ตอนที่ 454 พลังของซินหยวน

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตอนที่ 454 พลังของซินหยวน โดย Ink Stone_Fantasy

ต่อมา ภายใต้การแสดงท่าทีของเฟิงจ้าน หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ก็เข้าไปจับฉลากตามลำดับ

ซินหยวนเข้าไปหยิบไผ่ออกมาอันหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ

“หมายเลขหนึ่ง!” ซินหยวนมองสิ่งที่อยู่ในมือแล้วกล่าวออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน แม้จะไม่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นใคร แต่ดูท่าตนเองจะต้องเข้าต่อสู้เป็นคนแรกอย่างแน่นอน

หลิ่วหมิงเดินเข้าไปหยิบต่อจากซินหยวน หลังจากลูบๆ คลำๆ แผ่นไผ่ที่เหลืออยู่ไม่มากแล้ว เขาก็หยิบไผ่ที่เขียนว่า ‘สาม’ ออกมา

ดูเหมือนเขาจะหันกลับไปอย่างไม่ใส่ใจ แต่กลับเห็นชายผอมแห้งนิกายวิหคสวรรค์ผู้นั้น กำลังสังเกตดูเขาด้วยสายตาไม่ประสงค์ดี

หลิ่วหมิงย่อมไม่สนใจสายตาของคนผู้นี้ เพียงแค่กวาดสายมองดูทีหนึ่ง จากนั้นก็เดินไปอยู่ข้างๆ ซินหยวนด้วยรอยยิ้ม

ขณะนั้นเอง ก็มีเสียงหัวเราะด้วยความพอใจดังมาจากด้านหลัง

“ฮ่าๆ! ที่แท้ก็เป็นหมายเลขสอง” ในมือของเว่ยจ้งกำลังคีบไผ่ที่มีหมายเลข ‘สอง’ เขียนอยู่ ดูเหมือนเขาจะพอใจกับสิ่งนี้มาก หลังจากหัวเราะออกมาแล้ว ก็มองไปทางเจียหลาน

การกระทำนี้ย่อมตกอยู่ในสายตาของเฟิงจ้าน คิ้วของเขาขมวดขึ้นมา และมีท่าทีอึดอัดเล็กน้อย

ขณะเดียวกัน ตู๋กูอวี้กลับเผยรอยยิ้มบางๆ ออกมา ในเมื่อพันธมิตรจินอวี้จับฉลากเป็นกลุ่มสุดท้าย ถ้าอย่างนั้นไผ่ที่ว่างเปล่าก็จะต้องเป็นของพวกเขาอย่างแน่นอน และรอบแรกก็จะมีคนเข้ารอบไปโดยปริยาย ซึ่งมันมีประโยชน์มากสำหรับสถานการณ์ในภายหลัง

ผลลัพธ์การจับฉลากในครั้งนี้ ชายฉกรรจ์ชุดคลุมสีทองผู้นั้นได้หมายเลข ‘หนึ่ง’ ซึ่งเป็นคนที่จะต่อสู้กับซินหยวนเป็นคู่แรก และบัณฑิตชุดคลุมสีทองกลับจับหมายเลข ‘สี่’ ได้ ซึ่งคู่ต่อสู้ก็คือชายฉกรรจ์ผมแดงของนิกายวิหคสวรรค์ผู้นั้น ส่วนไผ่ที่ไม่มีหมายเลขยังไม่ถูกหยิบออกไป แน่นอนว่าต้องเป็นของชายหนุ่มที่มีแผลเป็นบนใบหน้าผู้นั้น

แต่ผลลัพธ์เช่นนี้ กลับทำให้ชายหนุ่มขมวดคิ้วขึ้นมา ดูเหมือนเขาจะมีสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย แต่ก็เดินกลับไปอยู่ด้านหลังของตู๋กูอวี้โดยไม่กล่าวอะไรออกมา

พอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ตู๋กูอวี้กลับเผยสีหน้าดีใจออกมา หญิงแซ่เซียวกวาดสายตามองดูชายหนุ่มที่มีแผลเป็นบนใบหน้า และหัวเราะคิกคัก ดูเหมือนนางจะพอใจกับผลลัพธ์นี้เช่นกัน

“การจับฉลากรอบแรกเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มเดิมพันการต่อสู้อย่างเป็นทางการได้” แม่ชียกแขนเสื้อเก็บบาตรเข้าไป ขณะเดียวกันก็ประกาศออกมา

นักพรตแซ่สือได้ยินก็พยักหน้า และสะบัดแขนเสื้อปล่อยแสงสีเงินออกมาหลายลำทันที

มันคือธงค่ายกลสิบกว่าอันที่ยาวหลายฉื่อ เมื่อมันกระพริบหายไปในจุดศูนย์กลางของหุบเขาเปลวเพลิง ก็มีวงกลมขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางสิบกว่าจั้งปรากฏออกมาบางๆ

ขณะเดียวกันเขาก็กระตุ้นพลังเวท จากนั้นธงค่ายกลก็เปล่งแสงสีเงินออกมา และกลายเป็นชั้นจำกัดไร้รูปปกคลุมวงกลมไว้

“วิธีการแพ้ชนะจะพิจารณาจากการต่อสู้ของทั้งสอง แต่ถ้าออกไปจากวงกลมนี้ ก็นับว่าแพ้เช่นกัน หากไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ แล้ว ขอเชิญผู้ที่จับหมายเลขหนึ่งได้เข้าไปได้เลย” นักพรตแซ่สือกล่าวออกมาเสียงดัง

พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง ซินหยวนก็มาปรากฏตัวในค่ายกลอย่างรวดเร็ว กระบองสีดำในมือถูกแบกไว้บนบ่า และจ้องมองชายฉกรรจ์ชุดคลุมสีทองด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม

ชายฉกรรจ์ชุดคลุมสีทองก็เป็นผู้ฝึกร่างที่น่าเกรงขาม รูปร่างกำยำล่ำสันมาก เส้นเอ็นบนแขนทั้งสองนูนขึ้นมา กล้ามเนื้อบนตัวสั่นระริก ราวกับว่าพลังมหาศาลจะประทุออกมาได้ตลอดเวลา

เมื่อร่างผมแห้งของซินหยวนเปรียบเทียบกับฝ่ายตรงข้ามแล้ว ดูบอบบางกว่ามาก

ชายฉกรรจ์ทำเสียงฮึดฮัดใส่ผู้ที่เข้าไปในค่ายกลก่อน จากนั้นก็เหาะเข้าไปด้านใน และค่อยๆ ร่อนลงตรงหน้าซินหยวน

พอเขาลงมาถึง ก็พลิกมือทั้งสองโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง แสงสีดำเปล่งประกายบนฝ่ามือ ค้อนยักษ์สีดำสองอันที่ยาวราวๆ ครึ่งจั้งปรากฏขึ้นบนมือ

แสงสีดำรุบหรู่เปล่งประกายบนพื้นผิว และมีลวดลายสีดำปกคลุมอยู่เป็นจำนวนมาก

จากนั้นเขาก็จะโกนออกมา ไอดำพุ่งออกจากตัวทันที ลวดลายบนค้อนยักษ์เปล่งประกาย ไอดำเป็นชั้นๆ ลอยวนออกมา ร่างของเขาเคลื่อนไหวแค่ทีเดียว สิ่งของบนมือก็ทุบไปทางซินหยวนอย่างรุนแรง

การกระทำนี้เชี่ยวชาญเป็นอย่างมาก ประจักษ์ชัดว่านี่เป็นวิธีการต่อสู้ที่ชายฉกรรจ์ใช้บ่อย

ค้อนยักษ์ทั้งคู่พร่ามัวในระหว่างทาง ไอดำพวยพุ่ง จากนั้นก็กลายเป็นเงาค้อนยักษ์ขนาดสิบกว่าจั้งที่มีรูปร่างเหมือนเดิมไม่มีผิด และโจมตีออกไปด้วยอานุภาพอันน่าตกใจ

ซินหยวนเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกเย็นสะท้านในใจ กระบองสีดำในมือเปล่งแสงสีดำออกมา แขนทั้งสองขยับตัวเล็กน้อย จากนั้นก็กลายเป็นเงากระบอง

ครู่ต่อมา พอรู้สึกได้ว่ามีพลังมหาศาลทะลักเข้ามา เงาค้อนยักษ์ก็ทุบใส่เงากระบองยักษ์อย่างรุนแรง และส่งเสียงโลหะกระทบกันออกมาหลายครั้ง

ภายใต้การโจมตีติดต่อกันของเงาค้อน ทำให้ซินหยวนร่นถอยออกไปสองสามก้าว จากนั้นถึงทำลายเงาค้อนยักษ์ให้สลายไปได้

หลิ่วหมิงเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็ค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้นมา

เขารู้ถึงความสามารถของซินหยวนดี ลำพังแค่กายเนื้อก็ด้อยกว่าเขาไม่มาก เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าชายฉกรรจ์พรรคพันธมิตรจินอวี้ผู้นี้ จะมีพลังมากถึงเพียงนี้

“ประมุขตู๋กู หลายปีมานี้พันธมิตรท่านมีผู้มีความสามารถเข้ามาไม่น้อย พลังปราณดำของคนผู้นี้ คงจะสำเร็จขั้นแรกไปแล้ว” พอหญิงแซ่เซียวมองเห็นไอดำแปลกประหลาดบนตัวชายฉกรรจ์ชุดคลุมสีทอง นางก็กล่าวออกมาราวกับกำลังคิดอะไรอยู่

ที่นางถามเช่นนี้ ก็เป็นเพราะว่าวิชาอย่างพลังปราณดำมีที่มาไม่ธรรมดา ว่ากันว่าเป็นวิชาขั้นสูงในการฝึกร่างเมื่อหลายพันปีก่อนของนิกายมืดทมิฬในแผ่นดินจงเทียน แต่ว่านิกายนี้ได้สล่มสลายไปนานแล้ว วิชาที่เกี่ยวข้องถึงได้เริ่มถ่ายทอดออกมา

“ท่านเซียนชมเกินไปแล้ว พลังปราณดำเป็นแค่เศษเสี้ยวหนึ่งของคัมภีร์ที่พันธมิตรเราค้นพบในสมัยก่อนเท่านั้น ซึ่งมันไม่สมบูรณ์ทั้งหมด พันมิตรเราก็มีแค่ศิษย์จินฮ่วนที่ฝึกวิชานี้ ซึ่งยังห่างจากขั้นสูงมากนัก” ตู๋กูอวี้หัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวออกมา

หญิงแซ่เซียวได้ยินเช่นนี้ก็ไม่ถามอะไรมาก จากนั้นก็หันไปดูการต่อสู้ต่อ

แสงสีดำเปล่งประกายบนลานต่อสู้ ชายฉกรรจ์ใช้เงาค้อนยักษ์กดดันมาทางซินหยวนอีกครั้ง

ซินหยวนได้ป้องกันไว้ก่อนแล้ว พอร่างของเขาพร่ามัว ก็หลบหลีกไปได้อย่างน่าประหลาดใจ ขณะเดียวกัน เงากระบองสีดำก็ตวัดเข้ามาทางด้านข้างของชายฉกรรจ์

ชายฉกรรจ์ส่งเสียงคำรามออกมา พอขยับแขนข้างหนึ่ง เงาค้อนยักษ์ก็พุ่งไปรับเงากระบองไว้

“เต๊ง!”

ค้อนยักษ์กับกระบองเหล็กปะทะกันจนกระเด็นออกไป ส่วนทั้งสองก็ถูกพลังมหาศาลสั่นสะเทือนจนร่นถอยออกไป

“ดี! ที่แท้ก็พอมีพลังอยู่บ้าง แต่ว่าต่อไปข้าจะไม่ออมมือให้เจ้าอีกต่อไปแล้ว” ชายฉกรรจ์กล่าวด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น ไอดำบนตัวพุ่งออกมามากกว่าเดิม ภายใต้การเคลื่อนตัวของเขา ทำให้ค้อนยักษ์ในมือกลายเป็นเงาค้อนพุ่งไปหาซินหยวนอีกครั้ง กลิ่นไอก็แข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านั้นมาก และยังพัดพาพายุบ้าระห่ำม้วนตัวเข้ามา

ซินหยวนเผยแววตาดุร้ายออกมา เขาเริ่มร่ายคาถา ลวดลายสีดำจำนวนมากปรากฏขึ้นมาบนแขน ขณะที่เกิดเสียงดังเปรี๊ยะๆ แขนทั้งสองก็ขยายใหญ่เท่าตัว หลังจากสูดหายใจลึกๆ แล้ว แสงสีดำก็เปล่งประกายบนกระบองยักษ์ พริบตาเดียวก็ขยายใหญ่เท่าตัว

ภายใต้การสะบัดแขนทั้งสอง เงากระบองสีดำจำนวนมากก็ปรากฏออกมา จากนั้นก็กลายเป็นพายุหมุนสีดำพุ่งไปรับมือกับเงาค้อน

“เต๊งๆ!” เกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น!

เงาค้อนปะทะกับเงากระบองจนเกิดเป็นประกายระยิบระยับ จากนั้นก็สลายไปพร้อมกัน ซินหยวนกับชายฉกรรจ์โซซัดโซเซออกไปอีกครั้ง แต่ขณะนี้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ชายฉกรรจ์ร่นถอยไปไกลกว่าซินหยวนสองสามก้าวถึงจะตั้งหลักได้

ชายฉกรรจ์รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา

พลังมหาศาลของเขาบวกกับวิชาฝึกร่างในสมัยบรรพกาลที่คนธรรมดาไม่อาจทนรับได้ ทำให้เขาแข็งแกร่งพอที่จะขย้ำเสื้อได้เลย แต่วันนี้กลับถูกฝ่ายตรงข้ามโจมตี จนแขนทั้งสองรู้สึกชาเล็กน้อย จนเกือบจะทนรับไม่ไหว

แต่ทว่าในขณะนั้น กระบองเหล็กของซินหยวนก็กลายเป็นหอกเหล็กในพริบตา เงาหอกเป็นสีทองอร่าม หลังจากโบกสะบัดติดต่อกัน ลำแสงสีทองก็พุ่งยิงออกไปราวกับสายฝนกระหน่ำ

ชายฉกรรจ์หน้าเปลี่ยนสีทันที จากนั้นก็โบกสะบัดค้อนยักษ์ขึ้นมาอีกครั้ง

พอแสงสีทองสัมผัสกับค้อนยักษ์ มันก็สลายตัวไป

ซินหยวนยังคงมีสีหน้าเช่นเดิม หอกเหล็กในมือโบกสะบัดจนเงาหอกสีทองพุ่งใส่ชายฉกรรจ์อย่างต่อเนื่อง

ชายฉกรรจ์โบกสะบัดค้อนยักษ์ แต่รู้สึกว่ามันค่อนข้างจะกินพลังเล็กน้อย เงากระบองเจิดจ้ามาก ทำให้รู้สึกราวกับว่าแสงสีทองปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า เขาจึงได้แต่พยายามยกค้อนยักษ์ขึ้นมาหลบเลี่ยง

ทันใดนั้น ชายฉกรรจ์ก็ร่ายคาถาออกมา ไอดำบนร่างพวยพุ่งรวมตัวกัน พริบตาเดียวก็ดูหนาแน่นขึ้นมา และปกป้องร่างของเขาไว้

ทันใดนั้น มีลำแสงสีทองจำนวนมากพุ่งผ่านเงาค้อน และเข้ามาถึงไอดำที่ปกคลุมตัวเขาอยู่ แต่ไอดำเพียงแค่สั่นสะท้านเล็กน้อย จากนั้นก็กลับมาเป็นปกติ

ชายฉกรรจ์เห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง แต่ครู่มาแขนของซินหยวนก็พร่ามัวจนดูเหมือนจะมีเจ็ดแปดแขน และโจมตีใส่เขาอย่างรุนแรง

ชายฉกรรจ์รู้สึกตกใจมาก เพียงแค่พยายามต้านทานอย่างสุดชีวิต แต่เมื่อเขารับมือกับการโจมตีระลอกสุดท้ายเสร็จ และหันไปมองฝ่ายตรงข้ามนั้น กลับค้นพบว่าซินหยวนได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว

“แย่แล้ว!”

ชายฉกรรจ์ตะโกนออกมาทันที และหยิบยันต์มาขยี้จนแตกละเอียดอย่างไม่ลังเล ทันใดนั้น แสงสีทองก็เปล่งประกายออกมาปกคลุมร่างไว้

“ไป!”

แต่ขณะนั้นเอง ซินหยวนก็ปรากฏออกมาตรงด้านหลังของชายฉกรรจ์ อักขระสีดำเปล่งประกายบนตัว พอเขาดึงสายธนูยักษ์สีดำที่ไม่รู้ว่าอยู่บนมือเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ ลำแสงสีทองเจิดจ้าก็พุ่งยิงออกไป

พอชายกรรจ์ได้ยินเสียงที่ดังออกมา แสงสีทองกับไอดำที่ปกคลุมตัวอยู่ก็สลายไปพร้อมกัน ลำแสงสีทองเจิดจ้าจมหายเข้าไปในร่างของเขา

ครู่ต่อมา แสงสีทองก็สลายไปจนหมดสิ้น ร่างของชายฉกรรจ์ล้มลงพื้น โลหิตไหลออกมาเต็มตัว และไร้ซึ่งสติสมปฤดี

“คู่แรก พรรคฉางเฟิงชนะ” แม่ชีเมี่ยวซินเห็นเช่นนี้ ก็ประกาศออกมาด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก

พอประมุขตู๋กูเห็นเช่นนี้ ก็มีสีหน้าอึมครึมเล็กน้อย ส่วนหญิงแซ่เซียวที่อยู่ด้านข้าง ก็มีสีหน้าดูไม่ได้ขึ้นมา คิดไม่ถึงว่าพันธมิตรจินอวี้จะพ่ายแพ้ตั้งแต่คู่แรก ทั้งยังแพ้ให้กับแขกที่ไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของพรรคฉางเฟิง

ชายหนุ่มที่มีแผลเป็นบนใบหน้าจ้องมองซินหยวนด้วยสีหน้าดุร้าย จากนั้นก็จ้องมองชายฉกรรจ์ที่หมดสติอยู่บนลานต่อสู้ และหัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็น

“สหายซินทำชัยชนะครั้งแรกให้กับพรรคฉางเฟิงเรา ช่างน่ายินดียิ่งนัก รีบทานโอสถฟื้นฟูพลังเวทเถอะ!” เฟิงจ้านออกไปรับพร้อมกับเสียงหัวเราะ และหยิบขวดโอสถระดับสูงยื่นให้ซินหยวน

ซินหยวนพยักหน้าหัวเราะ และยื่นมือไปรับโอสถมา จากนั้นก็แบกกระบองสีดำไว้บนบ่า แล้วเดินไปนั่งขัดสมาธิอยู่มุมแห่งหนึ่ง

ขณะนี้ ศิษย์นิกายวิหคสวรรค์ต่างก็มองซินหยวนด้วยสายตาที่แตกต่างกันไป และเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

…………………………………