ตอนที่ 28 โดย ProjectZyphon
แม้จะมีกลยุทธ์ที่ละเอียดลงไปอีกอย่างเช่นการเข้าล้อมหรือถอยทัพ แต่ทิศทางที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือ ‘การโจมตีพร้อมกัน’ นั่นเอง
“ยังไงก็ตามแม้เราจะวางกลยุทธ์ไว้หลากหลายเพียงใด แต่ก่อนอื่นก็คงต้องลองปะทะโดยตรงๆ ดูก่อนจึงจะรู้กัน ฉันไม่รู้หรอกว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง แต่อย่างน้อยที่สุดก็จำเป็นจะต้องจัดการให้ยืดหยุ่นมากที่สุดเท่าที่จะทำได้”
อีฮโยอึลขยับกรามของหล่อนไปมาเพื่อให้แน่ใจว่าปากของหล่อนไม่ได้เจ็บเนื่องจากการพูดเป็นเวลานาน จากนั้นจึงฝังตัวลงกับเก้าอี้แล้วพูดต่อ
“เอาเป็นว่าการอธิบายรอบแรกจบลงแค่นี้ มีอะไรสงสัยไหม”
“นิดหน่อย เธอบอกว่าจะแบ่งทัพออกเป็นสี่ทัพตามเผ่า แล้วใครจะเป็นแม่ทัพแต่ละทัพล่ะ”
“โครยอ, คืนเดือนหงาย, ฮัน, กรีนนาเร่ ผู้เล่นที่ไม่มีเผ่าจะถูกแบ่งไปตามที่ที่ยังขาดกำลังคนอย่างเหมาะสม”
“โอเค แล้วเธอก็บอกว่ากำลังคนทั้งหมดคือหมื่นหกพันคน แล้วกำลังคนในแต่ละคลาสล่ะ”
“ผู้เล่นสายใกล้เคียง 8,100 คน, นักธนู 3,900 คน, นักเวท 2,800 คน, นักบวช 1,200 คน ไม่ใช่ตัวเลขที่ตายตัว แต่ก็ประมาณนี้”
อีฮโยอึลตอบโดยไม่ติดขัดราวกับคาดเดาคำถามของผมไว้อยู่แล้ว และเมื่อผมได้ฟังคำตอบผมก็จมดิ่งลงสู่ความคิดของตนเองทันที
ในรอบแรกนั้น ทางตะวันออกได้เดินทัพไปช่วงชิงบาร์บาร่าด้วยกำลังพลที่รวบรวมขึ้นมาด้วยตนเองและสุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้กับทางตะวันตกและพวกเร่ร่อนอย่างราบคาบ จริงอยู่ที่สถานการณ์ในตอนนี้ค่อนข้างจะแตกต่างอยู่พอสมควร แต่ความจริงที่ว่าทางตะวันออกนั้นสู้รบอยู่เพียงลำพังก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่นิดเดียว
หากจะพูดกันตามจริง ถ้าฟังแค่คำอธิบายเพียงอย่างเดียว ผมก็ไม่คิดว่าเราจะแพ้ แต่ความกังวลเล็กๆ ในใจกลับกระตุ้นความรู้สึกบางอย่างของผมอยู่ตลอด
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ ดูไม่สบายใจเอาเสียเลย”
“แค่รู้สึกแปลกๆ นิดหน่อย”
“หืม? อะไรกันล่ะที่ว่าแปลกน่ะ”
อีฮโยอึลถามผมอีกครั้งด้วยความสงสัย นั่นเป็นคำตอบที่ผมตอบไปโดยอัตโนมัติ ผมจึงสงสัยว่าผมควรพูดอย่างไรดีแต่สุดท้ายแล้วผมก็คิดว่าพูดออกไปตรงๆ คงจะเป็นการดีที่สุด
“ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าสงครามจะเป็นไปในทิศทางที่เราคาดไว้นี่ และในระหว่างที่ฉันเดินทางมาที่นี่ก็พอจะเห็นบรรยากาศมาบ้าง มีผู้เล่นบางคนที่คิดว่าเราจะชนะอยู่ด้วย เธอไม่คิดว่าเราประมาทกันเกินไปเหรอ”
“อ๋อ บรรยากาศน่ะเหรอ นั่นเป็นเพราะเรามีการใช้มีเดียเพลย์กันนิดหน่อยน่ะ”
“มีเดียเพลย์?”
“อืม แต่ว่าฉันก็ไม่ได้แต่งเรื่องหรอกนะ แค่แจ้งสถานการณ์ตามความเป็นจริงออกไปก็เท่านั้นเอง ยกตัวอย่างเช่น เหล่าผู้เล่นที่มีชื่อเสียงของทางตะวันออกถูกตัดออกจากกองทัพ เลยทำให้มีผู้เล่นหลายคนที่เข้ามาใหม่จากทางตะวันตกและภาคกลางกลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากมาย อะไรประมาณนี้? แล้วก็ปล่อยข่าวออกไปว่ามีราชินีแห่งดาบ, แพทย์, พยาบาล, นักมายากลไพ่ทาโร่ต์, มือสังหารส่งวิญญาณ, หมอศาสตร์มืด และอีกมากมาย อ้อ แล้วก็มีนายกับราชินีแห่งเงามืดจะเข้าร่วมด้วยน่ะ”
อีฮโยอึลชี้นิ้วมาที่ผมก่อนจะเอาแขนกอดอกไว้
“แต่ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีอะไรสามารถการันตีได้นี่ว่ามันจะเป็นไปตามที่นายพูดหรือตามที่ฉันคิดกันแน่ ตกลงว่านายกังวลเรื่องตัวแปรมากที่สุดสินะ?”
“ก็ตัวแปรน่ะสิ มันก็พอจะคล้ายกันอยู่นะ เพราะแม้เราจะมีผู้เล่นที่มีชื่อเสียงแต่ก็ใช่ว่าศัตรูจะไม่มี”
“อืม มาคิดๆ ดูแล้วนะฉันควรจะต้องบอกนายเรื่องนั้นเหมือนกันนี่เนอะ แต่ก่อนอื่น…เรามาตัดสินใจแล้วค่อยไปกันดีกว่า เมอร์เซนต์นารี่ล่ะจะทำยังไง”
“หืม? อะไรคือทำยังไง”
อีฮโยอึลเบิกตาโตเพราะการย้อนถามของผมก่อนจะเปิดปากพูดออกมาอีกครั้ง
“ก็ในเมื่อเราจัดทัพเกือบจะเสร็จหมดแล้วเมอร์เซนต์นารี่ก็ต้องเป็นส่วนที่เพิ่มเข้าไปน่ะสิ เดิมทีแล้วส่วนที่ฉันตัดสินใจเป็นสิ่งที่เหมาะสมแล้ว แต่เพราะเป็นการเข้าร่วมแบบได้รับมอบหมาย ดังนั้นฉันก็คิดว่าการให้สิทธิในการเลือกกับนายก็เป็นความคิดที่ไม่เลวทีเดียว”
“สิทธิในการเลือก?”
“อืม สิทธิที่จะเลือก เหนือ, ใต้, ออก, ตก นายอยากอยู่ในทัพไหนล่ะ ฉันจะบอกให้รู้ไว้นะว่าทั้งสี่ทัพต่างก็ต้องการตัวนายกันทั้งนั้น”
“ฉันอยู่ฝั่งตะวันตก”
จู่ๆ ผมก็ได้ยินเสียงพี่ที่ฟังอยู่เงียบๆ เพียงอย่างเดียวดังขัดขึ้นมา
ผมคิดอยู่สักพักก่อนจะตอบออกไป
“ฉันอยากรู้เรื่องของทางตะวันตกมากกว่านี้หน่อย”
ผู้เล่นทั้งหนึ่งหมื่นหกพันคนจะถูกแบ่งออกเป็นสี่กอง โดยใช้ ‘เผ่า’ เป็นเกณฑ์ในการแบ่ง ซึ่งการจัดทัพเป็นการแสดงให้เห็นถึงการพิจารณาเรื่องเครือข่ายผู้บังคับบัญชาอย่างเต็มที่ ซึ่งโดยปกติแล้วถือเป็นการผูกมัดผู้เล่นให้ใช้ชีวิตอยู่รวมกันในที่เดียวมากกว่าจะเป็นการผสมพวกเขาจากคนละทิศละทาง
และทัพที่เมอร์เซนต์นารี่รวมอยู่ด้วยนั้นจะกลายเป็น ‘ทัพหลัก’ ที่รับหน้าที่ในการบุกเข้าโจมตีประตูฝั่งตะวันตก
มีเหตุผลสองข้อด้วยกันที่ทำให้ถูกเรียกว่าเป็นทัพหลักที่จะบุกเข้าประตูฝั่งตะวันตก
เหตุผลข้อแรก เพราะเรามีแคลนลอร์ดโครยอที่ไม่ต่างจากผู้บัญชาการทหารตัวจริงในสงครามครั้งนี้
และอีกประการหนึ่งก็เพราะระดับและจำนวนของผู้เล่นที่ถูกจัดให้ไปอยู่ในทัพฝั่งประตูตะวันตกนั้นเหนือชั้นกว่าผู้เล่นในทัพอื่นไปอีกขึ้นหนึ่ง
เหตุผลที่ผู้เล่นทางประตูตะวันตกถูกแบ่งแยกจากกลุ่มอื่นก็ง่ายนิดเดียว อีฮโยอึลเชื่อว่าหากพวกศัตรูจะเจาะประตูตะวันตกแล้วหนีไป ซึ่งสันนิษฐานว่าพวกเขาอาจจะมีวาร์ปเกตของเมืองอื่น ก็อาจจะเป็นไปได้มากที่สุดว่าวาร์ปเกตนั้นจะออกมาจากประตูทางฝั่งตะวันตกนั่นเอง
ดังนั้นสภาพการณ์ของทัพหลักในเวลานี้สามารถพูดได้เต็มปากเลยว่า ล้วนมีแต่บุคคลที่เหมาะสมเก่งกล้าสามารถจนสามารถทำให้อ้าปากค้างได้เลย
ในตอนนี้มีทั้งหมด 4,782 คน ถ้าหากแยกเผ่าใหญ่ๆ และเหล่าผู้เล่นที่มีชื่อเสียงออกมา เราจะคัดได้เป็นแปดเผ่าและผู้เล่นอีกสิบเอ็ดคนด้วยกัน
เผ่าโครยอ : ซอจินอู (Normal, แม่น้ำทั้งสิบ)
เผ่ารีเวิร์ส : คิมด็อกพิล (Normal, นักฆ่าพวกเร่ร่อน), ฮอยูริ (Normal, ตัวตลกเปลวเพลิงบ้าคลั่ง)
เผ่าแฮมิล : คิมยูฮยอน (Secret, ราชาแห่งสายฟ้า)
เผ่าฮอสพิทอล : ซนชีฮยอก (Rare, หมอ), คังเยบิน (Normal, พยาบาล)
เผ่าช็อนดุน : นัมดาอึน (Secret, ราชินีแห่งดาบ)
เผ่าหอคอยแห่งเวทมนตร์ : ซอนยูล (Rare, นักมายากลไพ่ทาโร่ต์), คังแทอุค (Rare, หมอศาสตร์มืด)
เผ่าผู้ลอบสังหาร : อีชานฮี (Secret, มือสังหารส่งวิญญาณ)
เผ่าเมอร์เซนต์นารี่ : คิมซูฮยอน (Secret, ผู้ชำนาญดาบ), โกยอนจู (Secret, ราชินีแห่งเงามืด)
หากแบ่งตามพฤติกรรมที่เหมาะสมของแต่ละคนแล้ว นับว่ามีจำนวนเพียงหยิบมือเดียวจากทางภาคกลาง, ทางตะวันตกและทางตะวันออก และแม้จะแยก ‘ชื่อเสียง’ ออกจากคลาสหรือความสามารถโดยทั่วไปแล้วก็ยังได้เพียงเท่านี้เอง
แต่นี่ก็ยังไม่ใช่ทั้งหมด หากมองเพียงแค่ในเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ก็นับว่ายังไม่มีผู้มีความสามารถที่เป็นที่รู้จักเทียบเท่าจองฮายอนหรือวิเวียนเลยสักคน กล่าวคือ แม้จะมีความสามารถแต่ก็อาจจะยังมีผู้เล่นบางคนที่ซ่อนความสามารถของตนไว้ตั้งแต่แรกหรือไม่ก็ไม่มีชื่อเสียงก็เป็นได้
ผมเองก็มีเป้าหมายที่อยากทำให้สำเร็จในสงครามนี้อยู่ด้วย แต่ผมกลับคิดว่ามันออกจะโง่เง่าไปสักหน่อยหากผมจะเอาแต่วิ่งไปยังเป้าหมายนั้นเพียงอย่างเดียว เพราะการตักตวงทุกสิ่งเท่าที่จะสามารถทำได้ในขณะที่ยังมีแรงเหลืออยู่นั้นย่อมดีกว่าอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ
และเพราะผมคิดแบบนั้น ผมจึงตั้งใจจะใช้ดวงตาที่สามในระหว่างสงครามนี้ ความจริงที่ผมเข้าร่วมสงครามครั้งนี้หมายความถึงว่าผมสามารถยืนยันความสามารถของตนเองได้ และยังคิดว่าความหนักใจที่กำลังเพิ่มขึ้นนั้นจะลดน้อยลงได้อีกด้วย
เวลาผ่านเลยไปอย่างรวดเร็ว
ด้วยการจัดการที่รวดเร็วของอีฮโยอึล ทำให้เมอร์เซนต์นารี่ถูกเพิ่มเข้าไปยังทัพฝั่งประตูตะวันตกภายในวันเดียวกันที่เดินทางไปยังพรินซิก้า แต่นั่นยังไม่ใช่จุดสิ้นสุด การแบ่งทัพออกเป็นสี่ทัพนับว่าเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว ภายในแต่ละทัพก็ต่างมีการจัดการภายในของตนต่างหาก และสมาชิกเมอร์เซนต์นารี่ทุกคนก็จำเป็นจะต้องปรับตัวให้กลมกลืนกับระบบภายในที่ถูกจัดการเอาไว้แล้วให้เร็วที่สุด
ในขณะที่เรากำลังปรับตัวอยู่นั้น กำหนดการส่งทัพออกไปยังบาร์บาร่าก็กำลังใกล้เข้ามาทุกทีแล้วเช่นกัน
เป็นเวลาหลายวันแล้วที่ผมมาที่พรินซิก้าและกำหนดการออกเดินทางก็อยู่ใกล้เพียงปลายจมูกเท่านั้น
แม้ระหว่างนั้นผมจะค่อนข้างยุ่งก็ตาม แต่ผมยังคงเดินวนเวียนไปมาระหว่างทัพที่ถูกแบ่งเป็นคลาสต่างๆ โดยวางเวลาว่างที่ตอนนี้ยังไม่มีเอาไว้ก่อน เพราะถึงแม้ผมจะไม่มีอำนาจในการจัดการตามที่พวกเขาได้บอกมา แต่ในฐานะแคลนลอร์ด ผมก็ไม่สามารถละเลยเหล่าสมาชิกไปได้เช่นกัน
ในวันออกเดินทาง ผู้เล่นทุกคนจะเดินทัพออกไปเป็นขบวนที่ได้ถูกจัดแบ่งเอาไว้เพื่อเดินทัพเป็นขบวนใหญ่ โดยไม่ได้อยู่รวมกันกับสมาชิกเผ่าที่สนิทสนมกันและรูปแบบในการเดินจะถูกแบ่งออกตามคลาส
จริงอยู่ที่หลังจากนี้เรายังสามารถพบกันได้ แต่ก็อาจจะมีบางคนที่รับรู้บรรยากาศของสงครามและค่อยๆ ออกห่างกันไป ดังนั้นผมจึงจำเป็นต้องผูกมัดพวกเราเอาไว้
และในตอนนี้ผมก็กำลังจะไปพบกับผู้เล่นนักธนูอิมฮันนาเป็นการส่วนตัว นั่นก็เพราะหล่อนเป็นนักธนูเพียงคนเดียวในเมอร์เซนต์นารี่ ดังนั้นจึงทำให้อิมฮันนาไม่ถูกจัดให้อยู่กับสมาชิกเผ่าคนอื่นๆ
“คุณถูกแยกออกมาอยู่คนเดียวแบบนี้ไม่เหงาบ้างเหรอครับ”
“ถ้าบอกว่าไม่คงหาว่าฉันโกหกใช่ไหมคะ ถ้าอย่างนั้นทำไมคุณไม่หานักธนูเพิ่มอีกสักคนล่ะคะ”
“ก็ไม่เคยมีโอกาสได้เจอกับนักธนูเสียทีน่ะครับ กับคุณเอง หากไม่ใช่เพราะโกยอนจูช่วยแนะนำ ก็คงไม่ได้เจอเหมือนกันครับ”
“อะไรกัน ฉันแค่ล้อเล่นเองค่ะ ฉันรู้ค่ะว่ามันช่วยไม่ได้จริงๆ เพียงแค่บ่นอะไรไปตามประสาเท่านั้นค่ะ ฮ่าๆ”
เมื่อผมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักใจ อิมฮันนาก็ส่ายหน้าเบาๆ แล้วเผยรอยยิ้มเป็นมิตรมาให้ แม้แต่ผมเองก็ยังพอได้หัวเราะไปกับมุกตลกของหล่อนด้วย
“บ่นเหรอครับ อยู่ดีๆ ก็บ่นเนี่ยนะ มันแปลกเพราะปกติคุณไม่ใช่คนแบบนั้นน่ะสิ”
“ตายจริง ทำไมล่ะคะ ฉันก็เป็นผู้หญิงเหมือนกันนะคะ เวลาเหนื่อยๆ ก็อยากอ้อน อยากบ่นกับเขาบ้างเหมือนกันค่ะ”
“หืม? เหนื่อยเหรอครับ”
“อุ๊บ”
ผมไม่ปล่อยให้คำพูดของอิมฮันนาหลุดรอดไปได้ หล่อนตกใจกับความผิดพลาดของตนเองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะปิดปากสวยด้วยมือบอบบางของหล่อน
“ทำไมครับ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
“เอ่อ เรื่องนั้น…”
อิมฮันนาไม่ยอมพูดออกมาง่ายๆ สถานการณ์ในตอนนี้ค่อนข้างตึงเครียดเพราะดูเหมือนหล่อนจะไม่อยากบอกผม แต่ไม่ว่าอย่างไรผมก็อยากจะฟังให้ได้เพราะหากผมคิดไม่ผิดมันอาจจะเป็นปัญหาใหญ่ แม้ว่ามันจะดูเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม
“เอ่อ มันไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรหรอกค่ะ”
“ฮันนา ถ้าอย่างนั้นคุณก็บอกผมมาสิว่าทำไม อะไรที่ทำให้คุณเหนื่อย”
อิมฮันนาพยายามจะเปลี่ยนเรื่องอย่างลุกลี้ลุกลนแต่ผมก็ตัดมันขาดในฉับเดียว หล่อนมองดูท่าทีผมอยู่พักหนึ่ง จนในที่สุดผมก็เห็นว่าหล่อนกำลังจะเริ่มพูดและรู้สึกถึงความไม่เต็มใจในการทำตามคำพูดของผมได้
“คือ…ฉันแค่คิดว่าจะมีนักธนูจากแต่ละทัพมารวมตัวกันมากมายเพราะเราใกล้จะออกเดินทางเร็วๆ นี้แล้วน่ะค่ะ แต่ว่า…”
“ก็ควรจะเป็นแบบนั้นนะ แต่ว่าทำไมเหรอ”
อิมฮันนาทำปากยื่นกับการเร่งของผม แล้วจู่ๆ หล่อนก็ก้มหน้าลง ท่าทางของหล่อนดูราวกับว่าหล่อนกำลังเขินอายกับอะไรบางอย่างเป็นอย่างมาก จากนั้นหล่อนก็พึมพำเสียงเล็กเสียงน้อยตอบกลับมา ไม่สมกับเป็นหล่อนเลยสักนิด
“ทุกครั้งที่รวมตัวกันแบบนั้น ฉันได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจนรู้สึกอึดอัดใจน่ะค่ะ โดยเฉพาะกับพวกผู้ชาย…หลังจากการประชุมจบลงทีไรเป็นอันต้องมีคนเข้ามายุ่มย่ามอยู่เรื่อยเลยค่ะ…”
“….?”
ผมงงกับคำพูดที่ไม่มีปี่มีขลุ่ยของอิมฮันนาอยู่พักหนึ่ง และในขณะที่หล่อนเอียงศีรษะเพื่อที่จะฟังคำถามที่ถูกถามต่อให้ถนัดขึ้นนั้นการแต่งกายของหล่อนก็เข้ามาสู่สายตาผม
อิมฮันนากำลังสวมใส่ ‘เสื้อเหมันต์แห่งทิศอุดร’ ที่ปกคลุมตัวหล่อนอยู่ตั้งแต่ท่อนบนและท่อนล่าง และด้วยความที่เป็นเสื้อรัดรูปทำให้ส่วนเว้าส่วนโค้งของหล่อนถูกเปิดเผยออกมาอย่างชัดเจน
ยิ่งไปกว่านั้น เพราะแพคซอยอนได้ตัดแขนข้างขวาออกมาให้ผม ทำให้แขนเสื้อข้างขวาหายไป ผลก็คือทำให้ผิวขาวของอิมฮันนาเปล่งประกายจนแสบตา
ในตอนนั้นเองผมก็เริ่มเข้าใจในสิ่งที่อิมฮันนาพูด ในทางตรงข้ามกัน(?) ผมเคยคิดถึงตอนที่แพคซอยอนซึ่งเป็นคนรูปร่างผอมบางใส่มันอยู่นิดหน่อย แล้วถ้าหากเธอใส่ล่ะจะเป็นอย่างไรกัน
เป็นความโชคร้ายในความโชคดี ไม่สิ ความโชคดีในความโชคร้าย ก็คือเสื้อรัดรูปนั้นเป็นสีดำและมีใบไม้ของอิกดราซิลติดไว้ด้านนอกด้วย ซึ่งถ้าหากว่าโกยอนจูใส่เสื้อแบบนั้นบ้าง ถึงจะใส่แบบนั้น แต่ก็คงจะดูต่างจากอิมฮันนาอยู่เหมือนกัน หล่อนเป็นสาวงามที่อ่อนโยนและเป็นหญิงสาวที่เปล่งรัศมีอันงามสง่าออกมา แต่ร่างกายของหล่อนกลับดูเซ็กซี่อย่างบอกไม่ถูก และแม้จะเป็นความงามที่ดูขัดแย้งกัน แต่ผมก็รู้สึกถึงเสน่ห์ที่แปลกใหม่ของอิมฮันนาได้ เพราะแบบนั้นผมจึงได้แต่กลืนน้ำลายลงคอโดยไม่รู้ตัว