ตอนที่ 10 มีปฏิกิริยาตอบสนองทรงพลังอยู่ข้างหน้า ทรงพลังและรุนแรงไม่น้อย (2) โดย Ink Stone_Fantasy
เมื่ออิ่มหนำแล้ว เจ้าลูกสุนัขก็เกลือกกลิ้งบนพื้นอย่างสุขใจ ขณะเดียวกันหวังลู่ก็เริ่มแทะซาลาเปาไส้เนื้อไม่กี่ลูกที่เหลืออยู่อย่างหดหู่ พลางนึกถึงของอร่อยทุกชนิดที่บนยอดเขากระบี่วิญญาณ
เมื่อรู้สึกว่าหวังลู่นิ่งเงียบอย่างน่ากลัว เจ้าสุนัขก็หยุดเล่น มันเงยหน้าขึ้นแล้วถาม “ท่านไม่มีความสุขหรือ”
หวังลู่ปาซาลาเปาที่เหลือใส่หน้าเจ้าสุนัขทันที “กินของพรรค์นี้อยู่ทุกวันใครจะมีความสุขกัน”
เจ้าลูกสุนัขเอียงคอ เค้นสมองน้อยๆ ของมันอย่างหนักเพื่อทำความเข้าใจกับอารมณ์ของผู้เป็นนาย ผ่านไปพักหนึ่งมันก็เอ่ยขึ้น “หากท่านอยากกินละก็ ข้ารู้จักของอร่อยๆ อยู่”
“หืม?”
“ก่อนหน้านั้นข้าก็คิดอยากกิน แต่เอาชนะเจ้านั่นไม่ได้ ก็เลยอด… เจ้านั่นถือเป็นของชั้นเลิศ คงจะแจ๋วไม่น้อยหากได้กิน เจ้านั่นมันดีจริงๆ นะ ข้าได้กลิ่นของมัน กลิ่นมันแตกต่างจากตัวอื่นมากๆ” คำพูดของเจ้าลูกสุนัขฟังดูสับสน มันไม่อาจสื่อในสิ่งที่ต้องการจะสื่อได้ดีนัก จึงทำได้เพียงทำหน้าเศร้าสร้อย ทว่าระหว่างที่พูดคุย สีหน้าทึ่มทื่อของเจ้าสุนัขก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นดุร้ายและหิวกระหายแทน
เจ้าลูกสุนัขเลียปากแล้วเอ่ยถาม “ท่านอยากกินเจ้านั่นรึเปล่า”
หวังลู่นิ่งเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นก็ยกมุมปากขึ้นเผยให้เห็นฟันเรียงราย
“แหงล่ะ”
สามวันต่อมา กระแสน้ำทมิฬก็พัดเข้าท่วมภูเขาฝั่งตะวันตกเหมือนอย่างเคย
คืนก่อนหน้านั้น เหล่าปีศาจบนภูเขาต่างก็พากันซ่อนตัวอย่างหวาดกลัวอยู่ใต้ดิน การแทรกซึมของกระแสน้ำทมิฬมีอยู่ทุกที่ สัตว์ประหลาดไม่รู้อิโหน่อิเหน่สองสามตัวต่างตกตะลึงที่ได้เห็นว่ากระแสน้ำทมิฬตามพวกมันเข้าไปถึงที่ซ่อนตัว จากนั้นพวกมันก็ถูกวิญญาณร้ายกลืนกินจนไม่เหลือแม้กระทั่งโครงกระดูก ส่วนบนดินนั้นเล่า แม้แต่สัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งที่สุดในภูเขาฝั่งตะวันตกก็ไม่กล้าโผล่หน้าขึ้นมาบนดินขณะที่กระแสน้ำทมิฬยังอยู่ ที่นั่นไม่ใช่สถานที่ที่สิ่งมีชีวิตจะสามารถอยู่ได้
ทว่า ณ สถานที่ต้องห้ามของเหล่าสัตว์ประหลาด ชายหนุ่มหนึ่งคนและสุนัขหนึ่งตัวยืนอยู่บนเนินเขาอย่างเงียบเชียบราวกับเป็นรูปสลักหินสองก้อน ปล่อยให้ความมืดมิดเข้าปกคลุมพวกเขา
แน่นอนว่าชายหนุ่มและสุนัขที่ว่านี้ย่อมคือหวังลู่และสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ของเขา เมื่อสามวันก่อน เจ้าสุนัขหน้าโง่บอกหวังลู่ว่ามีบางสิ่งที่ดีเยี่ยมคู่ควรแก่การกิน หวังลู่ไม่ได้ถามว่าสิ่งนั้นคืออะไร และหลังจากนั้นก็ไม่พยายามจะสื่อสารกับเจ้าสุนัขด้วย สามวันต่อมา เมื่อใกล้เวลาที่กระแสน้ำทมิฬจะมาเยือน แทนที่จะกลับไปยังถ้ำ พวกเขากลับปีนขึ้นมาบนเนินเขาเล็กๆ แทน
อาหารที่เจ้าพันทางบอกแน่นอนว่าย่อมเป็นหนึ่งในวิญญาณร้ายที่อยู่ในกระแสน้ำทมิฬ และเป็นตัวที่แข็งแกร่งไม่น้อยเลย แม้ค่าความแข็งแกร่งของวิญญาณร้ายนี่จะยังคงเป็นปริศนา แต่พลังปฐมกลียุคของมันย่อมทรงพลังไม่เบา พูดอีกอย่างก็คือ สิ่งที่พวกเขาจะได้รับหลังสังหารวิญญาณร้ายนี่ได้ย่อมเป็นของคุณภาพเยี่ยม ในฐานะพวกกินแล้วชิ่ง เจ้าสุนัขหน้าโง่ย่อมมีสัญชาตญาณที่เฉียบคมเรื่องอาหาร จมูกของมันย่อมแยกแยกได้ว่าสิ่งใดน่าอร่อยสิ่งใดไม่ควรกินได้อย่างดีเยี่ยม
ตอนกระแสน้ำทมิฬไหล่ท่วมเมื่อคราวก่อน มีวิญญาณร้ายสองสามตนรี่เข้ามาในถ้ำของพวกเขา แววตาของเจ้าสุนัขลุกโชนขึ้นในทันที มันปรี่เข้าขย้ำกลุ่มลูกไฟจนตาย ไม่มีใครรู้ว่าเหตุใดลูกไฟที่ไร้ร่างกายถึงตายเพราะถูกสุนัขกัดได้ เจ้าลูกไฟเหล่านี้ระเบิดและทิ้งหยกเรืองแสงไว้หลายก้อน
ส่วนสัตว์ประหลาดตัวอื่นๆ เจ้าสุนัขกลับไม่มีท่าทีสนใจ ต่อมาด้วยคำสั่งของหวังลู่ มันจึงยอมร่วมมือกัดเหล่าสัตว์ประหลาดทีละตัว แต่เจ้าพวกนี้กลับไม่ทิ้งของมีค่าอะไรสักชิ้น ทว่าเรื่องดีก็คือมันทำให้เขาตระหนักได้ว่าอย่างน้อยวิญญาณร้ายที่ว่าน่ากินนั้นย่อมต้องดีกว่าพวกลูกไฟหลายหมื่นเท่าเป็นแน่
หากวัดจากระดับสติปัญญาของเจ้าสุนัข หวังลู่ก็ได้แต่สงสัยว่ามันจะเข้าใจคำว่าหนึ่งหมื่นหรือไม่ ทว่าสิ่งที่มันมองว่าดีงามย่อมต้องดีงามไม่ผิดแน่
และสิ่งดีงามที่ว่านั้นก็ซ่อนตัวอยู่ในกระแสน้ำทมิฬ ดังนั้นหากจะสังหารมัน พวกเขาก็จำเป็นต้องลุยเข้าไปในกระแสน้ำทมิฬและมองหามัน
นี่ไม่ใช่ภารกิจฆ่าตัวตาย แม้หวังลู่จะเสียแขนไปจากการถูกกระแสน้ำทมิฬจู่โจมหลังจากที่เขามายังแดนปรลัยได้ไม่นาน แต่เกือบหนึ่งปี ทุกสิ่งย่อมไม่เหมือนเดิมอย่างแน่นอน แม้เขาจะยังไม่อาจต้านทานส่วนที่น่าปวดหัวที่สุดของกระแสน้ำทมิฬ ซึ่งก็คือพิษของมันได้อย่างสมบูรณ์ แต่ตอนนี้ด้วยวิธีพิเศษ เขาสามารถเพิกเฉยมันได้ในช่วงเวลาสั้นๆ ตอนที่เขากวัดแกว่งกระบี่ พลังการตั้งรับของเพลงกระบี่ไร้ลักษณ์กลับเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวจากที่เคยเป็นมาเมื่อเกือบหนึ่งปีก่อน ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ เมื่อได้รับการ ‘ล้างบาป’ จากกระแสน้ำทมิฬอยู่หลายสิบครั้ง หวังลู่ก็ค่อยๆ คุ้นเคยกับสิ่งมีชีวิตที่สิ้นหวังจำนวนนับไม่ถ้วนในความมืดมิดนี้ เมื่อกระแสน้ำทมิฬมาถึง รอบตัวจะไร้แสงไร้เสียง แม้จะมีกองทัพโครงกระดูกขนาดใหญ่เดินเคลื่อนพลอยู่บนภูเขา แต่พวกมันกลับไม่ส่งเสียงออกมาแม้แต่น้อย ทำให้ไม่สามารถตรวจจับมันได้ ทว่าการต่อสู้หลายต่อหลายครั้งในปีนี้ทำให้ประสาทสัมผัสของหวังลู่เฉียบคมขึ้นมาก โดยเฉพาะตอนที่เขาอยู่กลางกระแสน้ำทมิฬที่มีวิญญาณร้ายรายล้อม เขาสามารถรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของวิญญาณเหล่านั้นได้อย่างกระจ่างชัด
ดังนั้นเหล่าวิญญาณจึงไม่ใช่สิ่งลี้ลับสำหรับเขาอีกต่อไป ความจริงแล้วเขาไม่รู้สึกกลัวพวกมันแม้แต่น้อย
เมื่อแสงสว่างสุดท้ายบนโลกถูกความมืดมิดกลืนกิน หวังลู่ก็หลับตาลง ทันใดนั้นเขาก็รับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของวิญญาณที่ทะยานเข้ามาในทันที เขารู้ว่าเวลามาถึงแล้ว
“เจ้าตูบ นำทางไป”
“โฮ่ง”
ในความมืดมิด เสียงเห่าของเจ้าสุนัขหน้าโง่นั้นแจ่มชัดเป็นพิเศษ แต่สิ่งที่ดังพอๆ กันคือเสียงเอ็ดของหวังลู่
“เจ้าตูบหน้าโง่ พูดสิไม่ใช่เห่า”
“ไปทางซ้าย”
ชายหนุ่มและสุนัขพากันเคลื่อนตัวไปทางซ้ายอย่างรวดเร็ว เนินเขาเล็กๆ ที่หวังลู่เลือกอย่างรอบคอบตั้งอยู่ที่ใจกลางของภูเขาฝั่งตะวันตก จากจุดนั้น พวกเขาสามารถไปได้ทั่วทุกสารทิศ เมื่ออาหารที่ว่านั่นปรากฏตัวขึ้นภายในกระแสน้ำทมิฬ จากบนเนินเขา ทั้งสองจะสามารถรุดไปตัวมันได้รวดเร็วที่สุด
ระหว่างที่ลงจากเขา พวกเขาเจอฝูงลูกไฟนับไม่ถ้วน ทว่าหวังลู่ก็ใช้อาวุธศักดิ์สิทธิ์กระบี่แห่งเขาคุนสำแดงวิชาตั้งรับกระบี่สามฉื่อ ทำให้สามารถกันเหล่าวิญญาณให้อยู่นอกรัศมีการตั้งรับได้ไม่ว่าวิญญาณเหล่านั้นจะมีรูปร่างหรือไม่มีรูปร่างก็ตาม
เจ้าสุนัขหน้าโง่เดินอย่างสบายอกสบายใจอยู่ในรัศมีการตั้งรับ มันเห่าขึ้นจากนั้นก็ทำจมูกฟุดฟิด “ข้างหน้า มันอยู่ข้างหน้า”
กลิ่นของสิ่งที่อร่อยที่สุดในกระแสน้ำทมิฬฝังแน่นอยู่ในพื้นที่ความทรงจำที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อยของเจ้าสุนัขหน้าโง่ ทำให้มันไม่อาจลืมเลือนได้ เมื่อรับรู้ได้ว่าของอร่อยนั้นอยู่ไม่ไกล เจ้าสุนัขตัวจ้อยก็กระดิกหางอย่างบ้าคลั่งก่อนจะเดินนำหวังลู่ไปยังทิศทางของอาหาร
ในขณะเดียวกัน วิญญาณร้ายมากมายต่างมารวมตัวกันมากขึ้น คงจะนานมากแล้วที่พวกมันไม่ได้พบเจอกับผู้ท้าทายที่กล้าหาญกลางกระแสน้ำทมิฬเช่นนี้ ดังนั้นวิญญาณที่อยู่รายรอบต่างก็ถูกพวกเขาดึงดูดเข้ามาใกล้ ทว่าแม้พวกมันจะรวมตัวกันราวกับว่าเป็นภูเขาซากศพและทะเลเลือด แต่ก็ไม่มีใครเจาะทะลวงการตั้งรับของกระบี่สามฉื่อเข้ามาได้ เหล่าวิญญาณพุ่งเข้าชนอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ถูกเพลงกระบี่ไร้ลักษณ์สะท้อนออกไปในทันที พวกมันได้แต่ร้องโหยหวนไร้เสียงออกมา หากเป็นเมื่อก่อน เหตุการณ์เพียงเท่านี้ก็อาจเพียงพอที่จะทำให้หวังลู่หวาดกลัว แต่คราวนี้สิ่งที่เขาเห็นกลับกลายเป็นเพียงเรื่องตลก
เจ้าสุนัขทึ่มหัวเราะอ้าปากกว้าง “ฮ่าๆๆ อ่อน อ่อนจริงๆ”
หวังลู่ดุอีกฝ่ายเสียงเย็น “อย่ามัวใช้สมองน้อยนิดของเจ้าไปกับเรื่องพวกนี้ ตั้งใจนำทางก็พอ”
ตอนนี้หวังลู่ยังสามารถสกัดการโจมตีทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย แต่นั่นเป็นเพราะเหล่าวิญญาณร้ายที่ทรงพลังของกระแสน้ำทมิฬยังไม่ปรากฎตัวออกมา ทว่าเวลาในการล่าของพวกเขามีไม่มากนัก หลังจากที่หวังลู่พูดเตือนสติเจ้าสุนัขโง่ มันก็เงียบปากลงและกลับไปตั้งอกตั้งใจดมกลิ่น ไม่นานมันก็ระบุตำแหน่งของอาหารสุดโอชาได้
“ตรงหน้าเรา กลิ่นของมันทรงพลังและรุนแรงมาก”
พูดจบ เจ้าสุนัขพันทางตัวจ้อยก็รีบวิ่งไปข้างหน้าพร้อมน้ำหลายที่ไหลออกมาท่วมปาก หวังลู่เหยียดยิ้มและตามมันไปในทันที
อึดใจหนึ่งผ่านไป เขาก็ได้กลิ่นที่ทรงพลังและรุนแรงดังกล่าว
“…เจ้าตูบโง่ เจ้าหลอกข้าหนิ”
ทรงพลังและรุนแรง? ไม่แปลกเลย…
ที่ตรงหน้าเขา สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ราวเนินเขาย่อมๆ สิบร่างกำลังจ้องมาที่พวกเขาอย่างดุร้าย
…………………………………………