เซี่ยเจียงเฟิงทำการค้าร่วมกับตระกูลเมิ่งมาหลายปี ตรุษจีนทุกปีจะต้องนำของขวัญมาสวัสดีปีใหม่ เมิ่งเสียนเองก็ชินเสียแล้ว จึงไม่ได้ปฏิเสธบ่ายเบี่ยง ยิ้มต้อนรับเขา พูดว่า “คุณชายเซี่ยเข้ามานั่งด้านในก่อนเถิด น้องเล็กเองก็เพิ่งกลับมาถึงเมื่อวานพอดี”
สายตาของเซี่ยเจียงเฟิงเป็นประกาย พูดอย่างดีใจว่า “แม่นางเมิ่งกลับมาแล้วหรือ ข้ามีเรื่องจะคุยกับนางอยู่พอดี”
พูดจบ ก็สั่งให้คนงานที่ติดตามมาด้วยเอาของลงจากรถม้า ส่วนตนเองนั้นก็เดินตามเมิ่งเสียนเข้าไปในบ้าน
คนงานเองคุ้นเคยกับบ้านนี้แล้ว เดินถือของตรงไปยังห้องซีเซียงทันที
เมื่อเห็นเมิ่งเอ้ออิ๋นอยู่ด้านใน เซี่ยงเจียงเฟิงก็ได้กล่าวทักทายเขาด้วยความเคารพ เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินเสียงจึงได้เดินออกมาจากห้อง และพูดหยอกล้อเขาว่า “คุณชายเซี่ย ปีนี้มาส่งของขวัญเร็วยิ่งนัก พรุ่งนี้จะตรุษจีนอยู่แล้ว”
เซี่ยเจียงเฟิงเข้าใจความหมายของนาง จึงได้อธิบายด้วยรอยยิ้มว่า “การค้าขายปีนี้ดีกว่าปีก่อน ยุ่งวุ่นวายไปทั่ว พอมีเวลาว่างข้าก็รีบมาทันทีเลย”
ตั้งแต่ที่เซี่ยเจียงเฟิงไปเมืองหลวงเมื่อสองปีก่อน หลังจากนำธุระเรื่องที่จะต้องขนส่งกุนเชียงจากโรงงานมอบให้เถ้าแก่ที่ดูแลร้านในเมืองหลวงจัดการแล้ว ก็กลับมาที่ชิงเหอ ไม่ได้กลับเมืองหลวงอีกเลย ลองนับดูแล้ว ทั้งสองคนก็ไม่ได้พบกันนานแล้ว เมื่อได้ยินคำของเซี่ยเจียงเฟิง เมื่อเชี่นโยวก็ยิ้มและพูดว่า “อย่างนั้นข้าก็ขอแสดงยินดีด้วยที่คุณชายเซี่ยค้าขายรุ่งเรือง”
เซี่ยเจียงเฟิงหัวเราะชอบใจ พูดว่า “ที่ค้าขายรุ่งเรืองก็เพราะแม่นางเมิ่งนั่นหล่ะ หากไม่ได้กุนเชียงและน้ำพริกของแม่นาง ข้าเองก็คงไม่มีกิจการที่รุ่งเรืองเช่นนี้ดอก”
ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันอยู่ครู่หนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวจึงเชิญเขาเข้าไปในห้องรับรองแขก เมิ่งเสียนชงชามาให้เขาเอง ให้เมิ่งเชี่ยนโยวและเซี่ยเจียงเฟิงคนละแก้ว แล้วก็นั่งลงข้างอีกฝั่ง
เมิ่งเชี่ยนโยวเชิญเขาออกไปเป็นนัยๆ พูดกับเขาว่า “พี่ใหญ่ พี่ไปช่วยท่านพ่อทำความสะอาดลานก่อนเถิด ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่ายชายเซี่ย”
เมิ่งเสียนลุกขึ้น ก้มหัวให้เซี่ยเจียงเฟิงเล็กน้อย และเดินออกไป
“แม่นางจะถามเรื่องจูหลานใช่หรือไม่ ที่ข้ารีบมาวันนี้ก็เพราะจะมาคุยกับแม่นางเรื่องของเขานี่แหละ” พอเมิ่งเสียนเดินออกไป เซี่ยเจียงเฟิงก็พูดออกมาทันที
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว ถามว่า “เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ขึ้นกับคุณชายจู ครั้งที่แล้วที่ท่านไปเมืองหลวงเหตุใดจึงไม่พูด”
เซี่ยเจียงเฟิงตกใจ “แม่นางรู้เรื่องแล้วหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “พอรู้มาบ้าง แต่ว่าไม่ละเอียด เรื่องราวเป็นมาอย่างไรหรือ”
เซี่ยเจียงเฟิงถอนหายใจออกมา “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเป็นมาอย่างไร ข้าเองก็ไม่ได้เจอจูหลานมาหลายวันแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจเล็กน้อย ถามอย่างร้อนรนว่า “เกิดอะไรขึ้นกันแน่หรือ ไหนว่าห้ามคนทั้งบ้านออกมาพร้อมกันมิใช่หรือ แล้วเหตุใดจึงไม่อนุญาตให้คุณชายจูจะออกมาได้”
เซี่ยเจียงเฟิงก็ถอนหายใจออกมายาวเหยีดและพูดว่า “แม่นางไม่รู้อะไร ตระกูลเฉียวได้พาตัวเฉียวหมิ่นกลับไปแล้ว และวันต่อมาก็ได้ไปส่งที่จวนจูทันที จากนั้นมาคนในตระกูลจูก็ไม่ได้ออกจากจวนอีกเลย พวกเราก็ได้ขาดการติดต่อกับเขาอย่างสิ้นเชิง ข้าและอันอี่หยวนเคยลองติดสินบนเจ้าหน้าที่เฝ้าประตู ถามเขาว่าเหตุการณ์ด้านในเป็นอย่างไร แต่พวกเขาเก็บความลับเก่งมาก ไม่ปริปากพูดออกมาสักคำ ข้าเลยคิดว่าข้าจะเขียนจดหมายให้เจ้าและเปาอี้ฝานสักฉบับ ให้เจ้าไปคิดหาวิธีมา แต่เมื่อคิดได้ว่าเจ้าใกล้จะกลับมาแล้ว จึงไม่ได้เขียนให้ไป”
เมิ่งเชี่ยนโยวมีน้ำเสียงกล่าวโทษเล็กน้อย “เรื่องสำคัญเพียงนี้ เหตุใดท่านไม่พูดตอนที่ไปเมืองหลวงครั้งนั้น”
เซี่ยเจียงเฟิงก็รู้สึกผิดไม่น้อย “ตอนนั้นผู้ว่าการยังไม่ได้สั่งคนไปปิดจวนจู คนในตระกูลยังคงสามารถเดินเข้าออกได้ปกติ อีกอย่างพวกเราไม่คิดเลยว่าเฉียวหมิ่นจะถูกรับกลับมาและส่งตัวไปยังจวนจู ยิ่งไปกว่านั้น จูหลานได้เตรียมการณ์ทุกอย่างเอาไว้พร้อมแล้ว เตรียมตัวจะพาครอบครัวหนีไปที่บ้านของพ่อตา ใครจะไปคิดว่าอยู่ดีๆ จะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เขาก็ถอนหายใจออกมา และพูดต่อว่า “ใกล้จะถึงตรุษจีนแล้ว การค้าขายยุ่งจนล้นมือ หลังจากที่ข้ากลับมาจากเมืองหลวง ก็ได้เจอกับเขาเพียงหนเดียวเท่านั้น แล้วก็ไปยุ่งเรื่องค้าขายต่อ เวลาล่วงเลยไปสิบกว่าวัน เขาก็ไม่ได้มาลาข้า ตอนนั้นข้าถึงได้รู้สึกถึงความผิดปกติ จึงได้เดินทางไปที่จวนของเขาเอง เมื่อถึงหน้าประตูก็ถูกคนกันไว้ไม่ให้เข้า บอกว่าจวนจูถูกปิดล้อมไว้แล้ว ไม่อนุญาตให้ใครเข้าออก ข้าถึงได้รู้ว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว จึงได้ไปปรึกษากับอันอี่หยวน แต่ยังคิดแผนไม่ออก ทำได้แค่อดทนรอ รอให้เจ้ากลับมาคิดทางแก้ไข”
เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจมาก “หากเป็นอย่างท่านว่า พวกเขาก็ไม่ได้ออกจากจวนมาเป็นเวลาครึ่งเดือนแล้วอย่างนั้นหรือ”
เซี่ยเจียงเฟิงพยักหน้า “ประมาณนั้นหล่ะ ข้าและอันอี่หยวนยังกังวลอยู่เลยว่าพวกเขาจะเจอปัญหาอะไรหรือไม่”
“เป็นไปไม่ได้!” เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า พูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจว่า “เป้าหมายของเฉียวหมิ่นคือบังคับให้จูหลานแต่งงานกับนาง ไม่มีทางจะ…” เมื่อพูดถึงตรงนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น สีหน้าซีดเผือด น้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย “ท่าไม่ดีแล้ว เฉียวหมิ่นคงไม่ได้ลงมือกับลี่เอ๋อร์และลูกใช่ไหม”
เซี่ยเจียงเฟิงลุกขึ้นยืนอย่างตกใจ ถามอย่างไม่มั่นใจว่า “คงไม่หรอก เฉียวหมิ่นอยากจะแต่งงานกับจูหลาน คงไม่ลงไม้ลงมือกับเด็กหรอก แต่ส่วนจางลี่นั้น…” เมื่อพูดถึงตรงนี้ก็คิดอะไรขึ้นได้ สีหน้าก็เปลี่ยนไป
แต่ก่อนที่เฉียวหมิ่นยังไม่ถูกส่งตัวกลับมานั้น ตระกูลเฉียวก็ได้บีบบังคับให้จูหลานเลิกกับลี่เอ๋อร์ ยกตำแหน่งภรรยาเอกให้เฉียวหมิ่น ตอนนั้นจูหลานปฏิเสธอย่างหัวเด็ดตีนขาด แต่ครานี้เฉียวหมิ่นกลับมาแล้ว รู้ว่าจูหลานได้แต่งงานกับผู้อื่นไปแล้ว จะต้องไม่ปล่อยจางลี่ไว้แน่ อย่างนั้นจางลี่นั้น เซี่ยเจียงเฟิงสั่นสะท้านขึ้นมา ไม่กล้าคิดต่อไป
เมิ่งเชี่ยนโยวบังคับให้ตนเองใจสงบขึ้น พูดว่า “วันนี้ข้าได้ส่งคนให้แอบไปสืบเรื่องจวนจูแล้ว หากพวกเขาได้ข่าวอะไรก็ให้รีบมารายงานกับข้า พวกเราอย่างเพิ่งลนลานกันไปเลย บางทีอาจจะไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่เราคิดก็เป็นได้ เฉียวหมิ่นอาจจะเพียงต้องการแต่งงานกับจูหลาน ไม่มีทางทำร้ายคนในครอบครัวของเขาหรอก”
“เจ้าไม่รู้อะไร ข้าไปถามมาแล้ว หลายปีมานี้ตอนที่เฉียวหมิ่นลำบากมาก ได้ยินมาว่านิสัยก็ดุร้ายขึ้น ข้ากลัวนางทำเรื่องไร้สติขึ้นมา” พูดจบ ก็เสียใจเหลือเกิน “ข้าควรจะเขียนจดหมายหาเจ้าตั้งนานแล้ว ให้เจ้าและอี้ฝานช่วยกันหาทางช่วยพวกเขา หากเกิดเรื่องขึ้นกับครอบครัวจูขึ้นมาจริงๆ ข้า…”
พูดถึงตรงนี้ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เดินไปเดินมาในห้องอย่างร้อนใจ
คำพูดของเซี่ยเจียงเฟิงทำเอาเมิ่งเชี่ยนโยวใจหายใจคว่ำ ความคิดด้านลบทั้งหลายถาโถมเข้ามาในหัวของนาง สีหน้าของนางแย่ลงเรื่อยๆ นางเม้มปากลง พูดกับเวี่ยเจียงเฟิงว่า “ไปพวกเราเข้าไปในเมืองกัน!”
ขณะนี้เซี่ยเจียงเฟิงจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว เมื่อได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า ลุกขึ้นเดือนออกไปด้านนอก แข้งขาอ่อนแรงไปเล็กน้อย โชคดีที่คว้าขอบประตูเอาไว้ได้ ทำให้ไม่ล้มลงไป เขาพยายามจะยืนทรงตัวอยู่นาน จึงได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “ไปกันเถิด!”
“เจ้าไปรอข้าที่รถม้า ข้าจะไปสั่งคนให้เตรียมรถม้าไว้” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดตามหลังเขา
เซี่ยเจียงเฟิงพยักหน้า และเดินออกไปด้านนอก
เมิ่งเสียนเห็นว่าผ่านไปนานแล้วเซี่ยเจียงเฟิงก็ยังไม่ออกมา คิดว่าอาจจะเกิดเรื่องขึ้นจึงได้รีบไปดู แต่เมื่อกำลังยิ้มทักทายเขากลับพบว่าสีหน้าเขาซีดเผือด ดูร้อนรน แข้งขาสั่น จึงรู้สึกตกใจมาก รีบวางไม้กวาดในมือทิ้งไป และรีบไปพยุงเขาเอาไว้ พร้อมถามอย่างเป็นห่วงว่า “คุณชายเซี่ย ท่านเป็นอะไรไปหรือ เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
เขาเพิ่งพูดจบ เมิ่งเชี่ยนโยวก็เดินออกมาจากห้อง และเดินสาวเท้าไปยังห้องพักคนงานอย่างเร่งรีบ
เมิ่งเสียนร้อนใจกว่าเดิม รอคำตอบจากเซี่ยเจียงเฟิง
เซี่ยเจียงเฟิงอ้าปากพูด แต่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี เมื่อครู่เมิ่งเชี่ยนโยวจงใจให้เมิ่งเสียนออกมาจากห้อง แสดงว่าไม่ต้องการให้เขารู้เรื่องนี้ อีกอย่างเรื่องนี้ช่างซับซ้อนยากที่จะพูดให้เข้าใจ
เมิ่งเสียนเห็นท่าทีของเขา ก็รู้ได้ทันทีว่าท่าทีกีดกันเขาออกจากห้องของเมิ่งเชียนโยวจะต้องเกี่ยวข้องกับคำพูดของของเซี่ยเจียงเฟิงเป็นแน่ เมื่อคิดได้ว่าเหตุที่เมิ่งเชี่ยนโยวกันเขาออกมาก็เพราะไม่อยากให้เขารู้ จึงได้ไม่ตอแยถามต่อ
ถามว่า “ท่านเป็นอะไรหรือเปล่า ต้องให้ข้าพยุงหรือไม่”
เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้ถามตอแย เซี่ยงเจียงเฟิงจึงได้โล่งใจ ส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก ข้าไม่เป็นอะไร”
เมิ่งเสียนปล่อยมือจากเขา
เซี่ยเจียงเฟิงฝืนยิ้มออกมา กล่าวลาเมิ่งเอ้ออิ๋นอย่างสุภาพ และเดินออกจากจวนเมิ่งไป กลับมารอเมิ่งเชี่ยนโยวยังที่รถม้าของตน