ตอนที่ 139-2 เด็กๆ แห่งโถงเหมิงเสวีย

ลำนำสตรียอดเซียน

ใต้ต้นไม้ที่โถงเหมิงเสวีย เด็กผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณสิบปีกำลังถือคัมภีร์แห่งเต๋าและศึกษาอย่างขยันขันแข็ง

 

 

“เพื่อบรรลุปรัชญาแห่งเต๋า อย่าพยายามกำหนดว่าอะไรจริงแท้ ทุกส่วนของสมองมีความศักดิ์สิทธิ์ทางจิตวิญญาณโดยธรรมชาติ จิตวิญญาณผมสีน้ำเงินเข้มรู้จักกันในนาม ‘ต้นกำเนิดโบราณ’ จิตวิญญาณมันสมองรู้จักกันในนาม ‘ก้อนโคลน’ จิตวิญญาณดวงตาสุกสกาวรู้จักกันในนาม ‘สำรวจความเร้นลับ’ จิตวิญญาณปลายจมูกหยกรู้จักกันในนาม ‘ความสามารถอันแน่วแน่’ จิตวิญญาณหูผ่อนเบารู้จักกันในนาม ‘สนามแห่งความเงียบ’ จิตวิญญาณวิเศษของลิ้นรู้จักกันในนาม ‘ความสอดคล้องที่แท้จริง’ [1] …”

 

 

ระดับการฝึกตนของเขาอยู่เพียงแค่ระดับแรกของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ เขาไม่ได้เป็นอะไรมากไปว่าหนึ่งในศิษย์ใหม่ทั่วไปของโรงเรียนเสวียนชิงที่ยังอยู่ในขั้นของการศึกษาคัมภีร์แห่งเต๋า แต่ถึงอย่างนั้น ความขยันและความตั้งใจของเขาก็ประจักษ์ให้เห็นแก่ทุกคน เมื่อไม่ได้เข้าร่วมการฟังเทศน์ประจำวันในตอนเช้า เขาจะใช้เวลาที่เหลืออยู่ของเขาในการพินิจพิเคราะห์คัมภีร์แห่งเต๋า ภายในเวลาสองปีสั้นๆ เขาก็นำหน้าศิษย์ที่อายุสิบห้าและสิบหกปีไปหลายคนแล้ว

 

 

ตอนนี้ชั้นเรียนกำลังจะเริ่มขึ้น เขาอยากจะใช้เวลาเสี้ยวสุดท้ายที่เหลืออยู่ให้คุ้มค่าที่สุดโดยการท่องจำวรรคนี้

 

 

“เพื่อบรรลุปรัชญาแห่งเต๋า อย่าพยายามกำหนดว่าอะไรจริงแท้ ทุกส่วนของสมองมีความศักดิ์สิทธิ์ทางจิตวิญญาณโดยธรรมชาติ…” เมื่อเขาอ่านมาถึงส่วนนี้ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดจากด้านหลัง ลูกบ๊วยหล่นลงหลังจากมันกระแทกเขา เด็กชายมองกลับไปและเห็นว่าห่างออกไปหลายฟุต เด็กผู้ชายรุ่นราวคราวเดียวกับเขาประมาณห้าถึงหกคนกำลังถลึงตาใส่เขา

 

 

เด็กชายรูปร่างท้วมในกลุ่มจู่ๆ ก็ตะโกนว่า “เยี่ยเจินจี เจ้าทำกางเกงหลุดน่ะ!” หลังจากเขาพูดเช่นนั้น เขาและเด็กคนอื่นๆ ก็ระเบิดหัวเราะออกมา

 

 

เด็กที่ชื่อเยี่ยเจินจีจ้องอย่างโมโหไปที่พวกเขา แต่ไม่นานเขาก็หันเหสายตาและท่องต่อไป “เพื่อบรรลุปรัชญาแห่งเต๋า อย่าพยายามกำหนดว่าอะไรจริงแท้…”

 

 

ลูกบ๊วยอีกลูกถูกโยนมาและกระแทกเขาตรงช่วงตัวพอดี ถึงแม้ว่าเขาจะมีพลังทางจิตวิญญาณ แต่เด็กพวกนั้นก็ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา เมื่อพวกเขาโยนลูกบ๊วยเข้าใส่ พวกเขายังใช้พลังงาานทางจิตวิญญาณของตัวเองด้วย ดังนั้นเมื่อโดนกระแทกจึงรู้สึกเจ็บ

 

 

เยี่ยเจินจีรู้ว่าไม่มีทางที่เขาจะสามารถท่องหนังสือต่อได้ เขาจึงเก็บหนังสือทันที จากนั้นเขาทำสีหน้าดุดันและหันไปเผชิญหน้ากับพวกเขา “พวกเจ้าต้องการอะไร!?”

 

 

อย่างไรก็ตาม แม้จะทำหน้าตาดุดัน แต่เด็กพวกนั้นก็ไม่กลัว เด็กชายรูปร่างท้วมยังทำหน้าล้อเลียนกับสหายของเขาอีกด้วย “ดูสิ เขาพยายามจะทำให้เรากลัว!”

 

 

ใครบางคนตอบสนองทันที ทั้งล้อเลียนและชี้ไปที่เขา “เยี่ยเจินจี เจ้าไม่กลัวรึว่ากางเกงเจ้าจะหลุดอีกน่ะ”

 

 

พอได้ยินที่เขาพูด สีหน้าของเยี่ยเจินจียิ่งเศร้าหมองลงอีก ถึงอย่างไรเขาก็รู้ดีว่าเขาไม่สามารถเอาชนะพวกนั้นได้ เด็กพวกนั้นหลายคนเป็นครอบครัวเดียวกับพวกอาจารย์ลุงในโรงเรียน ตั้งแต่อายุยังน้อยพวกเขาก็มีคนคอยชี้แนะ ดังนั้นระดับการฝึกตนของพวกนั้นทั้งหมดจึงสูงกว่าเขา เขาไม่สามารถเอาชนะพวกนั้นได้แม้แต่คนเดียวในการต่อสู้ตัวต่อตัว ไม่ต้องพูดถึงการสู้กับพวกเขาทั้งกลุ่มเลยด้วยซ้ำ

 

 

พอเห็นว่าเขายังคงนิ่งเงียบ พวกเด็กๆ จึงโยนลูกบ๊วยใส่เขาต่อ “ทำไมเจ้าไม่หลบ เจ้าฉลาดไม่ใช่รึ ไม่ว่าคุณครูจะถามคำถามอะไรเจ้าก็มักจะรีบแจ้นไปตอบนี่ ทำไมตอนนี้ถึงกลัวนักล่ะ”

 

 

“เราจะสุภาพกับเขาไปทำไม จัดการเขาก่อนแล้วค่อยคุยทีหลัง ช่วงสองสามวันที่ผ่านมาข้ารู้สึกรำคาญจะแย่เวลาเห็นเขา!” เด็กอารมณ์ร้อนคนหนึ่งจู่ๆ ก็กระโดดมาข้างหน้า ตะโกนและชี้หน้าเยี่ยเจินจี

 

 

พร้อมด้วยการยั่วยุนั้น เด็กหลายคนรีบพุ่งเข้ามาอย่างกับฝูงผึ้ง

 

 

เยี่ยเจินจีที่เห็นเช่นนั้นรีบหันหลังและวิ่งหนีทันที เขารู้ว่าเขาไม่สามารถเอาชนะพวกนั้นได้แต่เขาก็ไม่อยากถูกทุบตีเช่นกัน ถ้าเขาวิ่งไปทางด้านหน้าที่มีคนอื่นอยู่ พวกเด็กๆ ก็จะไม่กล้าทุบตีเขา

 

 

แต่ก่อนที่เขาจะทำสำเร็จ หลังจากเขาวิ่งมาได้แค่ระยะสั้นๆ เขาก็ล้มลงที่พื้นจากแรงของลูกบ๊วยหลายลูกที่กระแทกเข้ากับร่างเขา เด็กคนหนึ่งดึงแขนเสื้อเขาทันทีในขณะที่คนอื่นๆ ล้อมพวกเขาไว้และเริ่มทุบตีเขาอย่างไม่ปรานี

 

 

เด็กพวกนี้เองก็ฉลาดเช่นกัน เพราะพวกเขารู้ว่าไม่ควรจะทำเป็นเล่น พวกเขาจึงใช้เพียงแค่หมัดกับเท้าและไม่ใช้พลังทางจิตวิญญาณ ถึงอย่างนั้นนี่ก็ยิ่งเจ็บปวดมากกว่าเดิมสำหรับเยี่ยเจินจี

 

 

เยี่ยเจินจีที่ถูกเด็กพวกนั้นล้อมไว้ ทำได้แค่ป้องกันหัวของเขา กัดฟันและยังคงนิ่งเงียบ การถูกทุบตีนั้นเจ็บปวด แต่หลังจากเวลาผ่านไปสักพักเขาก็จะไม่เป็นอะไร อย่างไรเสียเขาก็ชินกับมันแล้ว…

 

 

โม่เทียนเกอนิ่วหน้า นางเพิ่งมาถึงที่โถงเหมิงเสวียก่อนเวลา แต่นางกลับต้องบังเอิญมาพบกับภาพนี้เข้าโดยไม่คาดคิด

 

 

นางเหวี่ยงแขนเสื้อเบาๆ ทำให้เกิดลมพัดแรงไปยังกลุ่มของเด็กที่กำลังเตะต่อยเด็กชายที่อยู่ตรงกลาง พวกเขาถูกซัดล้มลงที่พื้น

 

 

“ใคร! ใครกัน!” เด็กรูปร่างท้วมคลานขึ้นมาและตะโกนด้วยความโกรธ “ใครกล้าโจมตีข้า! ข้าจะเรียกพ่อข้ามา…”

 

 

“เรียกพ่อของเจ้าแล้วมันทำไมรึ” โม่เทียนเกอตอบขณะที่จ้องเขาด้วยสายตาเย็นชา

 

 

ครั้งนี้ในที่สุดพวกเด็กๆ ก็เห็นนาง ทั้งหมดจ้องมองนางและอ้าปากค้าง เกือบไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ “ปะ… ปรมาจารย์โม่”

 

 

โม่เทียนเกอรู้ว่าเด็กพวกนี้ส่วนใหญ่คือทายาทของผู้ฝึกตนในโรงเรียน ดังนั้นพวกเขาจึงมีนิสัยจองหองและดื้อรั้น อย่างไรก็ตาม นางไม่เคยคิดว่าความระห่ำของพวกเขาจะมาถึงจุดนี้ พวกเขายังเด็กมาก แต่กลับเข้าใจแล้วว่าจะรังแกศิษย์ด้วยกันได้อย่างไร!

 

 

“พวกเจ้าจะยืนงงกันอยู่ตรงนั้นทำไม! ไปที่แผนกฝึกอบรมและรับโทษซะ!”

 

 

“ท่านปรมาจารย์โม่…” พอได้ยินสิ่งที่นางพูด เด็กหลายคนจึงร้องเรียก “เรา… เรา…” โชคร้ายที่พวกเขาไม่สามารถสรรหาคำพูดใดมาแก้ตัวได้

 

 

โม่เทียนเกอเองก็ไม่มีความตั้งใจจะฟังพวกเขาอยู่แล้ว นางแค่สนใจกับการช่วยเด็กชายที่ถูกรังแกก่อนที่นางจะหันไปทางพวกเขาอีกครั้งและพูดว่า “ไปได้แล้ว เดี๋ยวนี้เลย!”

 

 

“ขอรับ…” พวกเด็กๆ ออกไปด้วยอารมณ์บูด พวกเขาไม่ได้โง่ ปรมาจารย์โม่เป็นศิษย์ภายในชั้นสูงของท่านผู้มีอำนาจจิ้งเหอ ไม่ว่าพวกเขาจะมีพื้นเพอย่างไร พวกเขาก็ไม่กล้าโต้แย้งนาง ถ้าพวกเขายั่วอารมณ์นางอีกครั้ง โทษของพวกเขาอาจจะยิ่งหนักกว่าเดิมก็เป็นได้

 

 

โม่เทียนเกอมุ่งความสนใจไปที่เด็กชายที่นางเพิ่งพยุงตัวขึ้นมา นางจำเด็กคนนี้ได้เพราะในระหว่างการเทศน์ทุกครั้ง เขาตอบหลายคำถามจึงได้รับคำชมจากผู้ดูแล ครั้งหนึ่งผู้ดูแลเคยบอกนางว่าเด็กคนนี้มาจากโลกมนุษย์ เขาไม่มีรากฐานและความสามารถของเขาก็กลางๆ ดังนั้นโรงเรียนจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับเขามากนัก อย่างไรก็ตาม เขาตั้งใจและขยันมาก คนประเภทนี้จึงมีแนวโน้มว่าจะประสบความสำเร็จได้มาก

 

 

ณ จุดนั้น เด็กคนนั้นเงยหน้ามองและคารวะนาง “ขอบพระคุณท่านปรมาจารย์โม่อย่างยิ่งที่ช่วยชีวิตข้าน้อย”

 

 

ด้วยรอยยิ้มบางๆ โม่เทียนเกอเสกคาถาง่ายๆ เพื่อรักษารอยบาดและรอยถลอกบนร่างกายเขา “เกิดอะไรขึ้น พวกเขาทุบตีเจ้าบ่อยหรือ”

 

 

เยี่ยเจินจีเหลือบมองนางอย่างระวังก่อนจะพยักหน้า “อืม”

 

 

“แล้วทำไมเจ้าไม่พูดอะไรบ้าง”

 

 

ดูเศร้าใจเล็กน้อย เยี่ยเจินจีตอบว่า “พวกเขา… พวกเขาทุกคนมีครอบครัวคอยสนับสนุนแต่ข้าไม่มี มันไร้ประโยชน์ที่ข้าจะพูดอะไร”

 

 

โม่เทียนเกอถอนหายใจออกมาอย่างไม่รู้ตัว แม้แต่โรงเรียนเสวียนชิงก็ไม่สามารถป้องกันปัญหาเช่นนี้ให้เกิดขึ้นได้ ศิษย์ที่ไม่มีรากฐานไม่แคล้วคงต้องถูกรังแกจากคนอื่นๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้

 

 

“เจ้าไม่รู้สึกเศร้าหรือที่โดนพวกเขาทำร้าย”

 

 

เด็กชายกัดปากและพยักหน้าอย่างระวังตัว “ข้าไม่กลัว เมื่อข้าประสบความสำเร็จในการฝึกตน พวกเขาก็จะไม่กล้ามารังแกข้าอีกต่อไป”

 

 

เขาฟังดูค่อนข้างทะเยอทะยาน แม้ว่าโม่เทียนเกอจะแอบเห็นด้วยกับเขา แต่นางก็พูดพร้อมหัวเราะน้อยๆ “เมื่อเจ้าประสบความสำเร็จในการฝึกตนรึ ตอนนี้เจ้าอยู่แค่ในระดับแรกของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ ความสามารถของเจ้าก็ธรรมดา เจ้าจะรอไปอีกนานแค่ไหน”

 

 

สิ่งที่นางพูดทำให้เยี่ยเจินจีคอตก เขารู้ว่าไม่มีสิ่งใดรับประกันว่าเขาจะสามารถทำตามความปรารถนาได้ แต่นอกเหนือจากมีความหวัง เขาจะทำอะไรได้อีก

 

 

โม่เทียนเกออดไม่ได้ที่จะนึกถึงตัวเองว่านางเคยเป็นอย่างไร ย้อนไปตอนนั้นนางก็สั่งสมความคิดเช่นนี้เหมือนกันไม่ใช่หรือ แม้ว่าต้นทุนของนางจะไม่ดีและเส้นทางไปสู่เซียนของนางก็ดูคลุมเครือ ถึงแม้ว่าบางครั้งนางจะคิดว่าทุกอย่างช่างน่าสิ้นหวัง แต่นางก็ยังเชื่ออย่างหนักแน่นว่านางจะประสบความสำเร็จได้

 

 

นางค่อนข้างสนใจในเด็กคนนี้จึงถามว่า “เจ้าชื่ออะไร”

 

 

“เยี่ยเจินจี เยี่ยหมายถึงใบไม้ เจินหมายถึงจริง จีหมายถึงโอกาส”

 

 

“เยี่ยเจินจี… ปรากฏว่าแซ่ของเจ้าก็คือเยี่ยเหมือนกัน” โม่เทียนเกอกล่าว “ถ้าเช่นนั้น เราก็ถือว่าเป็นญาติห่างๆ กันได้”

 

 

รู้สึกประหลาดใจ เยี่ยเจินจีถามว่า “ท่านปรมาจารย์โม่ แซ่ของท่านคือโม่ไม่ใช่หรือ?”

 

 

โม่เทียนเกอหัวเราะ “ข้าใช้แซ่ของแม่ข้าน่ะ ที่จริงแล้วพ่อข้าแซ่เยี่ย”

 

 

“อ้อ…”

 

 

ด้วยรอยยิ้ม โม่เทียนเกอพูด “ถ้าพวกเขารังแกเจ้าอีกในอนาคต เจ้ามาบอกข้าได้”

 

 

“หา?” เยี่ยเจินจีรีบเงยหน้าทันทีและจ้องนางด้วยความประหลาดใจ เขารู้สึกซาบซึ้งที่เขาถูกปรมาจารย์โม่ช่วยเอาไว้แต่เขาไม่ได้มีความหวังอะไรเลยแม้แต่น้อย เขาคิดว่านี่เป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นแค่ครั้งเดียว ถึงแม้เด็กพวกนั้นจะโดนลงโทษ แต่พวกเขาก็ยังคงจะรังแกเขาต่อไป อีกอย่างปรมาจารย์โม่ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลย

 

 

ถึงอย่างนั้นก็ตาม ตอนนี้ที่ปรมาจารย์โม่พูดอย่างนี้ขึ้นมาโดยไม่คาดคิด…

 

 

“ท่านปรมาจารย์โม่ ท่านหมายความว่า…”

 

 

โม่เทียนเกอพูดซ้ำอย่างใจเย็น “ในอนาคต ถ้าพวกเขายังทำร้ายเจ้าอีก เจ้ามาบอกข้าได้ ข้าจะช่วยเจ้าเอง”

 

 

พอได้รับคำยืนยัน เยี่ยเจินจีกระโดดด้วยความตื่นเต้นทันที “จริงหรือขอรับ? ท่านปรมาจารย์โม่จะช่วยข้าหรือ ในอนาคตท่านจะไม่ปล่อยให้พวกนั้นมารังแกข้าอีกใช่ไหม”

 

 

“อืม”

 

 

ในชั่วพริบตา รอยยิ้มกว้างเบ่งบานขึ้นบนใบหน้าเขาทันที “ท่านปรมาจารย์โม่ ท่านช่างใจดีจริงๆ! ตั้งแต่ข้าจากบ้านมา ไม่มีใครเคยดีกับข้าเหมือนท่านเลย ตั้งแต่ข้ามาที่นี่ คนพวกนั้นก็คอยรังแกข้าตลอด พวกเขาแอบตัดเข็มขัดทำให้กางเกงข้าหลุดต่อหน้าทุกคน…” เมื่อเขาพูดมาถึงตรงนี้ จู่ๆ เขาก็รู้สึกอาย “ข้าขออภัยขอรับท่านปรมาจารย์โม่ ข้าไม่ควรพูดเรื่องพวกนี้ต่อหน้าท่าน”

 

 

“ไม่เป็นไรหรอก” ในเมื่อนางไม่มีอะไรทำและเกียจคร้านอย่างที่สุด โม่เทียนเกอไม่ถือสาที่จะฟังเด็กคนนี้บ่น “ถ้าเจ้ายังมีอะไรอย่างอื่นพูดอีกก็พูดมาตามสบายเถอะ”

 

 

“อืม” บางทีอาจเพราะเขาไม่สามารถแสดงความไม่พอใจให้คนอื่นรู้ได้ เด็กคนนี้กลายเป็นคนช่างพูดทันทีพอตอนนี้ที่เขาได้โอกาส “เมื่อตอนที่ข้ายังอยู่กับตระกูล พ่อข้ามักจะพูดว่าการฝึกตนเป็นสิ่งที่ดีมากๆ เขาบอกว่าตระกูลของเราเคยเป็นตระกูลผู้ฝึกตนแต่เพราะตระกูลตกต่ำลง พวกเขาจึงต้องย้ายลงมาที่โลกมนุษย์ ตั้งแต่ตอนที่ข้ายังเล็ก ข้าก็มักจะปรารถนาถึงการฝึกตนเสมอ ในภายหลัง อาจารย์ลุงที่ผ่านมาท่านหนึ่งบังเอิญค้นพบว่าข้าครอบครองรากวิญญาณ ดังนั้นข้าจึงมาที่โรงเรียนเสวียนชิงกับเขา แต่ตอนนี้ อย่างไรก็ตาม ข้ารู้สึกว่าพวกผู้ฝึกตนนั้นน่ารำคาญยิ่งนัก…”

 

 

 

 

——

 

 

[1] เป็นประโยคของจวงจื่อจากหนังสือ “The Yellow Court Classic” (“หวงถิงจิง” 黄庭经) เนื้อหาเกี่ยวกับการทำสมาธิของชาวจีนลัทธิเต๋า