าสู่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับโดยพื้นฐานแล้วทุกคนรู้เกี่ยวกับบ่อน้ำต้นกำเนิดชีวิต ดังนั้นทุกคนจึงพร้อมใจกันมาที่นี่เพื่อที่จะใช้น้ำในบ่อทำให้ศักยภาพของพวกเขาพัฒนาขึ้นกว่าขีดจำกัดเดิม

แต่ด้วยปริมาณที่มีจำกัดของน้ำในบ่อ ดังนั้นผู้คนทุกคนที่มาจึงต้องแย่งโอกาสที่จะได้เข้าไปในบ่อและนั่นมันคือจุดเริ่มต้นแห่งความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในขณะนี้

ขณะนี้หลายคนกำลังรวมตัวกันเป็นกลุ่มและการดวลก็เกิดขึ้นเพื่อแจกจ่ายส่วนแบ่งของน้ำต้นกำเนิดชีวิต

ส่วนใครที่บังอาจล่วงล้ำเข้าไปในบ่อน้ำต้นกำเนิดชีวิตก่อนที่จะได้รับอนุญาตจากทุกคน คนผู้นั้นจะถูกล้อมโจมตีจนตายอย่างอนาถ

เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ แม้แต่หลิงตู้ฉิงก็ยังรู้สึกปวดหัวเพราะจำนวนคนที่มากมายขนาดนี้แถมเขายังไม่สามารถฆ่าใครได้ตามใจชอบอีกต่างหาก ดังนั้นเขาจึงเหลือทางเลือกเดียวคือต้องส่งตัวแทนของเขาเข้าไปแก้ปัญหาแทน

เมื่อเห็นการมาถึงของพวกเขา บรรดาผู้แทนกลุ่มหลายกลุ่มก็เดินเข้ามาเชิญพวกเขาทันที “ทุกท่านโปรดเข้าร่วมกับเรา! กลุ่มเรามี โม่เฉียนชาน ที่อยู่ในขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 14 เป็นผู้นำ แถมพวกเรายังชนะการประลองไปแล้วถึง 13 ครั้ง!”

“กลุ่มของพวกเจ้ามีโม่เฉียนชาน แล้วมันนับเป็นอะไรกัน? ทุกท่านมาเข้ากับกลุ่มของข้าจะดีกว่า กลุ่มของข้ามีอสูรทมิฬขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 14 ซึ่งนับได้ว่าเป็นตัวตนที่ไร้เทียมทานในการต่อสู้และที่สำคัญพวกข้าชนะมาแล้วถึง 27 ครั้ง! โดยเฉพาะท่าน ตงฟางจุน! ด้วยความแข็งแกร่งของท่านหากรวมเข้ากับความแข็งแกร่งของเราแล้ว พวกเราจะไม่มีวันแพ้ใครแน่นอน!” คนที่พูดคงจะรู้จักตงฟางจุน ดังนั้นเขาจึงระบุชื่อของตงฟางจุนโดยตรง

อย่างไรก็ตาม มีคนหักล้างคำพูดของบุคคลนั้นทันที

“ไม่ว่าเจ้าจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่ตามกฎแล้วเจ้าสามารถเข้าต่อสู้ได้กี่ครั้ง? ด้วยการนำของสำนักสวรรค์สัประยุทธ์ ข้าเชื่อว่าอัจฉริยะของกลุ่มข้าย่อมไม่ด้อยไปกว่าอสูรทมิฬของเจ้าแน่นอน นอกจากนี้กลุ่มของข้ายังมี 2 คนที่อยู่ในขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 14 แถมในขณะนี้เราอยู่ในอันดับที่หนึ่งของการประลอง ซึ่งเราชนะมาแล้วถึง 44 ครั้ง ในไม่ช้าเราจะเอาชนะพวกเจ้าได้จนถึงจุดที่เจ้าไม่มีแรงจะต่อสู้ ดังนั้นตงฟางจุนท่านเข้าร่วมกับเราดีกว่า การร่วมมือกับพวกเรามันถึงจะเป็นทางเลือกที่ถูกต้องที่สุด!”

เมื่อเห็นว่าทุกคนพยายามที่จะโน้มน้าวเขาให้ได้ ตงฟางจุนจึงกระแอมอยู่สองครั้งจากนั้นเขาจึงหันกลับไปมองหลิงตู้ฉิงและถามขึ้น “ศิษย์พี่ ท่านคิดว่าเราควรทำอย่างไรดี?”

ตงฟางจุนใช้คำเรียกหลิงตู้ฉิงว่า ‘ศิษย์พี่’ แทน เนื่องจากเขาไม่ต้องการเปิดเผยตัวตนของหลิงตู้ฉิงต่อหน้าผู้คน

หลิงตู้ฉิงพูดอย่างชัดเจนว่า “เราจะเข้าไปในบ่อน้ำต้นกำเนิดชีวิตก่อนเป็นกลุ่มแรก ส่วนคนอื่นจะเข้าไปได้ก็ต่อเมื่อเราใช้เสร็จแล้ว”

“ศิษย์พี่ ท่านหมายความว่าพวกเราควรไล่พวกเขาทั้งหมดออกไป?” ตงฟางจุนถามขึ้นด้วยสีหน้ากระตือรือร้นที่จะลองวิชา

มันไม่ใช่ความกลัว แต่เป็นความรู้สึกตื่นเต้น

เพราะเขาได้สำเร็จร่างกระบี่ในขั้นปลายแล้ว ซึ่งมันยังไม่มีใครมาถึงระดับนี้ได้มาก่อนในรอบนานกว่าหมื่นปี แถมเขายังได้รับการถ่ายทอดเร้นคมกระบี่และเผยคมสะบั้น ซึ่งเขาเองก็อยากเห็นว่าทักษะในตำนานทั้งสองนี้น่ากลัวเพียงใด

อย่างไรก็ตาม เขายังคงต้องถามความคิดเห็นของหลิงตู้ฉิงก่อน

นี่เป็นเพราะเขารู้ดีว่าแม้ว่าเขาจะมีความแข็งแกร่งมากขึ้นในปัจจุบัน แต่เขาก็ยังเทียบไม่ได้กับคนที่อยู่ตรงหน้าเขา

เขาในตอนนี้มีเพียงสองในสี่รูปแบบพื้นฐานของวิชาดาราโลหิตประสานกระบี่!

ส่วนความคิดเห็นของหลิงตู้ฉิงนั้น…

“เจ้าคิดว่าวิชากระบี่ที่ข้าถ่ายทอดให้ เจ้าจะได้รับมันแบบง่าย ๆ อย่างนั้นเหรอ?” หลิงตู้ฉิงถามกลับ

และนี่คือความคิดเห็นของหลิงตู้ฉิง

“รับทราบ! ข้าเข้าใจแล้ว” ตงฟางจุนพยักหน้า เขาจับกระบี่ของเขาแน่นและเดินไปที่จุดประลองพร้อมกับยืดอก

หลิงเทียนหยุนมองไปรอบ ๆ และถามว่า “ท่านพ่อ ข้าควรไปด้วยไหม?”

หลิงตู้ฉิงพยักหน้าและพูดว่า “คอยดูไปก่อนว่าเขาจะทำได้หรือไม่ ถ้าเขาทำไม่ได้เจ้าก็ค่อยเข้าไปช่วยเขา!”

หากความรุนแรงยังไม่สามารถบีบบังคับให้คนเหล่านี้ถอยได้ ถ้างั้นเขาก็จะใช้การนองเลือดเพื่อปราบปราม

ขณะนี้ผู้คนรอบ ๆ ทุกคนต่างอยากรู้ว่าตงฟางจุนจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร

แต่แล้วจู่ ๆ กลับมีกลุ่มหญิงสาวกลุ่มหนึ่งเดินออกมาและจ้องไปยังกลุ่มของหลิงตู้ฉิง

และทันทีที่ซือกงจิ้งเห็นพวกนาง สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันทีและจากนั้นเขาก็พุ่งตัวหนีไปโดยใช้วิชามังกรไต่เมฆาทะยานสามแปร เพื่อหนีออกไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อหญิงสาวทั้งห้าคนเห็นเช่นนั้น พวกนางก็จ้องมองมาที่หลิงตู้ฉิงและคนของเขาแทนและพูดว่า “ท่านมีความสัมพันธ์อะไรกับไอ้โรคจิตคนนั้น?

หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “ไม่มี!”

หญิงสาวในชุดสีชมพู พูดขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มเยาะเย้ย “อ๋อเหรอ แต่ทำไมเมื่อครู่ข้าถึงเห็นว่าเขาเดินมากับพวกท่านแถมยังยืนอยู่ด้วยกันอีกล่ะ?”

มี่ไลยิ้มและพูดว่า “ตอนนี้พวกข้าก็ยืนอยู่กับพวกเจ้าเช่นกันไม่ใช่เหรอไง?”

หลิวเฟ่ยเฟ่ยยิ้มและพูดว่า “ถ้ามีคนต้องการติดตามเรา เราก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน”

แม้ว่าพวกนางจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พวกนางก็จำเป็นต้องช่วยหลิงตู้ฉิงอธิบายเพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิด

แม้ว่าพวกนางจะคิดว่าหลิงตู้ฉิงจะต้องมีความเกี่ยวข้องกับซือกงจิ้งอย่างแน่นอนก็ตาม

เมื่อได้รับคำตอบเช่นนี้กลุ่มหญิงสาวจึงมองไปที่หลิงตู้ฉิงและคนอื่นๆ ด้วยสายตาโกรธเคืองและทำได้แค่เพียงเดินจากไปอย่างไม่พอใจ

หลิงตู้ฉิงเลิกคิ้ว แต่ไม่ได้พูดอะไร

แม้ว่าเขาจะช่วยให้ซือกงจิ้งบรรลุวิชามังกรไต่เมฆาทะยานสามแปร แต่เขาก็รู้สึกว่าการที่ซือกงจิ้งแอบมองหญิงสาวเหล่านี้เล่นน้ำมันเป็นเรื่องที่น่าอดสู และนี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงไม่ให้ความสนใจกับซือกงจิ้ง

สำหรับเขา ถ้าถามว่าเขาแอบมองบ้างหรือเปล่า ไม่ว่าหญิงสาวเหล่านี้จะหน้าตาดีแค่ไหน แต่ในสายตาของเขาแล้วพวกนางก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าสิ่งมีชีวิตทั่ว ๆ ไป!

ตอนนี้ตงฟางจุนเดินไปที่เวทีแล้วและตะโกนว่า “ทุกคนฟังข้า!”

“เจ้าต้องการพูดอะไร?” เหล่าผู้นำกลุ่มต่าง ๆ ที่อยู่รอบบ่อน้ำต้นกำเนิดชีวิตยืนขึ้นและถาม

ตอนนี้บรรดาอัจฉริยะที่น่ากลัวจากทั่วทุกมุมในมหาพิภพไร้จุดจุบ ต่างมองไปที่ตงฟางจุนโดยไม่รู้ว่าตงฟางจุนต้องการจะทำอะไร

ตงฟางจุนชี้ไปที่หลิงตู้ฉิงและพูดว่า “ศิษย์พี่ของข้าคนนี้บอกว่าเขาต้องการจะเข้าไปใน บ่อน้ำต้นกำเนิดชีวิตก่อน และจากนั้นพวกเจ้าที่เหลือจึงจะสามารถเข้าไปใช้งานต่อได้ กลุ่มของเรามีจำนวนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นดังนั้นโปรดจงวางใจหลังจากที่เราใช้เสร็จมันจะยังคงเหลือให้กับคนที่รอต่อแถวอยู่แน่นอน แต่ถ้าหากใครไม่เห็นด้วย พวกท่านสามารถออกมาขอท้าประลองกับข้าได้ ข้าจะขอเป็นตัวแทนศิษย์พี่ของข้าและใช้กระบี่ในมือของข้าจัดการกับพวกท่านแทนเขา”

ผู้เชี่ยวชาญจากสำนักสวรรค์สัประยุทธ์ตะคอกกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าก็นึกว่าเจ้าจะมีเรื่องอื่นที่อยากจะพูดซะอีก แต่กลับกลายเป็นว่าเจ้าก็มีเป้าหมายเดียวกันกับพวกเรา แต่ว่าหากเจ้าต้องการใช้บ่อน้ำต้นกำเนิดชีวิต เจ้าก็ต้องไปต่อแถวที่ด้านหลัง ขณะนี้กลุ่มของเรามีชัยชนะมากที่สุดและเมื่อพวกข้าทุกคนใช้มันจนเสร็จทุกคน มันถึงจะเป็นตาของคนถัดไป”

อสูรทมิฬส่งเสียงคำรามและพูดว่า “ถึงแม้ว่าตอนนี้กลุ่มของข้าจะอยู่ที่สอง แต่การประลองมันก็ยังไม่จบ เอาล่ะเจ้าน่ะ ไสหัวออกไปได้แล้ว พวกข้าจะได้ประลองกันต่อ แต่ถ้าเจ้าไม่พอใจเจ้าก็จงลงไปรอให้พวกข้าประลองกันให้เสร็จก่อน จากนั้นก็ค่อยขึ้นมาประลองกับพวกข้าต่อ!”

บรรดาคนที่อยู่รอบ ๆ ทุกคนต่างก็ตะโกนออกมาอย่างพร้อมเพรียงเช่นกัน พวกเขาทั้งหมดพูดคำที่คล้ายกันว่า ‘ไสหัวไป!’

ตงฟางจุนส่ายหัวและตะคอกกลับ “ได้! ในเมื่อพวกเจ้าไม่ฟังคำขอของข้า ถ้างั้นพวกเจ้าก็ขึ้นมาสู้กับข้า! แต่ข้าขอบอกไว้ก่อนว่าในตอนนี้ร่างกายของข้าได้สำเร็จร่างกระบี่ขั้นปลายแล้ว และที่สำคัญที่สุดคือข้าเพิ่งบรรลุ ‘เผยคมสะบั้น’ หากพวกเจ้าไม่ระวังตัวให้ดี ข้าบอกไว้เลยว่าถ้าพวกเจ้าพลาดแม้แต่นิดเดียวพวกเจ้าได้ตายกันจริง ๆ แน่นอน”

เขามาที่นี่เพื่อทดสอบวิชากระบี่และเพื่อทำตามคำขอของหลิงตู้ฉิงให้ลุล่วง ซึ่งทั้งสองข้อนี้ต่างมีจุดหมายที่ไม่ได้ขัดแย้งกัน

อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้คนที่อยู่ที่นี่ทั้งหมดตอนนี้ต่างก็มาจากสำนักที่มีชื่อเสียง มันจึงจะเป็นการดีกว่าที่จะสามารถหลีกเลี่ยงการสังหารพวกเขาให้ได้มากที่สุด

ส่วนบรรดาผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ต่างก็ไม่ใช่คนโง่ เมื่อได้ยินที่ตงฟางจุนเตือนพวกเขาเช่นนี้ พวกเขาจึงมีท่าทีตื่นตัวมากยิ่งขึ้น

สำหรับตงฟางจุน เขารู้สึกตื่นเต้นอย่างมากไม่ต้องพูดถึงพลังของวิชาดาราโลหิตประสานกระบี่ที่ไม่ปรากฏมานานนับหมื่นปี แม้แต่เพลงกระบี่พื้นฐานทั้งสี่นี้ก็เป็นสิ่งที่น้อยคนนักจะเคยเห็นมาก่อน

แต่ตอนนี้เขาจะกลายเป็นผู้ที่บอกให้โลกรู้ว่าวิชากระบี่ที่เขย่าโลกเมื่อหลายหมื่นปีก่อนนั้นทรงพลังเพียงใด

มือของเขาจับด้ามจับกระบี่เอาไว้แน่นพลางตะโกนว่า “จงเตรียมพร้อม! ข้าจะออกกระบวนท่าเดี๋ยวนี้แล้ว! หากใครที่รู้ตัวว่ากระจอกแต่ไม่หนีก็ตายไปซะ!”