หอมหวานรสชาติดี

 

 

 

 

จิ่งเหิงปัวตะลึงลานกลืนน้ำเข้าไปต่อเนื่องหลายอึก อยากจะรีบดิ้นรนให้พ้นเขา แต่เรี่ยวแรงของนางจะไปเทียบกงอิ้นได้อย่างไรกัน? สองคนเกี่ยวพันแนบแน่นสะบัดไม่หลุด คลื่นธารพุ่งกระเพื่อมเป็นระลอก ดูท่าทางจิ่งเหิงปัวกำลังจะถูกกงอิ้นรั้งลงไปใต้น้ำ 

 

 

จิ่งเหิงปัวเบิกตาโพลง…เป็นคนดีคงไม่ไหว! 

 

 

สติสัมปชัญญะของกงอิ้นเลือนราง สองมือของนางถูกล็อกไว้ ซ้ำยังไร้เรี่ยวแรงดิ้นรน จะถูกลากไปตายอย่างไม่ยุติธรรมขนาดนี้เลยจริงๆ น่ะหรือ? 

 

 

จิ่งเหิงปัวยื่นหน้าขึ้นไปทันที 

 

 

ปากของนางกัดริมฝีปากของกงอิ้นไว้! 

 

 

จากนั้นนางก็หงายสองมือโอบเอวของกงอิ้น ร่างกายเบียดแนบเข้าไปมากยิ่งขึ้นพลางใช้แรงโถมทับเขาไว้! 

 

 

นางไม่เชื่อว่าเขาจะไม่รู้สึกอะไรเลยจริงๆ ไม่เชื่อว่าเขาที่วางมาดสุภาพบุรุษผู้บำเพ็ญตบะคนนี้เมื่อถูกปลุกด้วยเสน่ห์ของสตรีที่ทำทั้งสองสิ่งพร้อมกันยังปลุกไม่ฟื้น! 

 

 

ริมฝีปากของกงอิ้นทั้งเย็น ทั้งนุ่ม ทั้งลื่น พาให้นางนึกถึงวุ้นหอมกรุ่นสดใหม่ นางอดจะขบเม้มแล้วเลียสักหน่อยไม่ได้ อืม เด้งดึ๋งนุ่มนิ่ม หอมหวานรสชาติดี… 

 

 

ช่วงเอวของเขาผอมแกร่งแข็งแรง มือของนางประคองเข้าไปลูบไล้ลงมาตามแนวโค้งราบรื่นแนวหนึ่ง 

 

 

ยามที่ผิวกายสัมผัสกันคือการพานพบกันระหว่างผืนต่วนและผ้าไหม คือความสมัครสมานแห่งสรรพสิ่งทั่วหล้า เรือนร่างนุ่มนวลงดงามและแข็งแกร่งเกรียงไกรคล้ายธารา ผสมผสานกลมกลืนแหวกวาดฟองอากาศวาวแววผืนหนึ่งออกมา… 

 

 

เขาแทบจะลืมตาขึ้นมาในทันใด 

 

 

นัยน์ตาแบ่งแยกสีดำขาวแจ่มชัด ขอบสีดำคล้ายมีแสงรุ่งโรจน์สีน้ำเงินทอประกายผ่านวูบหนึ่งยิ่งเผยให้เห็นความเพริศพริ้ง ประดุจท้องนภากว้างใหญ่บนภูผาหิมะซึ่งถูกวายุสวรรค์พัดผ่าน 

 

 

ชั่วพริบตาต่อมา เขาพุ่งตรงดิ่งย้อนธาราขึ้นไป 

 

 

เสียงตู้มเสียงหนึ่งดังขึ้นรุนแรงกว่าครั้งก่อนหน้า สายน้ำพวยพุ่งเป็นเสาธารท่อนหนึ่งกลางอากาศ เบ่งบานดุจบัวหิมะ 

 

 

เขากำเนิดกลางนลินีไร้ฝุ่นธุลีแปดเปื้อน สีหน้าขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะ 

 

 

พริบตาต่อมา สองคนหมอบซ้อนกันอยู่บนฝั่งแม่น้ำ จมูกของจิ่งเหิงปัวเกือบจะชนจนรู้สึกเจ็บปวด 

 

 

นางพลิกตัวออกไปอย่างอาลัยอาวรณ์เล็กน้อย จ้องมองริมฝีปากของกงอิ้น ใจหนึ่งคิดว่าเจ้าคนนี้มีสีหน้าย่ำแย่ขนาดนั้นแล้ว เหตุใดริมฝีปากยังสดนวลนุ่มยั่วยวนขนาดนี้ อีกใจหนึ่งคิดว่าวุ้นนี่กินแล้วไม่เลี่ยนอย่างที่คิดเอาไว้เลย ครั้งหน้าไม่รู้ว่าตอนไหนถึงจะได้กัดอีกสักคำ? 

 

 

เขาติดค้างนางมามากขนาดนี้ หากกัดสักคำคงไม่เป็นอะไรมากหรอกกระมัง? ปัวปัวสาวงามผู้ยิ่งใหญ่ไม่ใช่จะยินยอมพร้อมใจจุ๊บกับใครก็ได้นะ 

 

 

ทว่ากงอิ้นที่มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ทำให้ยากต่อการลวนลาม จิ่งเหิงปัวคิดอย่างเกียจคร้าน นางอยากจะคลานขึ้นมา แต่ถูกตาข่ายบนหลังรัดไว้จนต้องหมอบลงไปครั้งหนึ่ง ตอนนี้นางเพิ่งพบว่าตาข่ายนี้ช่างมหัศจรรย์เหลือเกิน เมื่อเจอน้ำจะขยายออก แต่เมื่อพ้นน้ำ ผนึกตาข่ายกลับหดตัวฉับพลันจนแน่นมากกว่าเดิมเสียอีก รัดแน่นจนนางเคลื่อนไหวไม่ได้ 

 

 

“นี่ เจ้าคิดหาวิธีแก้ตาข่ายนี่ก่อนสิ” จิ่งเหิงปัวดึงเชือกตาข่ายด้วยท่าทีกระหืดกระหอบ พลางเอ่ยว่า “ไม่อย่างนั้นพี่มิต้องถูกเจ้าลวนลามตลอดเวลาเลยหรือ” 

 

 

กงอิ้นลืมตาขึ้นมองนางปราดเดียวมิเอ่ยวาจา แววตาเปิดเผยแจ่มแจ้งว่า ใครลวนลามใครกันแน่? 

 

 

จิ่งเหิงปัวไม่ได้ใส่ใจนัก เรื่องลวนลามน่ะ เจ้าทำหรือข้าทำมันต่างกันด้วยหรือ? 

 

 

“ยามนี้พลังแท้ของข้ายังไม่ฟื้นคืน ปลดตาข่ายมิได้” เขาตอบหลังผ่านไปครู่หนึ่ง 

 

 

“แล้วจะฟื้นคืนเมื่อไร” นางถามพลางคว้าแขนเขาไว้ 

 

 

กงอิ้นมองนางปราดเดียว รู้สึกว่าดวงตาของนางสว่างสดใสดุจสุนัขตัวน้อย 

 

 

อารมณ์ประหลาดเบาบางหอบหนึ่งพวยพุ่งในจิตใจเขา ความประหลาดนี้เกิดขึ้นเพราะนาง 

 

 

เขามิเคยพบเคยเห็นคนเช่นนี้เสียจริง เอ่ยว่าขี้ขลาดย่อมขี้ขลาด กรีดร้องขึ้นมาเอะอะจนคนแทบสิ้นชีพ เอ่ยว่าใจกล้าย่อมใจกล้า ใกล้สิ้นชีพยังกล้าเคลื่อนย้ายก้อนหินเขวี้ยงไปบนฟ้า เอ่ยว่าอัปลักษณ์ย่อมอัปลักษณ์ แววตาของสตรีนางหนึ่งยามมองบุรุษลุ่มหลงลึกล้ำ เอ่ยว่าสูงส่งย่อมสูงส่ง นอกจากเมื่อครู่ใต้น้ำที่ไร้หนทางจนต้องชิดใกล้ ยามปกตินางก็มิได้อิงแอบแนบชิด นางหน้าตางดงาม ทำให้มักถูกผู้อื่นใช้แววตาโลมเลีย ทว่านางคล้ายจะมิได้ใส่ใจ ซ้ำบางครายังชม้ายชายตา ทว่าในเบื้องลึกแววตานั้นแจ่มชัดว่ามิได้สนใจ 

 

 

เสียงตะโกนก้องของนางในพริบตาสุดท้ายก่อนถึงเสาหิน แต่เดิมเขามิควรเชื่อฟัง ทว่ายังทำตามคำสั่งของนางอย่างน่าอัศจรรย์ เช่นนั้นจึงรอดชีวิตมาได้ดั่งใจคิด…นางนับว่าเป็นสตรีมหัศจรรย์นางหนึ่ง 

 

 

หลังตกน้ำ เดิมทีเขาใช้ปราณเต่ารักษาบาดแผล มิกลัวจมน้ำสิ้นชีพเป็นแน่ ผู้ใดจะรู้ว่านางจะคว้าเขาลากไปลากมา รบกวนยามเขาปรับปราณ เขาจึงตระเตรียมแกล้งจมน้ำถ่วงรั้งนางไว้เพื่อทำให้นางสงบลง หวังเพียงเพื่อจะสั่งสอนนางให้อยู่ห่างจากเขาสักหน่อย แต่ผู้ใดจะรู้เล่าว่า… 

 

 

เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ใต้น้ำเมื่อครู่แล้วก็อดจะนึกถึงริมฝีปากที่ทั้งเย็นทั้งลื่นทั้งนุ่มของนางมิได้ ริมฝีปากนั้นเจือไปด้วยกลิ่นหอมกรุ่นรุนแรง แรงกัดแผ่วเบาปานนั้นได้ทลายฟ้าดินสงบเงียบของเขา หรือเพราะยามมัวสลัวเค่อนั้น เรือนร่างของนางเบียดเข้ามาแนบแน่นดุจธารนุ่มลื่น ผิวกายสัมผัสกันจนแทบจะลื่นไหลลงไปคล้ายแสงจันทราสาดส่องช่วงหนึ่ง ส่วนที่ซึ่งอยู่ใกล้หัวใจนั้นคือความแนบชิดนุ่มนวลอีกแบบหนึ่ง ลมหายใจและดินฟ้าผูกพันอย่างอ่อนโยนและแข็งแกร่ง ดวงใจคล้ายสั่นไหวระรัว ควบอาชาทะยานทางยาวไกล พริบตาเดียวจิตคำนึงถึงหมื่นลี้… 

 

 

เขาไอโขลกทุ้มต่ำเสียงหนึ่งโดยพลัน หลุบขนตาลงต่ำ 

 

 

จิ่งเหิงปัวมองสีแดงระเรื่อผืนหนึ่งบนดวงหน้าหล่อเหลาของเขาอย่างสงสัย…อยู่ดีๆ เหตุใดถึงหน้าแดงขึ้นมา? 

 

 

“นี่” นางจี้ถามอย่างไร้ความเมตตาว่า “เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามของข้าเลยนะ” 

 

 

กงอิ้นเคลื่อนปราณไหลเวียน ลมปราณติดขัดที่บางแห่งบริเวณอกด้านซ้าย เขาขมวดคิ้วน้อยๆ รู้ว่าตนเองบาดเจ็บไม่เบา 

 

 

แม้ว่าจะตระเตรียมแผนการต่อกรเหยียลี่ว์ฉีเอาไว้นานแล้ว แต่ยามกระทำการกลับเป็นคืนฝนตกพอดี นี่นับเป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย ท่ามกลางฝนตกหนักสลัวเลือนราง แม้แต่เขายังตกหลุมพราง สายตามองเห็นจิ่งเหิงปัวพุ่งไปด้านหน้าโดยไม่ออมแรงไว้ ถึงอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าจะมีผู้วิ่งไปยังหน้าผาจึงร่วงตามลงไปด้วย ยังดีที่ว่าได้เตรียมตัวไว้บ้างแล้ว เพียงแต่แรงปะทะยามร่วงหล่นนั้นมีมากเกินไปจึงได้รับบาดเจ็บภายในเล็กน้อย 

 

 

ภายหลังวาดฝ่ามือสิบกว่าครั้งใส่เสาหิน ผลาญพลังแท้จนสิ้น ซ้ำยังถูกสะท้อนกลับมา ยามนี้อวัยวะภายในร่างว่างเปล่า แขนซ้ายหักบาดเจ็บสาหัส พลังการรบของเขามีจำกัดในช่วงนี้ ยิ่งไร้หนทางปลดแก้ ‘ผนึกสวรรค์’ ที่ตระกูลเหยียลี่ว์คิดค้นขึ้นโดยเฉพาะชิ้นนี้ 

 

 

“มิอาจฟื้นคืนได้ดังเดิมในระยะเวลาอันสั้น” เขาเอ่ยว่า “ข้าจะให้โอกาสเจ้าได้ดูแลข้าสักครา” 

 

 

“ถุย!” นางตอบอย่างแจ่มแจ้มชัดเจน 

 

 

“แล้วเหล่าองครักษ์ของเจ้าเล่า ประเดี๋ยวพวกเขาน่าจะตามมาถึงที่นี่” 

 

 

“ไม่มีทาง” เขาตอบว่า “ดินโคลนปิดตายเส้นทางด้านนั้น กระทั่งอาจเปลี่ยนแปลงรูปร่างของภูเขาทางนั้นให้ไม่อาจสัญจรได้อีก ยามนี้ทางนี้เท่ากับเป็นที่ลุ่มแห่งหนึ่งของเทือกเขาอื่น ยังมิต้องเอ่ยว่าจะหาเจอหรือไม่ หวังจะข้ามมาแทบจะไม่มีเส้นทาง ภูผาใหญ่โตรกชัฎนี้ ผู้ใดจะรับปากได้ว่ายามตนเองตามหาจะหาได้ถูกแห่ง?” 

 

 

จิ่งเหิงปัวลองตรองเหตุผลข้อนี้แล้วก็อดจะสูญเสียกำลังใจไม่ได้ 

 

 

“หรือว่าเราจะต้องเป็นคนป่าอยู่ที่นี่หรือ? นานเพียงใดกัน สามวัน? ห้าวัน? หนึ่งเดือน? สองเดือน? โอ้ สวรรค์! ไม่เอานะ! ชีวิตเช่นนี้ไม่เหมาะกับข้า!” 

 

 

“อย่างน้อยที่สุดเจ้าก็ยังมีชีวิตอยู่” กงอิ้นใช้น้ำเสียงจืดจางเอ่ยว่า “เจ้าควรจะคิดก่อนว่าจะต่อกรกับสัตว์ป่าอย่างไรดีกว่า” 

 

 

“สัตว์ป่าเร๊อะ?” 

 

 

คงเป็นเพราะเสียงของจิ่งเหิงปัวสูงเกินไป ทำให้กงอิ้นชะงักไปชั่วครู่ ก่อนที่จะเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “อืม ส่วนใหญ่ยามนี้คงถูกเสียงกรีดร้องของเจ้าทำให้ตกใจจนวิ่งพล่านแล้ว” 

 

 

“เราจะทำเช่นไรกันดี” จิ่งเหิงปัวไร้กะจิตกะใจที่จะโต้เถียงคนปากคอเราะร้ายผู้นี้ ก้มหน้านวดข้อเท้าด้วยความเศร้าสร้อยพลางกล่าวว่า “ไม่มีกิน ไม่มีดื่ม ไม่มีความช่วยเหลือจากภายนอก ซ้ำยังบาดเจ็บอีก จะอยู่รอดในป่าดงพงไพรนี้ได้อย่างไรเล่า” 

 

 

“ข้ามีปาก เจ้ามีมือ” สีหน้าของกงอิ้นคล้ายมองนางปราดเดียวด้วยความประหลาดใจยิ่ง เอ่ยต่อว่า “จะมีที่ใดอยู่ไม่ได้เล่า” 

 

 

“เหตุใดจึงไม่เอ่ยว่าข้ามีปากเจ้ามีมือ?” จิ่งเหิงปัวเคืองขึ้นมา เหตุใดฟังความนัยนี้แล้ว ตนคล้ายต้องถูกแยกให้ไปทำเรื่องใช้แรงงาน? 

 

 

“เช่นนั้นย่อมได้” กงอิ้นเล็งแขนของนางปราดเดียวแล้วเอ่ยว่า “ข้าหักแขนสองข้างของเจ้า เจ้าไม่มีมือแล้ว ข้าอาจใคร่ครวญให้เราแลกเปลี่ยนกัน” 

 

 

จิ่งเหิงปัวแนบสองแขนไว้ตรงหน้าอก เพื่อป้องกันเจ้าคนใจอำมหิตคนนี้มีอาการดุร้ายเฉียบพลันจนหักแขนสองข้างของตนอย่างกะทันหัน 

 

 

ท่วงท่านี้ของนางเหมือนจะไม่เหมาะสมนัก คล้ายความยั่วยวนไร้วาจาประโยคหนึ่ง กงอิ้นหลุบตาลงต่ำโดยพลันแล้วเอ่ยว่า “ไปเถิด หาที่พักสักแห่งก่อน” 

 

 

จิ่งเหิงปัวมองท่วงท่าของสองคนซึ่งถูกตาข่ายรัดไว้แนบแน่น กล่าวถามอย่างงุนงงว่า “จะเดินไปอย่างไร” 

 

 

“เจ้าแบกข้า” กงอิ้นตอบอย่างสมเหตุสมผล 

 

 

จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าตนเองหูหนวกไปวินาทีหนึ่ง หลังจากหนึ่งวินาทีนั้นนางก็พบว่าสีหน้าบนใบหน้าของมหาเทพกงนั้นสงบนิ่งเป็นพิเศษ 

 

 

จิ่งเหิงปัวเงยหน้ามองฟ้าแล้วถอนหายใจยาว 

 

 

มหาเทพย่อมเป็นมหาเทพ กิริยาหน้าหนาคนธรรมดามิอาจเทียบเทียม 

 

 

“เจ้าแขนหัก แต่ขาก็ไม่ได้หักไปด้วย เหตุใดถึงเดินไปเองไม่ได้เล่า” 

 

 

กงอิ้นมองนางด้วยสายตาประหลาดปราดหนึ่ง เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าคิดว่าท่าทางเช่นนี้เราสองจะเดินขึ้นมาได้หรือ?” 

 

 

คนสองคนในหนึ่งตาข่ายเดียวกัน คิดจะเดินไปด้วยกันก็ยากเสียยิ่งกว่าเดินคนเดียวอีก 

 

 

“แล้วเหตุใดมิใช่เจ้าแบกข้า?” 

 

 

“เพราะว่าข้าเท้าเจ็บเช่นกัน ซ้ำข้ายังต้องเร่งรีบปรับปราณ หากข้าฟื้นคืนกำลังกายแล้วจึงมีทางรอดมากขึ้น” กงอิ้นเหลือบมองนางอย่างตื้นเขินคราหนึ่ง เอ่ยสืบต่อไปว่า “ส่วนเจ้าต่อให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมยังเป็นได้เพียงมูลสัตว์ป่า มูลเสียได้ปลดปล่อยพละกำลังออกมาบ้างย่อมเป็นเกียรติของเจ้าแล้ว” 

 

 

นายสิอุจจาระ! ทั้งตระกูลนายเป็นอุจจาระกันหมด! 

 

 

จิ่งเหิงปัวอยากย่ำใบหน้าเย็นชานั้นให้กลายเป็นอุจจาระ แต่สีหน้าสุขุมของกงอิ้นบอกนางว่า หากเขาเอาจริงขึ้นมา นางต้องกลายเป็นอุจจาระนั่นแน่นอน 

 

 

“แบกอย่างไร” นางได้แต่กัดฟันถาม แอบใคร่ครวญว่าอดทนสิบปีค่อยแก้แค้นยังไม่สาย 

 

 

สองคนเกี่ยวพันแนบแน่น นางอยากจะคลานขึ้นมายังลำบาก 

 

 

“หาหนทางเอาเอง” มหาเทพตอบอย่างไม่รับผิดชอบ 

 

 

จิ่งเหิงปัวทักทายบรรพบุรุษสามรุ่นของเขาอยู่ในใจจนเสร็จสิ้นแล้วจึงฝืนใจคิดหาวิธีสักวิธี นางหมอบอยู่บนพื้นกลิ้งไปหลายรอบ หลังผ่านการกลิ้งไปหลายครั้ง กงอิ้นก็ถูกห่อคล้ายม้วนผ้านวมกลุ่มหนึ่งแล้วถูกแบกขึ้นหลังของนาง 

 

 

ท่วงท่านี้น่าเกลียดอยู่บ้าง นางลอบมองสีหน้าของกงอิ้นจากหว่างแขน ตัดสินใจว่าขอเพียงเขาเผยให้เห็นแววตาเย้ยหยันเพียงนิดเดียวนางจะเหวี่ยงเขาลงแม่น้ำไปเลย 

 

 

ยังดีที่ว่ากงอิ้นสุขุมเย็นชามาตั้งแต่ไหนแต่ไร เขาเพียงแค่กระตุกคิ้วเล็กน้อย ยามใบหน้าของเขาไร้ซึ่งอารมณ์ สีหน้าสูงส่งเย็นเยียบ ยามเมื่อมีอารมณ์แม้เพียงน้อย สีหน้าดั่งลมวสันต์ละลายธาราน้ำแข็งหมื่นลี้ ทุกนิ้วล้วนเป็นแดนสวรรค์มวลผกาเบ่งบาน จิ่งเหิงปัวแอบมองด้วยแววตาลึกล้ำลุ่มหลง ความงามพาให้งงงวยจนรู้สึกว่าใช้แรงสักหน่อยก็ไม่ได้เสียหายอะไรไปชั่วขณะ 

 

 

นางอ้ำอึ้งอยู่เนิ่นนานยังไม่ได้ลุกขึ้นมา จากท่วงท่านอนหมอบยืนขึ้นมาอีกครั้งเดิมทีไม่ใช่เรื่องง่าย ซ้ำยังต้องแบกคนผู้หนึ่งเอาไว้ กงอิ้นที่อยู่บนหลังเคาะมือแผ่วเบาบนแนวหลังของนางโดยพลัน ยังไม่รู้ว่าเข้าใช้วิธีอะไรนางถึงรู้สึกได้ทันทีว่าความอบอุ่นสายหนึ่งพุ่งไหลเข้ากลางหลัง ทั่วร่างเบาโปร่งมีกำลัง โซเซเล็กน้อยแล้วยืนขึ้นมา 

 

 

“เมื่อครู่เจ้าถ่ายทอดพลังแท้ให้ข้าหรือ” แววตานางทอประกาย เอ่ยว่า “ให้อีกสักหน่อยสิที่รัก” 

 

 

“สิ่งของเลอค่าใช้กับเจ้ามากเกินไปนับเป็นความผิดพลาด” เขาตอบ 

 

 

จิ่งเหิงปัวคิดอยากเหวี่ยงเขาลงไปแรงๆ อีกครั้ง แต่ว่ากงอิ้นที่อยู่บนหลังดึงเปียผมของนางโดยพลันแล้วเอ่ยว่า “รีบไป” 

 

 

จิ่งเหิงปัวรู้สึกไปครู่หนึ่งว่าตนเองคล้ายม้าตัวหนึ่งซึ่งถูกเสียงตะโกนควบให้เดินทาง ประโยคต่อมาคนเหนือศีรษะตนเองนั้นคงจะตะโกนว่า “ฮี้…ย่า!” 

 

 

ผมยาวของนางเป็นทรงลอนใหญ่ซึ่งปล่อยคลายสลาย ถักเป็นเปียหางม้าเพื่อให้สะดวกต่อการหลบหนี ตอนนี้เขาคว้าเปียผมไว้ในมือลงแส้นางนี้ดุจม้าที่ถูกเคี่ยวเข็ญ 

 

 

บนร่างกายถูกตาข่ายรัดไว้เดินได้ไม่รวดเร็วเลยสักนิด ดีว่าตาของตาข่ายใหญ่พอควรเท้าจึงยังพอจะยื่นออกไปได้ เพียงแต่ขยับได้ก้าวละเล็กละน้อย จิ่งเหิงปัวคิดอย่างหมดความหวังว่าหรือก่อนจะได้รับความช่วยเหลือ ตนเองกับกงอิ้นจะต้องอยู่ด้วยกันในตาข่ายคล้ายทารกแฝดหรือ? 

 

 

ยังดีที่กงอิ้นดูรูปร่างสูงแต่ตัวไม่หนัก เท้าของจิ่งเหิงปัวไม่ได้ออกแรงมาก นางไม่รู้แน่ชัดว่านี่คือผลจากพลังแท้ที่กงอิ้นมอบให้นาง 

 

 

การสวมรองเท้าส้นสูงคู่หนึ่ง เดินบนเส้นทางขรุขระไม่ราบเรียบเช่นนี้เป็นความทรมานโดยแท้ แต่จิ่งเหิงปัวยังคงปีติยินดี โชคดีที่เท้าตนสวมรองเท้าส้นสูงสายรัดคู่ ไม่อย่างนั้นทั้งร่วงหน้า ทั้งตกน้ำ รวมทั้งความทรมานเป็นกระบุงก่อนหน้านี้ รองเท้าล้ำค่าคู่เดียวคู่นี้ยังจะอยู่รอดหรืออย่างไร? 

 

 

ทว่าพริบตาต่อมานางก็ได้ยินกงอิ้นเอ่ยว่า “เปลี่ยนรองเท้าเสีย” 

 

 

“ไม่เปลี่ยน” จิ่งเหิงปัวปฎิเสธทันที 

 

 

“หากเป็นเช่นนี้จนฟ้ามืดเจ้าก็คงยังเดินไปไม่ถึงที่ปลอดภัย” นิ้วของกงอิ้นวางพาดไว้บนคอหอยนางแผ่วเบา น้ำเสียงราบเรียบยิ่งเอ่ยว่า “สำหรับผู้ที่ไม่เชื่อฟัง ยามปกติข้าไม่เอ่ยเป็นครั้งที่สอง” 

 

 

ไม่กล่าวรอบสอง แล้วคิดจะทำอะไร? 

 

 

จิ่งเหิงปัวคล้ายได้ยินลำคอของตนเองส่งเสียง “กึก!” เสียงหนึ่งดังชัดเจน 

 

 

นางรู้สึกว่าคนบนศีรษะผู้นี้ทำได้แน่นอน 

 

 

“เปลี่ยนรองเท้า!” นางหยุดลงด้วยโกรธเคือง คว้ารองเท้าหุ้มข้อบนเท้าเขามาเปลี่ยนพลางถอดรองเท้าของตนเองยัดไปในมือเขาแล้วเอ่ยว่า “หิ้วไว้ให้ข้าด้วย ห้ามทำหายล่ะ!” 

 

 

นางเปลี่ยนรองเท้าพลางบ่นพึมพำว่า “เหม็นจะตาย เหม็นจะตายแล้ว!” 

 

 

แน่นอนว่านี่คือคำลวง รองเท้าหุ้มข้อของกงอิ้นเย็นสบายสดชื่น ซ้ำยังประหลาดมาก ไม่รู้ว่าทำจากหนังอะไร ทั้งอ่อนนุ่มสวมสบาย หุ้มข้อเท้าแน่นหนา ส่วนบนของรองเท้าแนบผสานไปบนขาท่อนล่างดุจดั่งผิวกายอีกชั้นหนึ่ง กระทั่งในรองเท้าหุ้มข้อก็ไม่ได้เปียกชื้นแต่อย่างใด มีประสิทธิภาพในการกันน้ำเสียด้วย 

 

 

ยิ่งน่ามหัศจรรย์กว่านั้นคือ รองเท้าหุ้มข้อสีขาวหิมะที่สวมใส่มาตลอดเส้นทางย่อมแปดเปื้อนดินโคลนใบหญ้าไม่น้อย ทว่าเดินไปหลายก้าวกลับนึกไม่ถึงว่าดินโคลนใบหญ้าเหล่านั้นก็ค่อยๆ ร่วงหล่นลงไป บนหน้ารองเท้ายังคงไม่แปดเปื้อนฝุ่นผง 

 

 

จิ่งเหิงปัวค้นพบความมหัศจรรย์ของรองเท้าหุ้มข้อคู่นี้ อดสงสัยจนเอ่ยถามไม่ได้ว่า “นี่คือหนังอะไรหรือ ฉิบ กันน้ำกันฝุ่นได้โดยธรรมชาตินี่นา!” 

 

 

ในมือกงอิ้นหิ้วรองเท้าส้นสูงลายเสือดาวของนางไว้ ดวงตาพลันหรี่พินิจส้นสูงแหลมยาวดุจตะปูนั้น พลางเอ่ยตอบด้วยเสียงเฉื่อยเนือยว่า “หนังสัตว์ชนิดหนึ่งในบ่อโคลนฝูสุ่ย” 

 

 

“หนังสัตว์ชนิดนี้หากเอามาตัดเย็บเสื้อผ้าต้องสวมสบายพลิ้วลมเป็นแน่!” ดวงตาของจิ่งเหิงปัวทอประกาย เบื้องหน้าปรากฏภาพของตนเองสวมใส่ขนสัตว์งดงามสีขาวหิมะ ไม่เปรอะฝุ่นธุลี ไม่เปื้อนลมและหิมะ ท่าทางสูงส่งน่าเคารพราวเทพยดาจุติ กรี๊ด… 

 

 

“สัตว์นี้สิบปีมีหนึ่งตัว เรี่ยวแรงมหาศาล ในปากมีของเหลวมีพิษ อุ้งเท้าทั้งสี่ดุจลิงยักษ์ ทั่วร่างฟันแทงไม่เข้า ซ้ำมีนิสัยดุร้ายชอบสังหาร สถานที่ที่เร้นกายผ่านในพันลี้ไร้สิ่งมีชีวิต ซ้ำมีเพียงขนและหนังบริเวณหัวใจที่ใช้ได้ นอกนั้นล้วนมีพิษร้าย เผ่าฝูสุ่ยก่อตั้งได้ร้อยปีเคยส่งบรรณาการหนังเช่นนี้ยังนครากษัตริย์เพียงสองครั้ง ว่ากันว่าการออกล่าจับกุมทุกครั้งต้องใช้กองทัพมากกว่าพันนาย บาดเจ็บล้มตายสาหัสนัก” 

 

 

“ล้ำค่าขนาดนี้เชียว!” จิ่งเหิงปัวเอ่ยอย่างเพ้อฝันว่า “ยังมีหนังอีกผืนอยู่ที่ใด พระราชวังหรือ? นี่คือเครื่องบรรณาการที่ถวายให้ราชินีใช่หรือไม่? ข้านำไปทำผ้าพันคอได้ไหม” 

 

 

“ยังมีอีกผืน” กงอิ้นวิเคราะห์สายรัดบนรองเท้าของนาง ตอบอย่างอ้ำอึ้งว่า “ทำผ้าเช็ดมือของข้าไปแล้ว” 

 

 

จิ่งเหิงปัวนิ่งงัน “…” 

 

 

นางอยากจะใช้แรงโยนเจ้าคนฟุ่มเฟือยสิ้นเปลืองและใช้อำนาจบาตรใหญ่เหนือขุนนางผู้นี้ลงไปในโคลนตม! 

 

 

แต่ว่าสุดท้ายนางได้แต่ใช้แรงเหยียบย่ำรองเท้าหุ้มข้อของกงอิ้นลงไปในโคลนเลนมากขึ้น 

 

 

ริมฝั่งแม่น้ำมีกลุ่มก้อนขนาดใหญ่แปลกประหลาดก้อนหนึ่งกำลังเคลื่อนไหว ด้านล่างคือสตรีที่เคลื่อนกายไปเบื้องหน้าอย่างยากลำบาก ตรงกลางคือบุรุษที่สบายกายสบายใจ ในมือบุรุษนั้นยังกวัดไกวรองเท้าส้นสูงคู่หนึ่ง ถุงตาข่ายเส้นไหมพาดไว้บนกายทั้งสองคน 

 

 

“เจ้าชักช้ายิ่งนัก” เจ้าคนนั้นหลับตาอยู่ สายรัดบางของรองเท้าส้นสูงกวัดแกว่งไปมาบนปลายนิ้ว 

 

 

จิ่งเหิงปัวสองมือกอดอกไว้ไม่อยากโต้เถียง อยากเพียงทำท่าทุ่มเหนือไหล่สักครั้ง 

 

 

“ไม่ต้องเดินไปเบื้องหน้า เดินไปทางทิศตะวันตกที่พืชพันธุ์แน่นหนา” ทหารม้าควบองค์ราชินีไว้พลางออกคำสั่งใหม่ 

 

 

“ข้าคล้ายจะมองเห็นถ้ำแห่งหนึ่งเบื้องหน้า” จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าถ้ำคืออุปกรณ์ประกอบฉากที่ต้องตระเตรียมเมื่อตัวละครหลักในนวนิยายทุกประเภทออกผจญภัย 

 

 

“อยากอยู่กับสัตว์ร้ายเจ้าก็ไปเสียเอง” 

 

 

“ทางตะวันตกพืชพันธุ์ป่าไม้เขียวชอุ่ม แล้วจะไม่มีสัตว์ร้ายหรือ” จิ่งเหิงปัวไม่พอใจ ไม่เชื่อว่าเขาอยู่ห่างขนาดนี้ยังล่วงรู้ได้ว่าในถ้ำนั้นมีสัตว์ป่า เจ้าคนนี้อยากจะทรมานตนเองชัดๆ! 

 

 

“สตรีมากวาจา ดวงหน้าอัปลักษณ์” เขาตอบ 

 

 

จิ่งเหิงปัวไปทางทิศตะวันออกอย่างขมขื่น พืชพรรณต้นไม้ใบหญ้าในป่าหนาแน่น เดินเท้ายิ่งลำบากยากเข็ญ นางเริ่มยินดีที่ได้เปลี่ยนรองเท้า ไม่อย่างนั้นเท้าคงเหยียบย่ำจนพังไปแล้ว 

 

 

นางเองรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เดินเท้ามาหลายลี้แล้ว ตนเองยังแบกคนผู้หนึ่งไว้ ไม่เพียงไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย หน้าอกอึดอัดหายใจไม่ออกอยู่บ้างด้วยเพราะไหลร่วงจากหน้าผาก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้ก็โล่งโปร่งขึ้นมามากแล้ว 

 

 

แต่ว่ากงอิ้นที่อยู่บนหลัง มหาเทพถูกแบกเอาไว้กลับคล้ายมิได้เสพสุข เอ่ยวาจาน้อยครั้ง ปริปากบางครั้งบางคราคล้ายมีความเหนื่อยล้าเจือปนอยู่ด้วย 

 

 

บาดแผลกำเริบจนตายเลยน่าจะดี! นางคิดอย่างรังเกียจ 

 

 

ป่าผืนนี้คงเป็นป่าที่ไม่เคยมีใครมาเป็นแน่ พืชพันธุ์อุดมสมบูรณ์ต้นไม้อวบหนาแข็งแรง ยังมีต้นไม้เก่าแก่อายุมากกว่าร้อยปี 

 

 

เหนือศีรษะคล้ายมีเสียงซู่ๆ ใบไม้ยุ่งเหยิงดังพึ่บพั่บรอบหนึ่ง จิ่งเหิงปัวเงยหน้าขึ้นมองเห็นท้องฟ้าที่ปกคลุมด้วยกิ่งใบเขียวขจีอย่างผิดปกติ คล้ายมีเงาดำสายหนึ่งกะพริบวูบผ่าน 

 

 

“เหมือนจะ…มีตัวอะไรสักอย่าง!” นางกล่าวอย่างตกตะลึง