ส่วนที่ 4 ตอนที่ 173 ความลับไม่รั่วไหล

ความลับแห่งจินเหลียน

จ่านป๋ายถอนหายใจอย่างหมดปัญญา “คุณแจ็คสมิธคนนั้นติดต่ออยู่กับบริษัทจิวเวอรี่แห่งหนึ่งในอเมริกา ดังนั้นพวกเขาก็คิดที่จะเลียนแบบงานประมูลหินหยกเหมือนที่พม่า โดยการจัดเกมเดิมพันหินที่อเมริกา”

 

“ทำไมถึงคิดตลกสิ้นดี?” ซีเหมินจินเหลียนพูด “พวกเขาจะมีหินหยกสักเท่าไหร่กัน”

 

“จินเหลียน คุณก็ประเมินฐานะของนักธุรกิจอัญมณีของอเมริกาต่ำไปแล้ว” จ่านป๋ายส่ายศีรษะพูด “ทางรัฐบาลพม่านั่น ขอแค่มีเงินแล้วจะกลัวอะไรกับการซื้อหินไม่ได้? ส่วนประเทศจีนก็สะดวก มีนักเดิมพันหินตั้งมากมาย สามารถพูดได้ว่าถ้าหากกระจายพื้นที่ซื้อ ก็ไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องเดิมพันหินทะลุอย่างปรุโปร่งเหมือนคุณ ขอเพียงแค่รู้คร่าวๆ ก็ได้แล้ว”

 

“คนอเมริกาบ้าไปแล้วเหรอไง?” ซีเหมินจินเหลียนพูดพึมพำ

 

“คนอเมริกาไม่ได้บ้าหรอกครับ แต่พวกเขาฉลาดต่างหาก” จ่านป๋ายยิ้มแห้ง “ตลาดเพชรใหญ่ขนาดนี้ แต่เพชรยังห่างไกลกับความสดใสสวยหรูของหยกมาก หลายพันปีที่มีการเปลี่ยนแปลง ทำให้นักธุรกิจจิวเวอรี่ของอเมริกาจึงอยากเจาะตลาด แน่นอนคงอยากจะลอกเลียนแบบวัฒนธรรมหยกของคนตะวันออก หยกไขมันแพะที่อ่อนโยนเป็นจุดขายที่สำคัญ แต่หยกไขมันแพะแม้จะดูหรูหราอลังการ แต่ทางด้านความสดใสของสีกลับขาดหาย ไม่เหมือนกับหยกเจไดต์ที่ดึงดูดผู้คนให้เข้าหา จนบางทีความใสวาวของมันยังชนะขาดเพชรอีกต่างหาก”

 

เมื่อคิดถึงแหล่งกำเนิดแสงเย็นหยก ที่สามารถส่องแสงหลากสีออกมานั้น ช่างทำให้ผู้คนลุ่มหลงจริงๆ

 

 “คนอเมริกาอยากจะแย่งตลาดหยกของคนจีน?” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าพูด “พวกเราก็อยากจะเผยแพร่วัฒนธรรมหยกไปทั่วโลกเหมือนกัน คุณเคยบอกว่า แม้แต่รุกรานยังเริ่มรุกจากวัฒนธรรมเลย”

 

“ไม่ผิด ผมก็มีความคิดนี้” จ่านป๋ายพยักหน้า “ดังนั้นคนอเมริกาเลยคิดจะสร้างกระแสเรื่องหยก พวกเราก็ใช้โอกาสนี้ไปเล่นกันสักหน่อย หยกไม่ใช่สิ่งที่กำเงินมาอย่างเดียวแล้วจะซื้อได้ เรื่องนี้ต้องอาศัยจังหวะ คนรู้จักหยก หยกรู้จักคน หากไม่มีวาสนาต่อกัน เกรงว่าถึงจะนำหินปิดฟ้ามาตั้งไว้ตรงหน้าพวกเขา พวกเขาก็คงนึกแค่ว่าเป็นหินไม่มีคุณค่าราคาใดๆ

 

“คุณทำให้ฉันคิดถึงหยกเหอสื่อปี้! ซีเหมินจินเหลียนพูด “ครั้งก่อนคุณบอกลงทุนภาพยนตร์ไปเรื่องหนึ่งเพื่อที่จะเผยแพร่วัฒนธรรมหยกของประเทศจีน ก็ยังพอนับว่าเป็นความคิดที่ดี”

 

“ใช่สิ” จ่านป๋ายยิ้มปลอบประโลม “ผมก็คิดแบบนั้น ลงทุนภาพยนตร์สักเรื่อง เผยแพร่วัฒนธรรมหยกของประเทศจีน แม้แต่บทภาพยนตร์ผมยังคิดเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว”

 

ซีเหมินจินเหลียนเม้มปากยิ้ม “ตำนานเทพปิดฟ้า!”

 

“ใช่แล้ว!” จ่านป๋ายพูด “พวกเราคิดช่องทางได้แล้ว! หาคนมาเขียนเค้าเรื่อง จากนั้นเรื่องถ่ายภาพยนตร์ให้จ่านมู่ฮวาจัดการ ยังไงเขาก็คร่อมวงการนี้อยู่ตลอด รวมถึงสร้างกระแสไว้ก่อนหน้า เดี๋ยวผมลองติดต่อกับคุณสมิธดู ถ้าหากเขาต้องการจะทำธุรกิจหยก ต้องการที่จะโฆษณาเผยแพร่นำหยกตีสู่ตลาดโลกด้วยกัน ก็ต้องร่วมมือกับพวกเขา”

 

“ฉันเข้าใจ แต่…พวกเขาจะขายหยกในมือเหรอ?” ซีเหมินจินเหลียนพูด

 

จ่านป๋ายพยักหน้าพูด “พวกเขาอยากจะสร้างกระแสหยก เตรียมตัวจัดงานประมูลหยกเหมือนที่พม่าในลาสเวกัส จัดงานเดิมพันขึ้น ถึงเวลานั้นนักธุรกิจอัญมณีทั่วโลกคงต้องแก่งแย่งที่จะเข้าร่วม นี่ถึงเป็นการเดิมพันหรูหราที่แท้จริง ผมเดาว่าเกมการเดิมพันนี้คงเป็นการเดิมพันครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในลาสเวกัสตั้งแต่มีมา”

 

ซีเหมินจินเหลียนหลับตาคิดทบทวนพร้อมพยักหน้า “ถ้าหากเป็นแบบนี้จริง ก็เป็นโชคดีของฉัน และโชคดีของหยก! แล้วคุณสามารถหาวิธีให้ภาพยนตร์ของพวกเราปล่อยไปในงานเดิมพันวันแรกได้เหรอ?”

 

“ไม่น่ามีปัญหา ผมไปติดต่อกับพวกเขาเอง ผมว่า…คุณแจ็คคงไม่มีทางพลาดโอกาสโฆษณาครั้งยิ่งใหญ่นี้แน่!” จ่านป๋ายพูด “แต่คงต้องหาคนมาเขียนบทภาพยนตร์ให้ดี”

 

“ฉันจะพยายามเขียนบทภาพยนตร์ออกมาคร่าวๆ จากนั้นหาคนมากรองอีกทีก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร” ซีเหมินจินเหลียนพูด

 

“คุณเขียนบทภาพยนตร์เป็นด้วยเหรอครับ?” จ่านป๋ายพูด “ผมไม่เคยได้ยินคุณพูดถึง”

 

“ครั้งที่แล้วเหมือนฉันจะพูดว่าฉันเรียนคณะภาษาจีนมา แค่เขียนบทภาพยนตร์นิดหน่อยไม่ใช่ปัญหาอะไรหรอก” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มข่ม เพียงแต่เธอไม่ได้เขียนมานานแล้ว แต่เพราะว่ารู้เรื่องหยก เสริมกับความรู้ในเรื่องตำนานเทพธิดาปิดฟ้า เธอเลยอยากจะร่างเค้าโครงบทภาพยนตร์ออกมาสักหน่อย นี่มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร จากนั้นค่อยเกลาสำนวนภาษาให้ดี ส่งไปให้นักเขียนบทภาพยนตร์ก็ได้แล้ว ภายใต้แรงกระตุ้นนี้เธอกลัวก็แต่จะหาผู้กำกับที่ดีไม่ได้เท่านั้น

 

“ตกลง ถ้าอย่างนั้นคุณเขียนไปก่อน ถ้าไม่ได้ก็ค่อยส่งให้นักเขียนบทเป็นคนทำ ผมไม่ค่อยเชื่อใจคุณเท่าไหร่” จ่านป๋ายพูด “ลงทุนภาพยนตร์ไปหลักร้อยล้าน คุณอย่าทำเป็นเล่นเชียวนะครับ!”

 

“ไปตายเลยคุณน่ะ ฉันดูแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ?” ซีเหมินจินเหลียนเบิกตากว้างมองไปที่เขา ด้วยท่าทางออดอ้อนฉอเลาะ ไม่ได้มีพลังอำมหิตสักนิด

 

“โอเคๆๆ คุณจะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น” จ่านป๋ายยิ้ม “การเดิมพันหินของคุณกับอวิ๋นอวิ้นในวันมะรืนนี้ คุณคิดจะเดิมพันยังไงครับ”

 

ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ “หินหยกทั่วไป แน่นอนว่าคงไม่ยากเท่าอวิ๋นอวิ้นยัยปีศาจร้ายนั่น ฉันก็กำลังปวดหัวกับเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน! แถมยังไม่รู้ว่าเธอจะเอาหยกลักษณะอย่างไรมาเดิมพันกับฉัน”

 

“กฎกติกาเกมของพวกคุณเป็นยังไงเหรอ” จู่ๆ จ่านป๋ายก็ถามขึ้น

 

“เหมือนการเดิมพันหินใหญ่ทุกประการ สุดท้ายเจียระไนดูลักษณะหินหยกที่แต่ละคนส่งเข้ามาร่วมแข่งขันและตัดสินชี้ขาดว่าใครคือผู้ชนะ” ซีเหมินจินเหลียนลอบถอนหายใจออกมา ปัญหาก็คือ ในมือของเธอยังมีหยกสีเขียวจักรพรรดิที่ยังไม่ได้เจียระไนออกมา แถมช่วงนี้เธอยังไม่ค่อยได้ซื้อหินหยกด้วย หินหยกในงานเปลี่ยนหินกลายเป็นทองเล็ดรอดออกมาได้ก็ถือว่าโชคดีแค่ไหนแล้ว ยังจะหวังเจอหยกที่ดีกว่านี้อีกเหรอ?

 

เพราะนั่นเป็นของที่คนเขาเหลือทิ้งเอาไว้

 

“ฉันเองก็กลุ้มใจมาก” ซีเหมินจินเหลียนพูดพลางลุกยืนขึ้น รินน้ำหนึ่งแก้วก่อนจะดื่มเข้าไป จู่ๆ สีหน้าก็พลันเปลี่ยนสี…หยกราชางู? ของเดิมพันในครั้งนี้คือหยกราชางู หากพูดความจริงแล้วนี่เป็นของที่เธอไม่สามารถแพ้ได้

 

“วางใจเถอะครับ” จ่านป๋ายปลอบประโลมเธอ “ถ้าคุณแพ้ ผมจะช่วยคุณขโมยหยกราชางูกลับมาเอง!”

 

“คุณขโมยไม่ได้หรอก” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าอย่างเชื่องช้า โรงพยาบาลอวิ่นสือของอวิ๋นอวิ้น มีการคุมเข้มอย่างแน่นหนา อุปกรณ์กันขโมยครบครัน อยากจะขโมยของที่นั่นมันก็ไม่ง่ายเลย จู่ๆ ซีเหมินจินเหลียนก็ใจเต้นแรงแล้วรีบพูดขึ้น “เสี่ยวป๋าย…”

 

“เป็นอะไรไป อย่าทำให้ผมตกใจสิ!” จ่านป๋ายพูด

 

“ฉันมีหินหยกที่จะร่วมเดิมพันกับอวิ๋นอวิ้นแล้ว!” ซีเหมินจินเหลียนพูดขึ้นฉับพลัน “พรุ่งนี้ช่วยยืมเครื่องเจียระไนกับเครื่องตัดมาด้วย ถ้าหากไม่มีก็ซื้อใหม่เลย พวกเราจะไม่มีทางเสียหยกราชางูไป”

 

“เครื่องเจียระไนกับเครื่องตัดเหรอ? ไม่มีปัญหาครับ” จ่านป๋ายพูด “คุณอย่าลืมสิ หยางโจวมีโรงงานแปรรูปหยกเก่าแก่อยู่แห่งหนึ่ง พวกเราไปขอยืมก็ได้แล้ว”

 

“อืม เอาแบบนี้แล้วกัน” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มตาหยี

 

จ่านป๋ายรู้สึกแปลกใจ เมื่อสักครู่เธอยังกระวนกระวายใจอยู่เลย ทำไมตอนนี้ดวงตาถึงฉายความมั่นใจขนาดนี้ออกมาล่ะ? หรือว่าเธอจะมีความสามารถในการเปลี่ยนหินให้เป็นทองได้จริงๆ? ไม่อย่างนั้น… ถึงแม้เธอจะมีพรสวรรค์ในการเดิมพันหินหยก แต่ถ้าไม่มีหินหยกลักษณะดีแล้วจะเดิมพันอย่างไร? เพราะช่วงนี้ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้ซื้อหินหยกสักหน่อย

 

“จินเหลียน คุณบอกผมได้ไหมครับ?” จ่านป๋ายยิ้มออดอ้อน “ผมก็สงสัยมาก คุณจะเอาอะไรไปเดิมพันกับเธอ”

 

“ฉันไม่บอกคุณหรอก” ซีเหมินจินเหลียนพูด

 

“บอกผมเถอะนะ” จ่านป๋ายพูดออดอ้อน

 

“ก็ได้!” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มอย่างมีเลศนัย กระดิกนิ้วเป็นนัยให้จ่านป๋ายเข้ามาใกล้และรีบแนบชิดพูดไปข้างๆ หู

 

“ใช้คุณมาเดิมพันกับเธอ!” ซีเหมินจินเหลียนพูด “สัมผัสคุณก็เหมือนกับการสัมผัสหยก”

 

จ่านป๋ายไร้สติอยู่นานจากนั้นเข้าใจขึ้นได้ “คุณจะขายผมเหรอ?”

 

ซีเหมินจินเหลียนยิ้มอยู่บนโซฟา จ่านป๋ายรีบนั่งลงข้างเธอ “รีบบอกมาเถอะ คุณเฉไฉพอแล้วนะครับ!”

 

ซีเหมินจินเหลียนหัวเราะและกระซิบไปที่ข้างหูของเขาหลายประโยค จ่านป๋ายมึนงงพร้อมพูดอยู่นาน “นี่คุณก็จะโกงชัดๆ เลยนี่! ถ้าหากทำอย่างนี้อวิ๋นอวิ้นคงไม่มีทางได้ตัดสินลักษณะภายนอกของหินหยกแน่!”

 

“นี่แหละคือสิ่งที่ฉันต้องการ!” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มลำพองใจ

 

“ผมชื่นชมคุณมากเลยนะที่คิดได้แบบนี้!” จ่านป๋ายยิ้ม “นับวันคุณก็ยิ่งเจ้าเล่ห์มากขึ้นแล้ว…”

 

“ใครเจ้าเล่ห์กัน?” ซีเหมินจินเหลียนเบิกตากว้างพูดขึ้น

 

“ผมเจ้าเล่ห์…ผมเจ้าเล่ห์ไม่ได้เหรอ?” จ่านป๋ายหัวเราะแห้ง “ว่าแต่ หยกก้อนนั้นเป็นหยกยังไงกันแน่?” เขารู้ในเมื่อซีเหมินจินเหลียนกล้าที่จะเดิมพันกับอวิ๋นอวิ้น เธอต้องมีความมั่นใจในตัวเองอยู่ไม่น้อย

 

“ความลับ!” ซีเหมินจินเหลียนพูด “เอาเถอะ นี่ก็ดึกมากแล้ว รีบเข้านอนเถอะ พรุ่งนี้ยังมีเรื่องต้องจัดการอีกตั้งมาก จากนั้นพวกเราค่อยไปเดินเล่นที่โซ่วซีกัน! พอคุณไม่อยู่ ฉันก็กลัวว่าจะหาคนเดินเล่นที่ทะเลสาบโซ่วซีไม่ได้”

 

จู่ๆ จ่านป๋ายก็ดีใจอย่างที่สุด รู้สึกความสุขนี้ทำให้ตัวเขาล่องลอยอยู่บนกลีบเมฆ…

 

ในซุ่ยเย่ว์สวี่หยวน สวี่เซวียนหยวนนั่งแผ่หลาอยู่บนเก้าอี้ คนที่ยืนอยู่ข้างหน้าเขาคือสวี่อี้หรานที่อยู่ไม่เป็นสุข “เป็นอะไรไป”

 

สวี่อี่หรานตอบกลับไปอย่างใสซื่อ “ทุกครั้งที่ผมเห็นพ่อ ผมก็ประหม่าทุกครั้ง”

 

ประโยคเดียวกัน สวี่เซวียนหยวนได้ยินอยู่หลายครั้ง เพื่อที่จะไม่เพิ่มแรงกดดันให้แก่ลูกคนนี้ เขาจึงเลือกที่จะหลบหลีกไม่เจอเขา แต่เรื่องครั้งนี้ค่อนข้างแตกต่าง ถ้าหากเขาไม่ออกหน้า ใครรู้ว่าหมอมองโกลลูกของเขาจะทำเรื่องที่กำลังดำเนินไปได้ดีกลายเป็นอย่างนี้

 

“ฉันเป็นพ่อของแก” สวี่เซวียนหยวนถอนหายใจ “ไม่ใช่ศัตรู ไม่ต้องประหม่า!”

 

“ถ้าพ่อเป็นศัตรู ผมก็ไม่ต้องประหม่าแล้ว” สวี่อี้หรานทำหน้าตาน่าสงสารมองไปที่เขา “เป็นเพราะว่าพ่อเป็นพ่อนี่แหละ ผมเลยประหม่า”

 

“ฉันไม่ได้จะกินแกสักหน่อย” สวี่เซวียนหยวนถอนหายใจถาม “เรื่องเป็นยังไง”

 

“อะไรที่ว่าเป็นยังไง?” สวี่อี้หรานถามอย่างไม่เข้าใจ

 

“แกกับคุณซีเหมินคนนั้นยังไงกันแน่” สวี่เซวียนหยวนถาม “แกชอบเธอใช่ไหม”

 

สวี่อี้หรานที่เดิมทีกระสับกระส่ายอยู่นั้น ในเวลานี้ก็ยิ่งลุกลี้ลุกลน จนใบหน้าที่เคยซีดขาวกลับกลายเป็นสีแดงระเรื่อโดยไม่รู้ตัว…