บทที่ 772 จั่วอี้เซียนเป็นสัตว์เลี้ยงอย่างนั้นหรือ

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หวังเป่าเล่อถอนหายใจ ชื่อเสียงของเขาจะต้องป่นปี้เพราะลูกของตนเอง หลังจากไตร่ตรองอยู่สักพักก็สรุปได้ว่าสิ่งเดียวที่ทำได้ตอนนี้คือใช้เวลาไปกับโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกา ชายหนุ่มจะใช้จุดนี้ทำให้ตัวเองมีจุดยืนที่มั่นคงในกองทหารวิหคน้ำแข็งและไต่เต้าขึ้นไปเรื่อยๆ

ข้าจะต้องพยายามอย่างหนัก หน้าที่ของข้าคือไต่เต้าขึ้นไปอยู่สูงๆ ในกองทัพที่ปกครองด้วยหญิงสาวนี้ นอกจากนั้น สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ยังมีเคล็ดการหลอมวัตถุเวทที่พิเศษมาก ถ้าอยากจะสร้างรายได้ในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ข้าต้องสร้างชื่อเสียงและแสดงความสามารถให้เป็นที่ประจักษ์ก่อน! หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึก เขาอยากมีกองทัพเป็นของตัวเองและพากองทัพไต่อันดับขึ้นสูง หากทำได้จริงทั้งสองอย่าง ชายหนุ่มก็จะสามารถนำเคล็ดวิชาขั้นสูงของวิชาดวงเนตรปีศาจจากดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์มาไว้ในครอบครองได้

ขณะเดียวกัน เขายังสามารถใช้โอกาสนี้เพื่อเข้าหาราชตระกูลและหาทางลัดในการเก็บเคล็ดวิชาดังกล่าวได้ด้วย

น่าเสียดายที่หวังเป่าเล่อผู้นี้เป็นคนยึดมั่นในหลักการ จึงไม่มีทางใช้รูปโฉมอันงดงามของตัวเองเพื่อทำตามเป้าหมาย แม้ว่าการทำเช่นนั้นจะทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นก็ตาม หวังเป่าเล่อถอนหายใจปลอบประโลมตนเองขณะนึกชื่นชมศีลธรรมอันดีงามของตน ดวงตาของเขาฉายแสงวาบขึ้น ชายหนุ่มผลักทุกอย่างทิ้งไปและทำหัวให้โล่ง เขาไม่ได้เริ่มหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาในทันที แต่เริ่มศึกษาโครงสร้างภายในและตรวจสอบกระบวนการหลอมอีกรอบเพื่อความมั่นใจ

สามวันผ่านไป เป็นเวลาสิบวันแล้วตั้งแต่หวังเป่าเล่อได้รับวิธีการหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกามา ชายหนุ่มจับหลักการของวัตถุชิ้นนี้ได้จากการศึกษาอย่างหนักและทำการทดลองอยู่หลายครั้งเพื่อให้มั่นใจว่าตนเข้าใจทั้งหมดดีแล้ว เขาไม่พบช่องโหว่หรือสิ่งที่มองข้ามไประหว่างการทดสอบซ้ำๆ ทำให้หวังเป่าเล่อจบการศึกษาทดลองได้ในที่สุด เขาเงยหน้าขึ้น สูดหายใจลึก แววความมุ่งมั่นฉายวาบในดวงตา

อาวุธเวทระดับเก้าไม่ใช่สิ่งง่ายดาย ข้าต้องใช้เวลาถึงสิบวันเพื่อศึกษาสองระดับแรกของวัตถุนี้…มันช่างลึกล้ำเสียจริง ข้าไม่ควรนึกดูถูกผู้อื่นอีก หวังเป่าเล่อถอนหายใจพร้อมส่ายหัว เขาโยกมือขวาขึ้น วัตถุดิบมากมายจากกำไลคลังเวทลอยออกมาปรากฏเบื้องหน้า ชายหนุ่มรวบรวมสมาธิและเริ่มกระบวนการหลอมโดยใช้ความรู้ที่ได้จากการศึกษามาเป็นเวลานาน!

ความสามารถในการหลอมวัตถุเวทของหวังเป่าเล่อในตอนนี้มาจากความรู้ของสามอารยธรรม การผสานรวมกันของทั้งสามระบบทำให้ระดับการหลอมวัตถุเวทของชายหนุ่มเพิ่มขึ้นไปอีก เขาเองก็ไม่มั่นใจว่าทักษะการหลอมของตนอยู่ในระดับใด แต่การศึกษาวิธีหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกามาอย่างละเอียดจะไม่เปิดช่องให้เกิดข้อผิดพลาดใดๆ ขึ้นในกระบวนการหลอม

สองวันต่อมา หยกยาวเจ็ดนิ้วส่องแสงคล้ายมรกตก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้าหวังเป่าเล่อ

หยกเจ็ดนิ้วทรงแบนราบมีลักษณะคล้ายเรือสำปั้น หากยกขึ้นตั้งตรงจะดูเหมือนโล่ทรงดาบใบไม้!

วัตถุเวทชิ้นนี้แผ่พลังล้นเหลือออกมาทั่วห้องอย่างต่อเนื่อง ตัวอักขระนับไม่ถ้วนไหลวนไปทั่วแผ่นหยก เหมือนดังของเหลว เห็นได้ชัดว่าวัตถุเวทชิ้นนี้นั้นไม่ธรรมดา

แม้หวังเป่าเล่อจะเป็นคนหลอมโล่หยกยาวเจ็ดนิ้วชิ้นนี้ขึ้นมากับมือและเข้าใจการทำงานภายในอย่างละเอียด ถึงกระนั้นเขาก็ยังตื่นตะลึงไปเมื่อได้เห็นรูปโฉมของมัน หลังจากนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ เขาก็ยกมือขวาสร้างผนึกฝ่ามือและส่งลำแสงออกจากปลายนิ้ว โล่หยกเจ็ดนิ้วดูดซับแสงเข้าไปทันที ก่อนสะท้อนออกมาเป็นอักขระมายามากมายรายล้อมรอบตัวชายหนุ่ม จากนั้นก็แปรเปลี่ยนกลายเป็นโล่กึ่งโปร่งแสงที่มีหวังเป่าเล่อเป็นศูนย์กลาง

ชายหนุ่มพินิจพิเคราะห์โล่ที่อยู่รอบตัว เขาก้าวออกไปด้านนอกโล่และยกมือขวาขึ้นจิ้ม พลังพลันพวยพุ่งผ่านนิ้วมือของหวังเป่าเล่อและผลักเขาออกไป

วัตถุเวทชิ้นนี้มีความยากในการหลอมอยู่ในระดับสูงมาก ข้าต้องใช้เวลาเกือบสองสัปดาห์กว่าจะจบกระบวนการทั้งหมด เป็นของที่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ! เมื่อสัมผัสได้ถึงแรงสะท้อน ดวงตาของหวังเป่าเล่อก็ฉายแสงผิดแปลกไปขณะประเมินความแข็งแกร่งของแรงที่สัมผัสได้ หลังจากไตร่ตรอง เขาก็ตัดสินใจหลอมวัตถุเวทต่อและพยายามเสริมพลังของมันไปเป็นระดับแปด

กระบวนการหลอมเริ่มท้าทายขึ้นเรื่อยๆ ถึงกระนั้น หวังเป่าเล่อก็สามารถจัดการปัญหาที่พบได้จากการศึกษาอย่างละเอียดและทักษะของตนเอง สามวันต่อมา เขาก็เสริมพลังโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาขึ้นไปเป็นระดับสองได้!

รูปลักษณ์ของโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาเปลี่ยนไปจากตอนระดับหนึ่งมาก แสงรอบๆ ส่องสว่างกว่าเดิม ตัวอักขระเพิ่มจำนวนมากขึ้น หมุนวนไปมายุ่งเหยิงพร้อมทั้งเปล่งพลังทรงอำนาจ แต่หวังเป่าเล่อก็ยังไม่พอใจกับผลงานของตนเอง

เด่นเกินไป…ไม่ดีเลย คนอื่นจะระวังตัวเมื่อเห็นมัน คงจะเอาไปใช้ในการซุ่มโจมตีหรือวางกับดักได้ยาก หวังเป่าเล่อครุ่นคิดถึงการนำโล่ไปใช้งานจริงในการต่อสู้ วัตถุเวทชิ้นนี้ยอดเยี่ยมในทุกแง่มุม ยกเว้นรูปลักษณ์ซึ่งไม่เหมาะกับวิธีการต่อสู้ที่ไม่เหมือนใครของเขาเลย หลังจากครุ่นคิดสักพัก ชายหนุ่มก็ตัดสินใจปรับปรุงเพิ่มเติม เขาแยกตัวอักขระใหม่ที่ปรากฏขึ้นหลังจากการเสริมพลังและหลอมพวกมันเข้ากับอักขระดั้งเดิมที่ปรากฏขึ้นตอนหลอมขั้นแรก วัตถุเวทในตอนนี้มีรูปโฉมเหมือนตอนระดับแรกไม่มีผิด หวังเป่าเล่อพึงพอใจกับผลลัพธ์และเริ่มเสริมพลังต่อทันที

การเสริมพลังครั้งที่สามเสร็จสมบูรณ์ในหลายวันต่อมา เหมือนเช่นที่เคยทำในครั้งที่สอง หวังเป่าเล่อแยกตัวอักขระที่เพิ่มขึ้นมาและหลอมเข้ากับอักขระดั้งเดิม รูปลักษณ์ของวัตถุเวทจึงยังคงเดิม แต่ถ้าได้ทดสอบพลัง จะตระหนักได้ถึงพลังที่เพิ่มขึ้นของวัตถุเวทชิ้นนี้ในทันที

พลังสะท้อนการโจมตีกลับที่เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละสิบห้าจากพลังดั้งเดิมเป็นการเสริมความสามารถในการโจมตีของวัตถุเวทชิ้นนี้ เป็นเหมือนการเสริมพลังเทพขึ้นร้อยละสิบห้า พลังที่เพิ่มขึ้นสามารถตัดสินแพ้ชนะในการต่อสู้จริงได้!

หวังเป่าเล่อพอใจกับผลลัพธ์มาก แต่ไม่นานเขาก็ต้องพบปัญหาในการเสริมพลังวัตถุเวทไประดับสี่

การเสริมพลังครั้งนี้มีความท้าทายมาก ถึงกระนั้นก็เป็นความท้าทายที่หวังเป่าเล่อสามารถก้าวข้ามได้ด้วยทักษะการหลอมวัตถุเวทของตนเอง ปัญหาอยู่ที่การเสริมพลังครั้งนี้ต้องใช้วัตถุดิบที่เรียกว่าใบไม้ปรับวิญญาณซึ่งเป็นวัตถุดิบที่อยู่ในการควบคุมของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ การจะหาซื้อจากนอกสำนักนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย ทางเดียวที่จะหามาได้คือซื้อกับทางสำนัก และการจะทำเช่นนั้นจะต้องมีสิทธิ์การเข้าถึง

สิทธิ์การเข้าถึงของหวังเป่าเล่อในตอนนี้อยู่ในระดับพื้นฐาน ทำให้ไม่สามารถซื้อใบไม้ปรับวิญญาณได้ เขาเกาหัว จากนั้นก็หันไปมองโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับสาม ชายหนุ่มไม่มีทางเลือกอื่นจึงออกจากการถือสันโดษและมุ่งหน้าไปยังที่พำนักของผู้บัญชาการเทพธิดาหลิงโยว

ตำแหน่งผู้บัญชาการกองทหารวิหคน้ำแข็งทำให้เทพธิดาหลิงโยวยุ่งอยู่ตลอด ยิ่งตอนนี้หญิงสาวต้องเตรียมการเลื่อนอันดับกองทัพจึงยิ่งยุ่งเข้าไปใหญ่ ดังนั้นนางจึงไม่ค่อยพอใจนักที่หวังเป่าเล่อโผล่มาขัดจังหวะ นางไม่ได้ซ่อนความรำคาญใจที่มีแม้แต่น้อยตอนเรียกชายหนุ่มให้เข้าพบ

“หลงหนานจื่อ เจ้าต้องการอะไร”

“ผู้บัญชาการ ข้าหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาได้แล้ว แต่การจะเสริมพลังมันให้สูงขึ้นกว่านี้ต้องใช้วัตถุดิบที่ข้าไม่มีสิทธิ์ซื้อ ข้าจึงมาขอเลื่อนขั้นสิทธิ์การเข้าถึงของข้า…” หวังเป่าเล่อรู้สึกอายเล็กน้อย เขาเพิ่งเสริมพลังโล่ไปได้เพียงระดับสามซึ่งไม่ถือเป็นเรื่องยิ่งใหญ่อะไรเลย ถึงกระนั้นชายหนุ่มก็หยิบโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาที่หลอมขึ้นออกมาให้ผู้บัญชาการตรวจดู

“เจ้าหลอมได้แล้วหรือ” เทพธิดาหลิงโยวนิ่งงันไปเมื่อได้ยินที่ชายหนุ่มพูด นางกวาดตามองวัตถุเวทที่หวังเป่าเล่อหยิบออกมาแสดงให้ดูเพื่อตรวจสอบให้มั่นใจว่ามันเป็นโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาจริงๆ หญิงสาวไม่คิดว่าหวังเป่าเล่อจะรุดหน้าไปได้รวดเร็วเช่นนี้ แต่ก็ตื่นตกใจแค่เพียงไม่นาน ชายหนุ่มนั้นเชี่ยวชาญเรื่องการหลอมอาวุธเวท ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่เขาจะมีพื้นฐานในด้านนี้ดี การที่เขาหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับแรกได้จึงไม่ใช่เรื่องน่าตกใจอะไร

หญิงสาวยังคงมองผู้ฝึกตนจากสำนักย่อยว่าด้อยค่ากว่าตัวเอง นางมองว่าพวกเขาเป็นผู้ฝึกตนที่ใช้วิธีการนอกรีตและมีกลเม็ดบางอย่างซุกซ่อนอยู่ หวังเป่าเล่ออาจจะหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกระดับแรกได้ แต่นั่นก็น่าจะเป็นที่สุดแล้วที่เขาสามารถทำได้ ถ้าชายหนุ่มอยากเสริมพลังโล่เป็นระดับต่อไป คงจะใช้เวลาอย่างน้อยสองสามปี

นอกจากนี้ สิ่งสำคัญที่สุดในหัวหญิงสาวตอนนี้คือการเลื่อนอันดับกองทหาร นางจึงไม่มีเวลามาสนใจเรื่องยิบย่อยอย่างการทำตามคำขอของหวังเป่าเล่อและไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติมมากนัก นางเลื่อนขั้นสิทธิ์การเข้าถึงของชายหนุ่มในทันทีและส่งเขากลับออกไป

หวังเป่าเล่อเดินออกจากโถง ไม่ได้ใส่ใจท่าทีของผู้บัญชาการมากนัก โดยส่วนตัวแล้ว เขาคิดว่าโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับสามไม่ใช่เรื่องน่าภูมิใจอะไร เมื่อได้สิทธิ์การเข้าถึงมา ชายหนุ่มก็ซื้อใบไม้ปรับวิญญาณทันทีและรีบกลับที่พำนักเตรียมพร้อมถือสันโดษอีกครั้ง หวังเป่าเล่อเดินผ่านค่ายกองทหารวิหคน้ำแข็ง สายตาเลื่อนผ่านกลุ่มผู้ฝึกตนหญิงแกร่งที่กำลังเดินขวักไขว่ไปมา แต่ในหัวกลับคิดถึงแต่เรื่องการเสริมพลังโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาไประดับห้า

ระดับสี่ไม่น่ามีปัญหาอะไร เพราะข้าได้ใบไม้ปรับวิญญาณมาแล้ว ใช้เวลาสองชั่วโมงก็น่าจะเสริมพลังเสร็จ การเสริมพลังไประดับห้านั้นซับซ้อนกว่าเดิมมาก เหมือนข้ามสะพานระหว่างขั้นเชื่อมวิญญาณกับขั้นจิตวิญญาณอมตะไม่มีผิด ข้าต้องศึกษาเพิ่มเติมให้มากกว่านี้ หวังเป่าเล่อจมอยู่ในห้วงความคิดและกำลังจะเดินไปถึงที่พำนัก ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะจากทางด้านหน้า ตามมาด้วยเสียงดุด่าและเสียงแส้ฟาด

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองด้วยความแปลกใจ ทันทีที่สายตาเลื่อนไปเห็นความโกลาหลตรงหน้า เขาก็พบผู้ฝึกตนหญิงเจ็ดถึงแปดคนของกองทัพ ในนั้นมีหญิงร่างสูงคนหนึ่งที่ดูแข็งแกร่ง มีระดับการฝึกตนอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ ทั้งสภาพร่างกายและระดับพลังปราณนั้นเป็นที่น่าพรั่นพรึง ในมือนางถือเชือกสี่เส้นเอาไว้…

ตรงปลายเชือกผูกเข้ากับสิ่งมีชีวิต พวกมันดูไม่ต่างจากสัตว์เลี้ยงที่เจ้านายพาออกมาเดินเล่น กลุ่มผู้ฝึกตนหญิงเดินตรงมาทางหวังเป่าเล่อ เสียงหัวเราะของพวกนางดังขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเข้ามาใกล้!

สัตว์เลี้ยงทั้งสี่ตัวนั้นมีลักษณะต่างกันไป ตัวหนึ่งเป็นพืชรูปร่างคล้ายมนุษย์ อีกตัวเป็นกิ้งก่าสามหัวดูดุร้าย ตัวต่อมาเป็นงูเหลือมที่มีหัวเป็นหญิงสาว ส่วนตัวสุดท้าย…ดวงตาของหวังเป่าเล่อเบิกกว้างอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตนเองเมื่อหันไปพบสิ่งมีชีวิตตัวสุดท้าย!

จั่วอี้เซียนหรือ

…………………………..