ภาคที่ 4 ช่วงชิงตำแหน่งสูงสุด ตอนที่ 12.1 ความรู้สึกที่ลึกซึ้งระหว่างอาจารย์และศิษย์ (1)

กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ

ตอนที่ 12 ความรู้สึกที่ลึกซึ้งระหว่างอาจารย์และศิษย์ (1) โดย Ink Stone_Fantasy

 

ท่ามกลางความมืดมิดไร้ขอบเขต มีเพียงหยกเรืองแสงไม่กี่ก้อนที่เป็นแหล่งกำเนิดแสง ภายใต้แสงน้อยนิดเหล่านี้ แม่ทัพซากศพพิษทมิฬผิวกายดำคล้ำชักแส้กระดูกกลับอย่างงงงวย พลางส่งสายตาของเสือที่กำลังจ้องมองเหยื่อมายังชายหนุ่มและสุนัข

ทุกอย่างหยุดชะงักไปไม่ถึงชั่วอึดใจ นั่นเพราะเจ้าสุนัขเห่าออกมาอย่างเกรี้ยวกราดและพุ่งตรงไปข้างหน้าหมายจะจู่โจม

ก่อนหน้านั้น แค่วอกแวกไปชั่วพริบตา มันก็เกือบถูกแส้กระดูกสะบั้นจนร่างกลายเป็นสองท่อน แต่พลังปราณไร้ลักษณ์ดั้งเดิมของหวังลู่เขามาขัดขวางได้ทันท่วงที… การโต้ตอบนั้นรวดเร็วมากเสียจนเจ้าสุนัขหน้าโง่ไม่มีเวลาครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ มันรู้เพียงว่าตอนนี้ศัตรูอยู่ตรงหน้า ส่วนผู้เป็นนายยืนถือกระบี่ปกป้องอยู่ด้านหลัง เช่นนั้นมันจึงคิดจะทำสิ่งเดียวที่สามารถทำได้

กัดเจ้านั่นจนตาย

เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้า แม่ทัพซากศพพิษทมิฬเพิ่งจะสลัดผิวกายที่เป็นพิษออกมา ทว่าดูเหมือนฉากที่ผิวหนังพิษร่วงหล่นลงพื้นจะถูกชะออกจากสมองเจ้าสุนัขหน้าโง่นี่ไปหมดแล้ว มันปรี่เข้าหาร่างของศัตรูอีกครั้งและกัดเข้าไปที่แขนของวิญญาณร้ายนั่นอย่างรุนแรง เนื้อหนังและกระดูกที่ดูน่าจะแกร่งกล้ากว่าเหล็กถูกฟันคมๆ ของเจ้าสุนัขฉีกออก ทำให้เกิดเป็นแผลลึก

ภายในสิบถึงยี่สิบวินาที แขนล่ำสันของมันก็ขาดออกจากลำตัวง่ายดายอย่างไม่น่าเชื่อ

แน่นอนว่าเจ้าซากศพนี่ไม่ได้ต้องการให้เป็นเช่นนี้ ในช่วงหลายสิบวินาทีก่อน มันพยายามใช้วิธีต่างๆ กว่าสามสิบวิธีเพื่อสังหารสุนัขบ้าที่พยายามจะกัดมัน แต่ถูกพลังปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ของผู้บำเพ็ญเซียนที่ยืนอยู่ห่างไม่กี่จิ้งสกัดเอาไว้

ไม่ว่าจะเป็นแก๊สพิษที่ไร้สีไร้กลิ่น แส้กระดูกทรงพลัง หรือแม้แต่วิชามารที่ควบคุมจากพลังปฐมกลียุค พวกมันต่างราวกับชนเข้ากับชั้นของกำแพงหนา ไม่ว่าจะเป็นวิธีใด ก็ไม่อาจทำอันตรายอีกฝ่ายได้…

ภายในกระแสน้ำทมิฬนี้ แม่ทัพซากศพตนนี้เข่นฆ่าสิ่งมีชีวิตมาแล้วนับไม่ถ้วน แม้บางครั้งมันจะถูกสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งกว่าเอาชนะได้ แต่ก็ไม่เคยเจอสถานการณ์ที่แปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อน ความคิดที่จะล่าถอยนั้นไม่เคยอยู่ในหัวของมัน ทว่าตอนนี้เจ้าสุนัขโง่นี่เปลี่ยนเป้าหมายในการโจมตี มันกัดเข้าที่เข่าเพื่อให้อีกฝ่ายล้มลง

เมื่อก้มลงมอง แม่ทัพซากศพก็ได้เห็นดวงตาแดงก่ำของสัตว์ป่าที่กำลังบ้าคลั่ง

ดูเหมือนว่าขณะพยายามฉีกทึ้งร่างของแม่ทัพซากศพอย่างบ้าคลั่ง เจ้าสุนัขตัวนี้จะไม่สนใจชีวิตตัวเองแล้ว ฟันทั้งสองแถวของมันต้องทนต่อแรงกัดทรงพลังที่กดย้ำๆ ลงมาหลายครั้ง ฟันหลายซี่แตกบิ่น เลือดไหลท่วมออกมาจากปากของมัน ทว่าสัตว์ร้ายที่กำลังคลุ้มคลั่งจะไยดีสิ่งเหล่านี้ไปทำไม

เห็นได้ชัดว่าอาการบาดเจ็บต่างๆ ถูกผู้เป็นนายยับยั้งเอาไว้ ดังนั้นมันจึงต้องการที่จะขย้ำแม่ทัพซากศพจนถึงตาย ทว่าสัญชาตญาณสัตว์ในสมองของเจ้าสุนัขหน้าโง่กำลังคำรามอย่างบ้าคลั่ง เร่งให้มันรีบกำจัดฝ่ายตรงข้ามให้เร็วที่สุดไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม

ราวกับมันกำลังไต่อยู่บนเชือกที่ด้านล่างเป็นขุมนรก ส่วนปลายอีกฝั่งคือสรวงสวรรค์ หากมันก้าวได้อย่างดิบดี ก็จะไปถึงอีกฝั่งอย่างปลอดภัย แต่หากว่ามันก้าวพลาด ก็อาจจะถึงชีวิตได้

เจ้าสุนัขหน้าโง่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดมันจึงรู้สึกเช่นนั้น ทว่าเมื่อเทียบกับการที่ต้องเค้นสมองคิด มันเชื่อในสัญชาตญาณตัวเองมากกว่า ดังนั้นภายใต้การปกป้องจากพลังปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ดั้งเดิม มันจึงบ้าคลั่งอย่างหนัก เข้าฉีกทึ้งอีกฝ่ายจนเห็นเป็นพายุชิ้นเนื้อและเลือดภายใต้แสงไฟรบหรี่ที่รอบล้อมอยู่

ที่สุดแล้วแม่ทัพซากศพพิษทมิฬจึงถึงแก่ชีวิต

เพราะเป็นวิญญาณ มันจึงไม่เคยคิดถึงความตายด้วยซ้ำ ในกระแสน้ำทมิฬ แม้กายหยาบของมันจะถูกทำลายลง แต่มันก็สามารถคืนร่างกลับมาใหม่ได้ใหม่ได้… ยกเว้นเสียว่าจะถูกสิ่งมีชีวิตสังหาร

และไม่ว่าจะเป็นหวังลู่หรือเจ้าสุนัขหน้าโง่ แน่นอนว่าทั้งสองย่อมเป็นสิ่งมีชีวิต ตอนที่เจ้าสุนัขหน้าโง่กัดเข้าที่ลำคอของแม่ทัพซากศพ มันได้ฉีกกระชากศีรษะของอรกฝ่ายให้หลุดออกจากร่าง ทำให้แม่ทัพซากศพพิษทมิฬที่เต็มไปด้วยความจงเกลียดจงชังแตกดับไป

ปากของเจ้าสุนัขหน้าโง่อาบท่วมไปด้วยเลือด ความบ้าคลั่งเกินขีดจำกัดของมันทำให้ตัวมันเองเจ็บตัวไม่น้อย ทว่าจู่ๆ ดวงตาที่แดงก่ำของมันก็ค่อยๆ จางลง อึดใจถัดมามันก็หันหลังกลับมามองด้านหลัง

หวังลู่ที่กำลังกวัดแกว่งกระบี่แห่งเขาคุนในมือยังมีรอยยิ้มอยู่บนหน้า ทว่าจากริมฝีปากล่างมาจนถึงลำคอ และจากลำคอถึงทรวงอก เลือดกำลังไหลออกจากกายเขาราวกับน้ำตก

“ระยำแท้ หากช้ากว่านี้อีกนิดเดียวข้าได้ตายแน่”

หวังลู่กล่าว ขาของเขาดูซวนเซราวกับกำลังจะล้มลง

ที่ผ่านมาหวังลู่มองว่าตัวเองเป็นนักผจญภัยมืออาชีพมาตลอด แม้เขาจะไม่อาจหาญประกาศว่าจนเป็นบุคคลที่ชาญฉลาดที่สุดในโลก แต่เขาก็มั่นใจว่าเขาสามารถเอาชนะพวกที่อยู่ในระดับเดียวกันได้อย่างง่ายดาย หลายปีที่ผ่านมา ตั้งแต่การเอาชนะในการชุมนุมคัดเลือกเซียนไปจนถึงการก่อตั้งสำนักภูมิปัญญาในระหว่างการออกเดินทางสั่งสมประสบการณ์ ชัยชนะเหล่านี้ก็พิสูจน์ให้เห็นได้เป็นอย่างดี

ทว่าเกือบหนึ่งปีในแดนปรลัยแห่งนี้ หวังลู่ต้องยอมรับว่าเขาทำเรื่องผิดพลาดมหันต์เข้าให้แล้ว

การที่อาจารย์ของเขาลวงเขามายังแดนปรลัยก็เพื่อที่จะให้เขาฝึกฝนพลังปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ดั้งเดิม ตลอดเวลาเกือบหนึ่งปีในภูเขาฝั่งตะวันตก หวังลู่เฝ้าบำเพ็ญเซียนอย่างอุตสาหะ ไม่ว่าจะเป็นตบะขั้นฝึกปราณ กระดูกกระบี่ จิตเซียนหรือวิชาอื่นๆ พวกมันล้วนแล้วแต่พัฒนาไปอย่างมาก ทว่าเขากลับไม่อาจฝึกพลังปราณไร้ลักษณ์ดั้งเดิมได้สำเร็จ

ตอนแรกหวังลู่คิดว่าเขาอาจยังไม่บรรลุถึงระดับที่กำหนด เพราะในทางทฤษฎี พลังปราณไร้ลักษณ์ดั้งเดิมอยู่ในหมวดวิชาไร้ลักษณ์ขั้นสูง ดังนั้นจึงไม่แปลกที่วิชาจะต้องการพื้นฐานที่สูงกว่า ทว่าความเร็วในการบำเพ็ญเซียนของเขาถือว่ารวดเร็ว ตอนนี้ตบะขั้นของเขาคือขั้นฝึกปราณช่วงกลาง ทั้งที่เข้าสำนักกระบี่วิญญาณมาได้เพียงห้าปีเท่านั้น…

ทว่าก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน ตอนที่หวังลู่กำลังถกเถียงเรื่องคุณงามความดีของเนื้อสุนัขอยู่ เขากลับพบว่ามันไม่ได้เป็นไปตามที่คิด ที่เขาไม่สามารถฝึกพลังปราณไร้ลักษณ์ดั้งเดิมได้อาจเป็นเพราะเขาฝึกด้วยวิธีผิดๆ นั่นเอง…

สำหรับนักผจญภัยมืออาชีพ กลวิธีย่อมสำคัญกว่าความพยายาม การฝึกฝนอย่างหนักหน่วงตลอดหนึ่งปีไม่ใช่เรื่องที่จะโอ้อวด นั่นเพราะแม้แต่คนทึ่มอย่างเหวินเปาเองก็สามารถทำได้ไม่ยาก สิ่งที่ยากก็คือหาวิธีที่ถูกต้องเพื่อให้บรรลุผลทั้งที่ลงแรงน้อยกว่า ทว่าครั้งนี้นักผจญภัยมืออาชีพที่ชำนาญด้านความอุตสาหะคนนี้ก็เลือกวิธีที่เบาปัญญาเข้าให้แล้ว

พลังปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ดั้งเดิมไม่อาจฝึกได้ด้วยวิธีธรรมดา… ความจริงแล้วเรื่องนี้ดูเพียงแค่ชื่อของมันอย่างเดียวก็รู้ได้ วิชาทั้งหมดในแขนงวิชาลักษณ์จะมีคำว่าไร้ลักษณ์อยู่ข้างท้าย ทว่าทำไมวิชาพลังปราณไร้ลักษณ์นี้จึงมีคำว่าดั้งเดิมต่อท้ายเล่า เพราะมันทรงพลัง สูงส่ง หรืองดงามกว่าเช่นนั้นหรือ ด้วยบุคลิกที่ไร้คุณธรรมอย่างสุดโต่งของอาจารย์เขา การตั้งชื่อเพราะเหตุผลเช่นนั้นยิ่งชวนให้น่าหัวร่อไปกันใหญ่

พอคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็นึกขึ้นได้ว่าผู้เป็นอาจารย์อาจจะบอกใบ้มาตั้งแต่เมื่อสองปีก่อนแล้ว ความหมายที่แท้จริงของคำว่าดั้งเดิมคืออะไรกันแน่ เหตุใดวิชาสำหรับขั้นฝึกปราณจึงต้องมีคำว่าดั้งเดิมตามท้ายด้วยเล่า

แน่นอนว่ามันหมายถึงอายุขัยดั้งเดิม… ตอนที่หญิงผู้นั้นสอนวิชาโลหิตเพลิงโหมนภาให้เขาเมื่อสามปีก่อน นางอาจจะคิดถึงวันนี้แล้วก็เป็นได้ สำหรับผู้บำเพ็ญเซียนที่ยังไม่บรรลุถึงตบะขั้นฝึกปราณระดับสูง การปลดปล่อยพลังปราณและรักษาระดับพลังการตั้งรับที่รุนแรงของเพลงกระบี่ไร้ลักษณ์ทำได้ด้วยการผลาญอายุขัยในช่วงเวลาสั้นๆ เพื่อผลิตพลังอิทธิฤทธิ์จำนวนมหาศาลสำหรับเป็นเชื้อเพลิงเพียงเท่านั้น จุดแข็งของวิชาไร้ลักษณ์ก็คือความทนทานและความแข็งแกร่ง แต่กลับมีความสามารถเป็นศูนย์ในการระเบิดพลังออกมา เพื่อแก้ไขข้อบกพร่องนี้ ทางเดียวที่ทำได้คือใช้วิชาโลหิตเพลิงโหมนภา แต่เพราะที่ผ่านมา หวังลู่คิดอยู่เสมอว่าวิชานี้นั้นห่วยแตก จึงไม่เคยผสานมันเข้ากับวิชาไร้ลักษณ์ที่สูงส่งและสง่างาม

ดังนั้นสิ่งที่เรียกว่าพลังปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ดั้งเดิมแท้จริงแล้วก็คือขั้นเริ่มต้นของพลังปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ เมื่อเติมคำว่าดั้งเดิมเข้าไป มันไม่เพียงไม่แข็งแกร่งขึ้น หนำซ้ำยังอ่อนแอลงอย่างมาก ทว่าหากผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณต้องการปลดปล่อยพลังปราณออกมา นี่เป็นเพียงวิธีเดียวที่พวกเขาจะใช้ได้

………………………………………………..