ภาคที่ 30 ปรมาจารย์และลูกศิษย์ ตอนที่ 34 ประจักษ์พยานประวัติศาสตร์!

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ตอนที่ 34 ประจักษ์พยานประวัติศาสตร์! โดย Ink Stone_Fantasy

“ลงมือให้เต็มที่เถิด” ประมุขวังปาอวิ่นวางท่าผู้อาวุโส

ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มน้อยๆ พลางสะบัดแขนเสื้อ

ฟิ้วๆๆ…กระสวยยาวสีดำถึงสิบหกเล่มลอยไปทางประมุขวังปาอวิ่นพร้อมกัน และไปถึงตรงหน้าประมุขวังปาอวิ่นในทันใด ยามนี้กระสวยยาวสีดำแต่ละเล่มเพิ่งจะปะทุอานุภาพอันน่าหวาดหวั่นออกมา แต่ละเล่มล้วนแปรเป็นเงาราง ภายในมีการยุบตัวแล้วกลายเป็นความอลหม่านอยู่รางๆ ต่อให้อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์โลกทิพย์ ก็ทำให้อากาศยุบตัวแล้วกลายเป็นความอลหม่านอยู่ดี จะเห็นได้ถึงอานุภาพของมัน

“เจ้ามิได้พูดว่าแก่นแท้ของวิถีเข่นฆ่าอยู่ที่เก็บหรอกหรือ นี่ควรจะนับได้ว่า ‘ปล่อย’ กระมัง” ประมุขวังปาอวิ่นเพียงแค่ตะปบมือข้างหนึ่งลงมา ฝ่ามือก็แทบจะกลายเป็นเงาลวงไปในพริบตา แล้วสกัดกั้นการลอบโจมตีของกระสวยยาวสีดำสิบหกเล่มต่อเนื่องกัน

ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นเข้าก็ลอบส่ายหน้ากับตนเอง

ประมุขวังปาอวิ่นผู้นี้กล่าวว่าจะสำแดงพลังระดับเจดีย์ดาวชั้นที่หกออกมา แต่ในความเป็นจริงน่าจะนับว่าสำแดงเจดีย์ดาวชั้นที่หกระดับยอดออกมาเสียมากกว่า! เพราะกระสวยยาวสีดำแต่ละเล่มของตนล้วนเป็นอาวุธเทพอากาศระดับยอด ที่สำแดงออกมาก็ล้วนแต่เป็นกระบี่ที่หกผลาญโลกา เมื่อสำแดงสิบหกเล่มออกไปพร้อมกัน ต่อให้ประมุขเจดีย์อสนีโรจน์ผู้นั้นมาสกัดกั้นเองก็ไม่มีทางผ่อนคลายได้ถึงเพียงนี้

สิ่งที่ประมุขวังปาอวิ่นฝึกฝนก็คือ ‘เคล็ดวิชาสืบทอดมังกรปาหลง’ ทำให้ร่างกายแข็งแกร่งอย่างยิ่ง หากร่างกายของเขามีเกราะเกล็ดปรากฏขึ้นมา ความแข็งแกร่งก็เพียงพอจะเทียบได้กับอาวุธเทพอากาศระดับบนแล้ว ฝ่ามือทั้งสองก็ร้ายกาจยิ่งนัก หากมีเกราะเกล็ดปรากฏขึ้นมา ความแข็งแกร่งก็เพียงพอจะเทียบได้กับอาวุธเทพอากาศระดับยอดเลยทีเดียว ฝ่ามือของเขาน่าหวาดหวั่นอย่างยิ่งในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านพละกำลังหรือความเร็ว ต่อให้ยามนี้จะยังไม่มีเกราะเกล็ดปรากฏขึ้นมา ไม่ว่าพละกำลังหรือความเร็วก็ล้วนเหนือกว่าประมุขเจดีย์อสนีโรจน์ได้อย่างง่ายดาย สิ่งที่เขาเชี่ยวชาญที่สุดก็คือฝ่ามืออีกต่างหาก จึงย่อมสามารถสกัดกั้นกระบวนท่าของตงป๋อเสวี่ยอิงได้

“ประมุขวังปาอวิ่น อีกประเดี๋ยวก็จะรู้กันแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว

“เช่นนั้นข้าก็จะดูว่าผู้อาวุโสตงป๋อมีลูกไม้สักกี่มากน้อย” ประมุขวังปาอวิ่นยังคงยิ้มโดยไม่เสียท่าทีแม้แต่น้อย ขณะเดียวกันก็สกัดกั้นกระสวยยาวสีดำที่เข้ามาโจมตีอีกครั้ง

ฟิ้วๆๆ…

กระสวยยาวสีดำสิบหกเล่มรายล้อมประมุขวังปาอวิ่นเอาไว้ แล้วแปรเป็นเงารางเข้าโจมตีอย่างต่อเนื่อง คลื่นอานุภาพกระทบไปทั่วทุกทิศทุกทาง แล้วปะทะเข้ากับที่ครอบซึ่งปรากฏขึ้นมาตรงขอบเวที

“เอ๊ะ” สีหน้าของประมุขวังปาอวิ่นคอยๆ เปลี่ยนแปลงไป “ทำไม…”

“น่าสนใจ” ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนทั้งหลายที่ชมการต่อสู้อยู่บนแท่นสูงทั้งหลาย ทั้งเจ้าลัทธิภาพจิต ประมุขวังเจียงฝู่ จักรพรรดิสิงหั่วและคนอื่นๆทต่างก็พบความพิเศษของกระบวนท่าของตงป๋อเสวี่ยอิง

“เขาก้าวหน้ากว่าตอนต่อสู้กับอสนีโรจน์เสียอีก” เจ้าลัทธิภาพจิตเอ่ยชม

เป็นความจริง

หากเป็นตงป๋อเสวี่ยอิงตอนที่ประมือกับประมุขเจดีย์อสนีโรจน์ ต่อให้สำแดงกระบี่ที่หกผลาญโลกาออกมา ก็เพียงแค่โจมตีอย่างบ้าคลั่งจนปกฟ้าคลุมดินเท่านั้น

แต่เมื่อคิดค้น ‘บุปผาผลาญทำลาย’ ขึ้นมา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เข้าใจทั้งวิถีโลกเทียมและวิถีเข่นฆ่าได้ลึกซึ้งขึ้น เมื่อสำแดงและใช้งานก็ยิ่งประณีตมากขึ้น ทันใดนั้นกระสวยยาวสีดำสิบหกเล่มก็โจมตีต่อเนื่องกันโดยมีประมุขวังปาอวิ่นเป็นศูนย์กลาง แต่ละครั้งที่ถูกโจมตีกระเด็นไป พวกมันก็จะหยิบยืมพลังแล้วโจมตีเข้ามาอีกครั้ง นอกจากนี้วงล้อมที่เกิดจากกระสวยยาวสีดำสิบหกเล่มก่อตัวขึ้นมาก็ดุจดั่งโลกใบหนึ่ง

ทอดยาวต่อเนื่องกัน อานุภาพก็ต่อเนื่องกัน ไม่เพียงแต่อานุภาพแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น แต่ยังรวมตัวกันได้อย่างวิจิตรพิสดารอีกด้วย ประมุขวังปาอวิ่นถูกมือสองข้างบีบบังคับให้สกัดกั้นพร้อมกันอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว จึงเปลืองแรงเป็นอย่างมาก

“เป็นไปได้อย่างไรกัน” ประมุขวังปาอวิ่นไม่อยากจะเชื่อ “เหตุใดการเข่นฆ่าของขั้นรวมเป็นหนึ่งอย่างเขาจึงสามารถสำแดงออกมาถึงขั้นนี้ได้”

พิสดารเกินไปแล้ว

การเข่นฆ่าซึ่งเดิมโหดเหี้ยม เมื่ออยู่ในมือตงป๋อเสวี่ยอิงก็ราวกับดนตรี แฝงไว้ด้วยความงดงามอันวิจิตรพิสดาร! ความงดงามเช่นนี้พอจะมีความงดงามอันสมบูรณ์แบบของ ‘บุปผาผลาญทำลาย’ ให้เห็นหลายส่วนแล้ว หากโจมตีอย่างบ้าคลั่งมืดฟ้ามัวดิน เกรงว่าเมื่อกระสวยยาวสามสิบเล่มสำแดงกระบี่ที่หกผลาญโลกาออกมาพร้อมกันจึงมีแรงกดดันเช่นนี้

ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม

ระดับขั้นยิ่งสูงเท่าไหร่ ก็จะยิ่งสามารถสำแดงกระบวนท่าระดับต่ำได้ง่ายดายขึ้นเท่านั้น ที่ผ่านมาเขาสำแดงใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์ก็สามารถสำแดงออกมาได้พร้อมกันสิบห้าสาย! บัดนี้สามารถสำแดงออกมาพร้อมกันได้ถึงยี่สิบห้าสายแล้ว! ก็คือเข้าใจวิถีโลกเทียมได้สูงยิ่งขึ้น เมื่อสำแดงใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์เขาใช้พลังจิตน้อยกว่านี้ก็เป็นอันใช้ได้แล้ว! ส่วนวิถีเข่นฆ่าและวิถีโลกเทียม เมื่อเทียบกันแล้วก็ด้อยกว่าอยู่บ้างเล็กน้อย ขีดจำกัดของตนสามารถสำแดงกระสวยยาวกระบี่ที่หกผลาญโลกาออกมาพร้อมกันได้เพียงยี่สิบเล่มเท่านั้น!

ที่สำแดงออกมาสิบหกเล่มนั้น เขาได้เผื่อพลังจิตเอาไว้จำนวนหนึ่ง เพื่อป้องกันมิให้เกิดความเปลี่ยนแปลง

“พิสดารเกินไปแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าอาจต้านทานมิได้ก็เป็นได้!” ประมุขวังปาอวิ่นร้อนใจขึ้นมา ภายใต้การจับจ้องของผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วน ด้านบนยังมียักษ์ใหญ่ขั้นอลวนทั้งหลายอยู่ด้วย หากพ่ายแพ้ให้กับขั้นรวมเป็นหนึ่งคนหนึ่งน่ะหรือ ประมุขวังปาอวิ่นคิดดูแล้วก็มิอาจยอมรับได้

“อาวุธของผู้อาวุโสตงป๋อนี้เป็นอาวุธเทพอากาศระดับยอด ฝ่ามือของข้านี้ออกจะทนไม่ได้ขึ้นมาแล้ว”

ประมุขวังปาอวิ่นพูดพลางหัวเราะเสียงดังกังวาน มือคู่หนึ่งกลับมีแผ่นเกล็ดสีดำปรากฏขึ้นมาก่อนจะตะปบลงไปทันที อานุภาพแต่ละสายน่าหวาดหวั่นผิดธรรมดา ปังๆๆ กระสวยยาวสีดำเล่มแล้วเล่มเล่าถูกกระแทกจนกระเด็นลอยออกไปไกลลิบ เนื่องจากอนุภาคแตกต่างกันมากเกินไป จึงมิอาจหยิบยืมพลังได้อีก ความรู้สึกว่าต่อเนื่องกันก่อนหน้านี้ก็ถูกทำลายลงเสียแล้ว

“เกินไปแล้ว” พวกเจ้าลัทธิภาพจิตและประมุขวังเจียงฝู่ที่ชมการต่อสู้อยู่ด้านบนต่างพากันขมวดคิ้ว “ปาอวิ่นผู้นี้สำแดงพลังระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เจ็ดออกมา”

พวกเขาสามารถวิเคราะห์ได้ ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนส่วนใหญ่ก็สามารถวิเคราะห์ได้เช่นกัน

แต่ผู้บำเพ็ญธรรมดาสามัญจำนวนนับไม่ถ้วนที่ชมการต่อสู้อยู่ด้านล่างระดับขั้นต่ำเกินไปจึงไม่อาจวิเคราะห์ได้ สำหรับประมุขวังปาอวิ่นแล้ว เดิมทีในบรรดาขั้นอลวน ชื่อเสียงของเขาก็ธรรมดามากอยู่แล้ว ยอมถูกบรรดายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนหัวเราะเยาะ เขาก็มิอาจยอมได้…ว่าตนถูกขั้นรวมเป็นหนึ่งคนหนึ่งโจมตีจนพ่ายแพ้!

“อื้ม ไม่รักษาหน้าตาถึงเพียงนี้เชียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นเข้าก็หน้าถอดสี

“ฮ่าฮ่า ผู้อาวุโสตงป๋อ ไหนเจ้าว่าวิถีเข่นฆ่าอยู่ที่เก็บอย่างไรเล่า เมื่อฝ่ามือนี้ของเข้าตะปบลงไปคราหนึ่ง กระสวยของเจ้าก็กระเด็นกระจัดกระจายไปทั่วทุกทิศทุกทางแล้ว” ประมุขวังปาอวิ่นพูดยิ้มๆ

“ประมุขวังปาอวิ่น เช่นนั้นฝ่ามือของท่านมาทำลายกระบวนท่านี้ดูหน่อยปะไร” ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวยืนอยู่ตรงนั้น น้ำเสียงก็เย็นชาขึ้นมา

ฟิ้วววว…

โลกลวงคล้ายมีคล้ายไม่มี ตรงกลางโลกลวงนั้นมีดอกไม้สีดำอยู่ดอกหนึ่ง ซึ่งมีใบทั้งหมดสามใบด้วยกัน บนใบไม้ยังมีหยดน้ำม้วนตัวอยู่ ทั้งโลกลวงราวกับคงอยู่เพื่อดอกตูมสีดำดอกนี้ แต่หลังจากนั้นติดๆ ดอกตูมสีดำก็ร่อนลงจากกลางฟ้าและกลายเป็นความจริง ครั้งนี้เปลี่ยนแปลงกลายเป็นความจริงไปในทันใด โครมม…พลังฟ้าดินพลันโหมซัด ทำเอามิติภายในเวทีมีระลอกคลื่นพลังฟ้าดินปรากฏขึ้น ตรงกลางน้ำวนถึงขั้นถล่มยุบลงไปแล้ว หลุมที่ยุบลงไปมีพลังฟ้าดินจำนวนมากถาโถมเข้ามา

ดอกตูมสีดำปรากฏขึ้นแล้ว และรายล้อมประมุขวังปาอวิ่นเอาไว้อย่างสิ้นเชิง

กลีบดอกตูมเป็นสีดำแต่กลับโปร่งใสอยู่รางๆ จนสามารถมองเห็นเงาร่างของประมุขวังปาอวิ่นที่อยู่ด้านในได้เลยทีเดียว

“แค่กระบวนท่านี้น่ะหรือที่จะให้ข้าทำลาย” ประมุขวังปาอวิ่นหัวเราะเสียงดังกังวาน

ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับมองดูด้วยสายตาเย็นชา ในเมื่ออีกฝ่ายไม่อยากรักษาหน้า เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องไว้หน้าเขาแล้ว เรื่องที่บรรลุถึงเจดีย์ดาวชั้นที่เจ็ดเขาก็มิได้คิดจะปิดบังอยู่แล้ว เช่นนี้ก็ถือโอกาสนี้เปิดเผยเลยเถิด

ตู้มๆๆๆ…

ดอกตูมสีดำปรากฏขึ้นทีละดอกๆ ต่อเนื่องกัน ดอกไม้ดอกหนึ่งห่อหุ้มดอกไม้อีกดอกหนึ่งข้างในเอาไว้  มีดอกตูมสีดำทั้งหมดเจ็ดดอก ดอกไม้ดอกใหญ่ห่อหุ้มดอกเล็กเอาไว้ ด้านในสุดก็คือประมุขวังปาอวิ่นซึ่งถูกพันธนาการเอาไว้

“ทำลายให้ข้าเสีย” ประมุขวังปาอวิ่นยังคงมั่นใจผิดธรรมดา เขารับรู้ด้านวิถีโลกเทียมสูงส่งยิ่งจนมิทันได้สังเกตถึงความน่าหวาดหวั่นของ ‘บุปผาผลาญทำลาย’ ในรูปแบบดอกตูมซึ่งเก็บงำอย่างสิ้นเชิงในตอนนี้ บางทีตอนที่บานออกมา เขาจึงจะได้เข้าใจถึงความน่าหวาดหวั่นของกระบวนท่านี้

“ตู้ม!” มือทั้งสองของประมุขวังปาอวิ่นแทงเข้ามาอย่างดุเดือดพร้อมกัน

ดอกตูมสีดำแข็งแกร่งทนทานหาใดเปรียบ ตอนที่ยังไม่บานออกมาก็มีผลในการพันธนาการ ภายใต้การแทงอย่างดุเดือดของเขา ดอกตูมสีดำชั้นในสุดก็พลันเริ่มทำลายล้าง กลีบดอกบานออก อีกทั้งหลังจากนั้นติดๆ ก็แปรเป็นกระแสอากาศสีดำพร้อมกับใบของมัน แล้วเริ่มพังทลายทำลายล้าง มือทั้งสองของประมุขวังปาอวิ่นทำลายดอกตูมสีดำดอกที่หนึ่งลงได้ ยังมิทันได้ดีใจ ก็สามารถสัมผัสได้ว่าการโจมตีอันน่าหวาดหวั่นปะทะมา  ผู้ที่หยิ่งผยองเช่นเขาก็ยังคงไม่มีเกราะเกล็ดปรากฏขึ้นมาเหนือผิวกาย แต่ภายใต้อานุภาพนี้ ร่างกายของเขาก็ถูกฉีกออกทันที โลหิตสดๆ  หลั่งริน จากนั้นก็ได้รับบาดเจ็บ

นี่ยังเป็นเพราะตงป๋อเสวี่ยอิงไว้น้ำใจ จึงแค่ทำให้ดอกตูมสีดำดอกหนึ่งปะทุขึ้นมาเท่านั้น หากสามารถทำให้ปะทุขึ้นได้ทั้งเจ็ดดอก แล้วเขายังลำพองตนไม่ให้เกราะเกล็ดปรากฏขึ้นเหนือผิวกายแล้ว เกรงว่าคงจะได้รับบาดเจ็บสาหัสปางตายเลยทีเดียว

“อะไรกัน” ประมุขวังปาอวิ่นสีหน้าเปลี่ยนแปรไปแล้ว แค่ทำลายดอกตูมสีดำไปดอกเดียวเท่านั้น เขามัวแต่พะวงมิได้แล้ว ร่างกายฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว ผิวกายก็มีเกราะเกล็ดสีดำปรากฏขึ้น

ทุกอณูทั่วร่างล้วนมีเกราะเกล็ดสีดำปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง การป้องกันและการโจมตีล้วนแข็งแกร่งอย่างยิ่ง นี่จึงจะเป็นอานุภาพของเคล็ดวิชาสืบทอดมังกรปาหลง

“ทำลายให้ข้าเดี๋ยวนี้!!!” ด้านหลังของประมุขวังปาอวิ่นเกิดปรากฏการณ์ขึ้น เงารางของสัตว์ประหลาดเกล็ดสีดำขนาดมหึมาตนหนึ่งสะดุดตาหาใดเปรียบ ถึงขั้นที่ว่าร่างกายบางส่วนของสัตว์ประหลาดนั้นโผล่พ้นจากขอบเขตของดอกตูมสีดำไปแล้ว เนื่องจากตัวสัตว์ประหลาดเองก็เป็นเงารางอยู่แล้ว ดังนั้นดอกตูมสีดำจึงมิได้ขัดขวางแต่อย่างใด

ยามนี้บรรดายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนด้านบนทั้งหมดต่างพากันเหลือบมองลงมาเบื้องล่างด้วยความตกตะลึงพรึงเพริด

ประมุขวังปาอวิ่นสู้สุดชีวิตแล้ว!

“แตก!!!” กรงเล็บคู่หน้าของสัตว์ประหลาดเกล็ดสีดำขนาดมหึมาราวกับประสานรวมกับฝ่ามือทั้งสองของประมุขวังปาอวิ่นแล้วตะปบลงบนดอกตูมสีดำอย่างจัง ปังๆๆ ระหว่างที่ปะทะกับดอกตูมสีดำนั้น ดอกตูมสีดำแต่ละดอกก็บานออกมาอย่างต่อเนื่องกัน! แม้การทำลายล้างแต่ละระลอกจะปะทะเข้าลงบนร่าง แต่ประมุขวังปาอวิ่นก็ยังคงฝืนต้านรับด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม

เขาทำลายดอกตูมสีดำถึงห้าดอกให้แตกไปได้ในรวดเดียว จากนั้นก็ออกแรงทำลายดอกตูมสีดำชั้นนอกสุดอีกครา

ในที่สุดดอกตูมสีดำเจ็ดดอกก็ทยอยกันบานออก

น่าเสียดาย!

ในชั่วขณะที่บานออกนั้นเอง ดอกตูมสีดำอีกเจ็ดดอกก็ร่อนลงมาอีกครั้ง! พลังฟ้าดินรอบด้านกลายเป็นน้ำวนอันบ้าคลั่งไป ศูนย์กลางของน้ำวนถล่มลง รูที่ถล่มยุบลงไปนั้นมีพลังฟ้าดินจำนวนมหาศาลซัดสาดเข้าไป

“ตู้มๆๆๆ…” ประมุขวังปาอวิ่นทำลายอย่างบ้าคลั่ง

แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงเพียงแค่ยืนอยู่ห่างๆ ทำให้ดอกตูมสีดำดอกแล้วดอกเล่าร่อนลงไป ทำเอาประมุขวังปาอวิ่นพุ่งออกมามิได้อยู่ตลอด

หากไม่มีเคล็ดวิชาสืบทอดของปีศาจชาดที่ส่งผลช่วยเรื่องวิญญาณ วิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงก็คงจะสำแดงดอกตูมสีดำออกมาได้เพียงชั้นเดียวเท่านั้น! แต่เนื่องจากวิญญาณของเคล็ดวิชาสืบทอดของปีศาจชาดแข็งแกร่งพอ จึงสามารถสำแดงออกมาถึงเจ็ดชั้นได้! ดอกตูมสีดำเจ็ดดอก…เห็นได้ชัดว่าสามารถทำได้ถึงขั้นกดดันประมุขวังปาอวิ่นแล้ว ทว่าเกราะเกล็ดเหนือผิวกายของประมุขวังปาอวิ่นเทียบได้กับอาวุธเทพอากาศชั้นบน แต่กลับทำได้เพียงต้านทานเท่านั้น

“นี่ นี่ นี่…” หลังสำแดงกระบวนท่าออกไปต่อเนื่องกันหลายครั้ง ประมุขวังปาอวิ่นก็หยุดลงพลางมองดูกลีบดอกไม้สีดำขนาดมหึมาตรงหน้าด้วยความตะลึงงัน

ดอกตูมสีดำเจ็ดดอก ดอกหนึ่งห่อหุ้มอีกดอกหนึ่ง ยังคงพันธนาการเขาเอาไว้

การป้องกันร่างกายของเขาแข็งแกร่งแล้วอย่างไรเล่า ในเมื่อสังหารออกไปมิได้อยู่ดี

ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนเช่นเขา มีพลังระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เจ็ด เมื่อถูกพันธนาการเอาไว้ภายในดอกไม้เจ็ดดอกก็ออกไปมิได้แล้ว! เขาทุ่มเทสุดกำลังไม่เพียงแต่เอาชนะมิได้เท่านั้น ทั้งยังตกเป็นรองด้วยอย่างนั้นหรือ ทำได้เพียงอาศัยเกราะเกล็ดเพื่อรักษาชีวิตเท่านั้น

“เขา หรือว่าเขาบรรลุถึงระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เจ็ดแล้วอย่างนั้นหรือ” ประมุขวังปาอวิ่นมองดูเงาร่างสายหนึ่งซึ่งยืนอยู่บนเวทีการต่อสู้ด้านนอกได้รางๆ ผ่านกลีบดอกไม้สีดำกึ่งโปร่งใสขนาดมหึมา เขายังคงรู้สึกไม่อยากจะเชื่ออยู่ดี

……

บนแท่นสูง

ขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงดอกตูมสีดำ ยามนี้ประมุขวังเจียงฝู่ที่อกสั่นขวัญแขวนก็ผลุนผลันยืนขึ้นมา เขาจ้องมองดอกตูมสีดำเจ็ดดอกเบื้องล่างนั้น

“นั่นมัน…” ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น ยามนี้ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนถึงแปดท่านก็ผุดลุกขึ้นอย่างอดรนทนมิได้ พวกเขาจับจ้องเบื้องล่างด้วยความตระหนก

อย่างเจ้าลัทธิภาพจิตและบางคนนั้น แม้จะมิได้ยืนขึ้นมา แต่ก็มีคลื่นมหึมาสูงเทียมฟ้าก่อกำเนิดขึ้นในใจ

เจดีย์ดาวชั้นที่เจ็ดหรือ

สามารถกดดันประมุขวังปาอวิ่นได้โดยสิ้นเชิง ถึงขั้นเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัดมาก แน่นอนว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะต้องมีพลังระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เจ็ดอย่างไร้ข้อกังขา!

ในประวัติศาสตร์ โลกทิพย์ทั้งสองเคยมียอดฝีมือขั้นรวมเป็นหนึ่งระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เจ็ดถือกำเนิดขึ้นมาเพียงสองท่านเท่านั้น หากนับรวมโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมรวมถึงจนถึงบัดนี้ ทั้งประวัติศาสตร์รวมทั้งผู้ที่ตกอับไปด้วยแล้ว ผู้ที่สามารถบรรลุถึงระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เจ็ดได้ตั้งแต่ยังเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งก็มีเพียงแปดท่านเท่านั้น ซึ่งเจ็ดท่านจากจำนวนนั้นได้บรรลุถึงระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เก้าในภายหลัง ส่วนอีกคนเป็นเจดีย์ดาวชั้นที่แปดระดับยอด! แน่นอนว่าสามท่านในจำนวนนั้นก็ได้ตกอับไป

ดังนั้นขั้นรวมเป็นหนึ่ง ชั้นที่เจ็ด ก็แน่นอนว่าจะสามารถบรรลุถึงชั้นที่แปดระดับยอดได้ในระยะเวลาอันสั้น! ความหวังที่จะบรรลุถึงชั้นที่เก้าในภายหน้าก็สูงยิ่งเช่นเดียวกัน

“ขั้นรวมเป็นหนึ่งชั้นที่เจ็ด!” ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนทั้งแปดผุดลุกยืนขึ้นมา ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนคนอื่นๆ ก็จับตามองเวทีการต่อสู้เบื้องล่างด้วยเช่นเดียวกัน

ยามนี้…

พวกเขาล้วนเข้าใจว่า ได้เป็นประจักษ์พยานของประวัติศาสตร์แล้ว ได้เป็นประจักษ์พยานว่ามีขั้นรวมเป็นหนึ่งระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เจ็ดคนใหม่ถือกำเนิดขึ้น เขาคือคนที่สามในประวัติศาสตร์ของโลกทิพย์ทั้งสอง และเป็นคนที่เก้านับจากทั้งโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมจนถึงบัดนี้

เขาก็คือตงป๋อเสวี่ยอิงแห่งวังทวีสูญ!

 …………………………….