ภาค 5 ผู้ขี่มังกรสู่ฟากฟ้า บทที่ 486 เก็บตราประทับตะวัน

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ในภาพนั้น สตรีผู้นั้นปรากฏตัวด้านหน้าตราประทับตะวันอย่างฉับพลัน

นางเดินอยู่บนผิวดวงอาทิตย์เหมือนไม่กลัวแสงสว่าง และความร้อนแรงของมันแม้แต่น้อย

มงกุฎจันทราที่อยู่บนศีรษะของนางสาดแสงบริสุทธ์หลายสาย เป็นแสงจันทร์ที่กระจ่างใสดุจสายน้ำ

เมื่อสัมผัสได้ถึงแสงสว่างจากมงกุฎจันทรา ตราประทับตะวันก็คล้ายถูกกระตุ้นเล็กน้อย

แววตาของสตรีนางนั้นจับตัวกันราวกับของแข็ง แสงสว่างสองสายสาดจากในดวงตาทั้งสองข้าง พุ่งลงบนตราประทับตะวันจนสั่นไหวขึ้นมาในทันใด

จากนั้นก็เห็นประกายแสงอันเจิดจ้ารวมตัวกัน ร่างจุติของจิตวรยุทธ์ที่เจ้าของเดิมของตราประทับซ่อนไว้บนอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนี้ ก็โผล่ออกมา

นางมองเงาคนที่รวมตัวกันจากแสงอาทิตย์อยู่เนิ่นนางไม่พูดจา

ถึงแม้ว่าใบหน้าของนางจะถูกแสงอาทิตย์ครอบคลุมไว้ จนไม่อาจมองเห็นใบหน้าที่แท้จริง แต่เยี่ยนจ้าวเกอก็รู้สึกถึงความผิดหวังของนางได้รางๆ

“ร่างจุติท่าหมัดหรือ? มิน่าท่านจึงทิ้งตราประทับตะวันไว้ที่นี่ ที่แท้ก็ให้ต้นหลี่ตายแทนต้นท้อ[1]” นางถอนใจเบาๆ เสียงหนึ่ง “ท่านปิดบังผู้คนมากมายจริงๆ แต่กลับไม่รูว่าตอนนี้ท่านไปอยู่ที่ใด”

นางมองตราตราประทับตะวัน พลางส่ายหน้าเล็กน้อย “ช่างเถิด ในเมื่อท่านทำเช่นนี้ ข้าจะไม่สร้างความลำบากแก่ท่าน ปล่อยตราประทับตะวันไว้ที่นี่ต่อไป รอคนที่มีวาสนาต่อมัน”

หลังจากนั้นนางก็กลับหลังหันจากไป น้ำเสียงอ้อยอิ่ง “…ข้าจะทิ้งมงกุฎจันทราไว้ที่โลกนี้เช่นกัน”

เยี่ยนจ้าวเกอดึงสติกลับมาจากภวังค์ แล้วเชื่อมโยงความคิดกับคำพูดของสตรีนางนั้น

‘หลังมหาภัยพิบัติ มียอดฝีมือรอดชีวิต’ เยี่ยนจ้าวเกอระบายลมหายใจ ‘สตรีนางนั้นมิใช่คนธรรมดาจริงๆ ด้วย แต่คิดไม่ถึงเลยว่านางจะเคยมาปฐพีพิภพ อีกทั้งยังเป็นคนรู้จักของเจ้าเดิมของตราประทับตะวัน’

‘ของประเภทเดียวกันย่อมรวมอยู่ด้วยกัน คนประเภทเดียวกันย่อมอยู่รวมกลุ่มกัน เกรงว่าพลังฝึกปรือของนางจะไม่ต่ำต้อย ต่อให้ไม่สูงนัก ก็น่าจะไม่น้อยกว่าเจ้าของตราประทับตะวันสักเท่าไร’

‘นางเองก็อยู่ในโลกแปดพิภพได้เช่นกัน การคาดการณ์ที่ข้าคิดว่าจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสี่ไม่อาจอยู่ในโลกใบนี้ได้นั้นผิดพลาด หรือความจริงแล้วยังมีเหตุผลอะไรอยู่อีก?’

‘หรือว่าหลังจากมีพลังฝึกปรือสูงถึงระดับหนึ่งแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดจำกัด สามารถเข้าสู่โลกแปดพิภพได้ตามใจ?’

หลังจากเยี่ยนจ้าวเกอครุ่นคิดครู่หนึ่ง เขาก็สลัดความคิด สายตามองไปยังตราประทับตะวันอีกครั้ง

ไม่ว่าจะเป็นตราประทับตะวันหรือมงกุฎจันทรา พวกมันก็ล้วนแข็งแกร่งกว่ากระบี่สัตยาทะเลมรกต มาตรสุริยันวัดสวรรค์ เสื้อคลุมนภา และขวานจามสวรรค์

เพียงแต่คนในยุคปัจจุบันไม่อาจใช้พลังทั้งหมดที่อยู่ด้านในได้ ได้แต่ใช้เพียงส่วนเล็กๆ เท่านั้น

เยี่ยนจ้าวใช้เสื้อคลุมเอกพิสุทธิ์คลุมฟางจุ่นไว้ จากนั้นก็เข้าใกล้ตราประทับสีทอง

ท่าหมัดวรยุทธ์ของเจ้าของตราประทับคนเดิมครั้งนี้กลายเป็นผนึก สะกดประตูทางเชื่อมระหว่างนพยมโลกและโลกแปดพิภพโดยสิ้นเชิง ตราประทับตะวันสามารถออกห่างจากที่นี่ได้ ไม่จำเป็นต้องอยู่ตลอดก็ได้

‘ต้นหลี่ตายแทนต้นท้อ…รอคอยผู้มีวาสนา…” เยี่ยนจ้าวเกอตกตะกอนความหมายที่อยู่ในคำพูด “ร่างจุติของท่าหมัดนั้นหายไปแล้ว ต้นหลี่ตายแทนต้นท้อ ปิดบังผู้อื่นเรียบร้อย ประตูนพยมโลกก็ถูกผนึกเอาไว้แล้ว หมายความว่าสามารถเก็บตราประทับตะวันไปได้แล้วกระมัง?’

ตราประทับตะวันในตอนนี้เป็นสีแดงคล้ายหยกคล้ายสำริด เหมือนกับเป็นตราประทับทั่วไป

เยี่ยนจ้าวเกอยื่นฝ่ามืออกมา กลางฝ่ามีแสงอาทิตย์สว่างขึ้น กำตราประทับตะวันเอาไว้

ตราประทับตะวันสั่นไหวเล็นก้อย แสงสีทองสว่างขึ้นแล้วหายไป พริบตาเดียวก็เงียบงันเหมือนเก่า

‘สตรีแห่งจันทราบรรลุสู่ะดับปรมาจารย์ก็สามารถใช้มงกุฎจันทราได้แล้ว แต่ตราประทับตะวันกลับเหมือนต้องการให้พลังฝึกปรือของข้าสูงกว่านี้’

คิ้วของเยี่ยนจ้าวเกอขมวดขึ้น จากนั้นก็คลายออก ‘มงกุฎจันทรา มีเพียงสตรีที่มีร่างแห่งจันทราเท่านั้นจึงจะใช้ได้ แต่ตราประทับตะวันนี้ไม่ต้องการเงื่อนไขพิเศษอันใด เพียงต้องฝึกฝนคัมภีร์เทพดวงอาทิตย์เท่านั้น’

ครั้นคิดถึงคัมภีร์เทพดวงอาทิตย์ เยี่ยนจ้าวเกอก็ครุ่นคิดเล็กน้อย ถึงแม้จากการทำความเข้าใจจิตพลังของตราประทับตะวัน ตนเองจะขัดเกลาคัมภีร์นี้ได้คร่าวๆ แล้ว

ทว่าสิ่งที่ได้จากคัมภีร์เทพดวงอาทิตย์นี้ ก็มีเพียงความหมายที่แท้จริงของพลัง ซึ่งบริสุทธ์และดั้งเดิมในเวลาเดียวกัน สอดคล้องกับหลักการแห่งฟ้าดิน

คงจะต้องใช้เวลาอีกมาก หากคิดจะใช้พลังของมันโดยสมบูรณ์ รวมถึงทำความเข้าใจความอัศจรรย์ทั้งหมดที่อยู่ภายใน

หากต้องการวิเคราะห์ความอัศจรรย์ของคัมภีร์เทพดวงอาทิตย์ ก็คงต้องใช้วิธีเช่นเดียวกันกับการถอดรหัส

ขณะที่กำตราประทับตะวัน เยี่ยนจ้าวเกอก็สูดหายใจลึก ลองใส่มันลงในถุงย่อส่วน

เมื่อใส่เข้ามันเข้าไปได้แล้ว ตราประทับตะวันกลับไม่มีปฏิกิริยาใด เพียงอยู่ในถุงย่อส่วนอย่างมั่นคง เหมือนกับตราประทับสำริดทั่วไป

‘ของวิเศษซ่อนความสามารถ อยู่ในสภาวะหลับไหล พลังถูกเก็บโดยสิ้นเชิง ไม่ไหลออกมาด้านนอก’ เยี่ยนจ้าวเกอผงกหัวเล็กน้อย

ก่อนหน้านี้ซากศพมังกรที่ตายไปแล้วมีพลังชีวิตไม่เสถียร หากไม่ใช้เสาระเบียงวังเทพสะกดไว้ ก็ไม่อาจเก็บในถุงย่อส่วนได้

อาวุธศักดิ์สิทธิ์เช่นเสื้อคลุมนภาก็ไม่อาจเก็บใส่ถุงย่อส่วนได้เช่นกัน ดังนั้นเยี่ยนจ้าวเกอในตอนนี้จำเป็นต้องพาฟางจุ่นและเสื้อคลุมนภาออกไปเอง

หลังจากร่างของเยี่ยนจ้าวเกอลอยขึ้นด้านบน จนออกจากเหวลึกได้แล้ว เขาก็ก้มศีรษะมองดู

ปฐพีพิภพยังคงเป็นปฐพีพิภพ มีพลังชั่วร้ายครอบคลุมอยู่ สิ่งมีชีวิตทั้งหลาดมิอาจเข้าใกล้ แต่ก็ไม่ได้มีกลิ่นอายมารมากมาย และเหมือนวันสิ้นโลกอีกแล้ว

หยุดการคุกคามจากนพยมโลกถูกไว้ได้ชั่วคราว

มนุษยชาติไม่จำเป็นต้องกังวลว่ามารร้ายจากนพยมโลกจะทะลักเข้ามาสร้างภัยพิบัติ ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าอเวจีจะขยายใหญ่ และเปลี่ยนโลกทั้งใบให้กลายเป็นดินแดนแห่งความตายอีก

แต่ว่าเรื่องทั้งหมดนี้กลับทำให้จอมยุทธ์ในโลกแปดพิภพ ต้องแลกด้วยปัจจัยพื้นฐานที่ถูกทำลายสาหัส

ยังไม่ต้องพูดถึงว่า อาจารย์ปู่หยวนเจิ้งเฟิงของตนหายไปในกระแสปั่นป่วนของมิติ อาจารย์ลุงสองฟางจุ่นได้รับบาดเจ็บสาหัสเกือบเสียชีวิต หลับไหลไม่ยอมฟื้น

ยอดฝีมือมากมายของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ ได้แก่ เขากว่างเฉิง ตำหนักอัสนีสวรรค์ หอคลื่นโหม สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ต้องฝังร่างอยู่ที่นี่ตลอดกาล

ในหมู่คนที่เข้ามายังปฐพีพิภพเพื่อหยุดการพังทลายของผนึก ไม่ให้นพยมโลกมาถึงในตอนแรก นอกจากหวงกวงเลี่ยและอันชิงหลินที่ไปเสริมกำลังทางทะเลตะวันออกก่อนหน้านี้ รวมถึงเฉินลี่ที่หนีไปกลางคัร ในตอนท้ายมีแค่ตนกับอาจารย์ลุงสองที่รอดมาได้

เนื่องจากอันตรายเกินไป ยอดฝีมือจากแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่แห่งที่เข้ามายังปฐพีพิภพ นอกจากเยี่ยนจ้าวเกอแล้ว ทั้งหมดล้วนเป็นมหาปรมาจารย์ขั้นรูปญาณทั้งสิ้น

ยอดฝีมือระดับนี้เป็นบุคคลที่อยู่บนจุดยอดสุดของเจดีย์ทองในโลกแปดพิภพ

แต่ว่าตอนนี้พวกเขากลับต้องหลับไหลอยู่ในปฐพีพิภพตลอดกาล แม้แต่กระดูกก็หาไม่พบ

เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกโศกเศร้ายิ่ง หลังจากผ่านภัยพิบัติเขากว่างเฉิงในอดีต และมหาสงครามกับปีศาจอัคคีที่ทะเลตะวันออกในครั้งก่อน จอมยุทธ์เขากว่างเฉิงของตนได้รับบาดเจ็บจนถึงญาณ

ผู้อาวุโสทั้งหมดที่เข้ามายังปฐพีพิภพในครั้งนี้ล้วนเสียชีวิต ทำให้ทั้งเขากว่างเฉิงเจ็บปวดหัวใจอย่างยิ่ง

ทั่วทั้งเขากว่างเฉิงในปัจจุบัน นอกจากผู้อาวุโสระดับหนึ่งแล้ว ผู้อาวุโสในสำนักคนอื่นมีจำนวนน้อยมาก

การสูญเสียอย่างสาหัสเช่นนี้ ต่อให้เขากว่างเฉิงมีเวลาก็ชดเชยกลับมาไม่ได้

สามสำนักที่เหลือ นอกจากหอคลื่นโหมแล้ว สถานการณ์ล้วนไม่ต่างกัน

ชายหนุ่มออกมาจากเหวลึก มายังชายแดนปฐพีพิภพ ณ ที่แห่งนี้ อาหู่และคนในสำนักกำลังรอคอยข่าวด้วยความกระวนกระวาย

พวกเขาเห็นความผิดปกติของปฐพีพิภพหายไปก็รู้สึกยินดี หลังจากเจอเยี่ยนจ้าวเกอ และได้ฟังสถานการณ์คร่าวๆ จิตใจก็กลายเป็นหนักอึ้ง

“ไอ้เฒ่าหัวล้านเฉินลี่!” เมื่อได้ยินว่าเฉินลี่หนีไปกลางทาง อาหู่ก็สบถคำหยาบออกมา

สายตาของเยี่ยนจ้าวเกอเย็นเยียบ “มีเวลาคิดบัญชีกับเขาอยู่”

เขามองอาหู่ “ทะเลตะวันออกเป็นอย่างไรบ้าง”

อาหู่รีบดึงสติ แล้วร้อนรนกล่าวว่า “คุณชาย ท่านประมุขออกฌาน บรรลุธรรมสู่ระดับศักดิ์สิทธิ์แล้ว!”

เยี่ยนจ้าวเกอได้ยินดังนั้น จิตใจก็รู้สึกฮึกเหิม

ขณะที่แจ้งข่าวดี อาหู่ก็รีบบอกข่าวที่ตนรู้แก่เยี่ยนจ้าวเกอ “พวกท่านประมุขกำลังยันกับปีศาจอัคคีอยู่ใกล้ๆ ประตูทางเชื่อมเขตแดน”

“ยันกันหรือ?” เยี่ยนจ้าวเกอไตร่ตรองเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวว่า “ข้าจะไปทะเลตะวันออก พวกเจ้าคุ้มครองอาจารย์ลุงสองกลับสำนัก”

หลังจากถ่ายทอดคำสั่งเสร็จ เยี่ยนจ้าวเกอก็เคลื่อนไหวร่าง รีบไปที่ทะเลตะวันออกทันที

……………………………………….

[1] ต้นหลี่ตายแทนต้นท้อ สุภาษิตจีน หมายถึง เสียสละส่วนน้อยเพื่อส่วนมาก