ตอนที่ 466 เฉวียนกรุ๊ปเผชิญวิกฤต
“เนื่องจากยังไม่ได้จัดเตรียมห้องภายในสำนักแพทย์โบราณไว้ ระยะนี้เธอทนลำบากพักอยู่กับอาจารย์มั่วเวิ่นไปก่อน รอให้ฉันจัดการห้องและของอื่นๆ เสร็จแล้ว เธอค่อยย้ายไปอยู่”
ผู้อำนวยการปล่อยมือออกแล้วพูดกับอีลั่วเสวี่ย แม้อีกฝ่ายจะเป็นเพียงนักศึกษามหาวิทยาลัยปีสาม แต่เขาไม่กล้าปฏิบัติต่อเธอเหมือนนักศึกษาที่ยังไร้เดียงสา
อีลั่วเสวี่ยกลอกตา “ห้องของฉันเอง แล้วจะมีเครื่องมือสำหรับทดลองอย่างที่นี่ไหมคะ?” พูดตามตรง หลังจากมาที่นี่แล้ว เธอจึงพบว่าเครื่งมือทันสมัยเหล่านี้สามารถสกัดสมุนไพรทิพย์ได้บริสุทธิ์กว่าที่เธอใช้ไฟทิพย์และพลังทิพย์สกัด
ที่สำคัญที่สุดก็คืออีลั่วเสวี่ยไม่ต้องกงวลว่าจะสูญเสียพลังทิพย์ไป เธอใช้พลังทิพย์เพียงเล็กน้อยบวกกับสารเร่งและเครื่องมือของโลกนี้ก็พอแล้ว แม้จะเป็นยุคสมัยที่ยังล้าหลังแต่ก็ยังมีจุดที่น่าภูมิใจบ้าง
“เรื่องนี้แน่นอน แต่รายละเอียดอาจต้องรอให้คุณอีเสนอมาว่าต้องการเครื่องมืออะไรบ้างแล้วค่อยจัดซื้อ” ไม่จำเป็นต้องมีเครื่องมือมากเกินไป มีพอใช้อย่างเหมาะสมก็พอ
ดวงตาอีลั่วเสวี่ยยิ้มระรื่น “ดีค่ะ งั้นตกลงตามนี้ ขอบคุณที่ท่านผู้อำนวยการเชื่อมั่นในตัวฉัน”
อีกฝ่ายเชื่อมั่นในตัวเธอขนาดนี้ เธอย่อมต้องแสดงความสามารถที่ตนเองมีอยู่ แน่นอนว่าครั้งนี้เธอจะไม่เปิดเผยความเป็นมาของตนเองให้ใครรู้อีก
ผู้อำนวยการปลื้มใจมาก “ไม่ต้องขอบใจ ที่คุณอียอมตกลงฉันต่างหากที่ต้องขอบใจจึงจะถูก เอาละ ฉันยังมีงานต้องทำ ต่อจากนี้ฉันจะประกาศเรื่องที่คุณอีเข้าสังกัดสำนักแพทย์โบราณให้ทุกคนรู้”
ก่อนจากไปผู้อำนวยการไม่ลืมที่จะหันมาทางมั่วเวิ่นและเฟิงฉี่ “ขอบใจมากที่ต้อนรับ โจ๊กอร่อยมาก”
หลังจากผู้อำนวยการไปแล้ว มั่วเวิ่นกับศิษย์ต่างประหลาดใจ ทำสำเร็จแล้ว ไม่ง่ายไปหน่อยหรือ เขาคิดว่าที่ผู้อำนวยการก้าวมาถึงขั้นนี้ได้คงเพราะเติบโตและศึกษาอยู่ในสำนักแพทย์โบราณมาตั้งแต่เด็ก
“ดีเลย ต่อไปนี้ฉันสามารถมาที่สำนักแพทย์โบราณอย่างมีเหตุผลถูกต้อง ไม่ทำให้พวกคุณลำบากใจแล้ว” อีลั่วเสวี่ยพูดด้วยความพอใจ
ถัดมาอีลั่วเสวี่ยใช้สมุนไพรทิพย์ที่เจ้าลูกบอลเงินมอบให้ หลอมโอสถทิพย์อีกครั้งด้วยความช่วยเหลือของมั่วเวิ่นและเฟิงฉี่ แต่ครั้งนี้สามารถใช้เตาหลอมยาทำในห้องทดลองได้ เพราะไม่จำเป็นต้องอาศัยไอทิพย์จากฟ้าดิน
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาก็ผ่านไปสามสัปดาห์แล้ว เกินระยะเวลาครึ่งเดือนไปแล้ว เดิมทีอีลั่วเสวี่ยตั้งใจจะรีบกลับ แต่สุดท้ายตัดสินใจอยู่ต่อ แล้วทำการหลอมโอสถทิพย์จนครบหนึ่งเดือน
เธอตั้งใจจะมอบยาที่มีสรรพคุณบำรุงร่างกายและช่วยชีวิตให้อวิ๋นเว่ย ถือเป็นการตอบแทนพระคุณเขา เขาอยู่ห่างไกลก็ยังส่งปืนมาให้เธอเพราะก่อนหน้านี้เธอเคยบอกว่าชอบปืน
วันนี้เฟิงฉี่และมั่วเวิ่นมาส่งอีลั่วเสวี่ยที่ประตูสำนักแพทย์โบราณ
“เอาละ พวกคุณส่งที่นี่ก็พอ ถัดจากนี้ฉันรู้ว่าจะกลับอย่างไร” อีลั่วเสวี่ยหยุดเดิน สะพายเป้บนหลัง หันมาร้องห้ามเฟิงฉี่และมั่วเวิ่นไม่ต้องเดินไปส่งอีก
“เจ๊ งั้นคุณระวังตัวด้วย กลับถึงบ้านแล้วอย่าลืมส่งข่าวมาบอกนะ” เฟิงฉี่ท่าทางไม่อยากให้เธอจากไป เขาพบว่าตนเองอยู่กับเธอได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมาย
อีลั่วเสวี่ยยิ้ม “ได้ ฉันรู้แล้ว พวกคุณไม่ต้องส่งแล้ว”
เฟิงฉี่และมั่วเวิ่นรอจนอีลั่วเสวี่ยจากไปแล้ว จึงหันหันหลังเดินกลับไป ขณะที่พวกเขาจากกัน หลี่ห้าวหมิงจ้องมองอีลั่วเสวี่ยด้วยสายตามุ่งร้าย
ผู้หญิงคนนี้ ถ้ามีโอกาสเขาต้องเล่นงานเธอให้หนำใจ น่าเสียดายที่ช่วงที่ผ่านมาเขาหาโอกาสไม่ได้ ไม่รู้ว่าเธอมัวทำอะไรอยู่ ไม่เห็นออกมาข้างนอก
ตอนที่ 467 ไม่ซ้ำเติมเมื่อคนอื่นลำบาก
อีลั่วเสวี่ยไม่รู้เลยว่าขณะนี้เฉวียนกรุ๊ปกำลังเผชิญกับวิกฤตที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เนื่องจากครั้งก่อนเฉวียนหมิงไม่ได้เข้าร่วมถือหุ่นของไหลย่ากรุ๊ปในงานเลี้ยงคืนนั้น ทำให้หลายคนในสังคมชั้นสูงเชื่อว่าบริษัทเขามีปัญหาด้านเงินทุน
เดิมทุกคนไม่มีท่าทีอะไร แต่คิดไม่ถึงว่าธุรกิจสกุลฟางเริ่มตัดขาดการร่วมมือกับเฉวียนกรุ๊ป จากนั้นกลุ่มธุรกิจที่มีความเชื่อมโยงกับสกุลฟางก็ทำตาม
จากนั้นทุกคนก็พบว่ามีคนพุ่งเป้าไปที่เฉวียนกรุ๊ป เพราะทันทีที่เฉวียนกรุ๊ปล้มลง เค้กใหญ่ก่อนนี้จะเป็นที่ช่วงชิงกันของพวกเขาในตลาด แต่ละคนพากันหมายตา
“ท่านผู้อำนวยการ เวลานี้มีหลายบริษัทเลิกร่วมมือกับเฉวียนกรุ๊ปแล้ว เราจะเข้าร่วมเล่นงานด้วยไหมครับ ขายหุ้นในมือออกไป”
ชายวัยกลางคนพูดกับชายหนุ่มซึ่งนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ชายหนุ่มคนนี้คือหนานหลิวเฟิงนั่นเอง หนานกรุ๊ปค่อยๆ มอบอำนาจการบริหารไว้ในมือเขา เขาค่อยๆ คุ้นเคยและสร้างผลงานออกมา
หนานหลิวเฟิงได้ยินก็เงยหน้าขึ้น ใบหน้าที่หล่อเหลามีความเป็นเด็กลดลง ดูสุขุมมากขึ้น
“สภาพตอนนี้เป็นยังไงบ้าง ทางเฉวียนกรุ๊ปมีความเคลื่อนไหวไหม?” เฉวียนหมิงไม่ใช่คนที่จะล้มง่ายๆ ก่อนหน้านี้ไม่สามารถยืนขึ้นได้ เขาอายุยังน้อยแต่ไม่ได้ทำให้เฉวียนกรุ๊ปย่ำแย่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเวลานี้
อีกฝ่ายสั่นหัว “ดูเหมือนจะไม่ค่อยดีนัก นอกจากธุรกิจสกุลฟางแล้ว บริษัทของมั่วเฉินเซียวก็เข้าร่วมด้วย ได้ข่าวว่าในนี้ยังมี…”
“ยังมีอะไร พูดอ้ำๆ อึ้งๆ” แววตาหนานหลิวเฟิงฉายความรำคาญออกมา เร่งให้เขาพูด
“ยังมีไหลย่ากรุ๊ปรวมทั้งอิทธิพลสายหนึ่งที่ไม่ทราบชื่อ ได้ยินคนวงในบอกว่าเฉวียนหมิงทำให้ฝ่ายนั้นไม่พอใจ ฝ่ายนั้นเป็นคนในแวดวงกองทัพกับรัฐบาลครับ”
ตรงกับคำกล่าวที่ว่าชาวบ้านไม่ควรสู้กับทางการ พวกเขาทำธุรกิจยิ่งต้องยึดถือเช่นนี้ ดังนั้นปกติจะรักษาระยะห่างกับคนในวงการเมือง ข้อแรกเพื่อป้องกันไม่ให้กลายเป็นเครื่องสังเวยการต่อสู้ทางการเมืองของพวกเขา ข้อสองเพราะไม่อยากให้ตัวเองกลายเป็นหุ่นเชิด ตัวเองกุมอำนาจทางเศรษฐกิจในมือน้อยเกินไป เวลานี้เฉวียนกรุ๊ปผิดใจกับพวกเขา คงต้องโดนเล่นงานแล้ว
“คนในวงการเมือง อย่าลืมสิว่านายท่านผู้เฒ่าเริ่มต้นสร้างธุรกิจมาอย่างไร เฉวียนกรุ๊ปไม่ล้มง่ายๆ หรอก” แม้ขณะนี้ดูแล้วสถานการณ์จะวิกฤต แต่เขาเชื่อว่าเฉวียนกรุ๊ปไม่ล้มง่ายๆ
แต่ลูกน้องเขาไม่คิดเช่นนั้น “ต่อให้นายท่านผู้เฒ่าเก่งแค่ไหน แต่เขาพ้นยุคไปแล้ว ในความเห็นผม เฉวียนกรุ๊ปเวลานี้อาการร่อแร่แล้ว ผู้อำนวยการครับ ไม่งั้นเราน่าจะร่วมแบ่งเค้กก้อนนี้ด้วย?” เฉวียนกรุ๊ปเป็นเนื้อชิ้นใหญ่ ไม่ว่าใครก็อยากกิน
หนานหลิวเฟิงขมวดคิ้ว “แบ่งเค้กหรือ? ไม่ มีคำสั่งลงไป ไม่ว่าบริษัทไหนจะเล่นงานเฉวียนกรุ๊ปยังไง เราจะไม่ลงมือ มีการติดต่อกันตามปกติ ไม่ว่าบริษัทไหนก็ตาม เข้าใจไหม”
“ผู้อำนวยครับ เพราะอะไรหรือครับ” ทิ้งโอกาสที่ดีแบบนี้ น่าเสียดายจริงๆ
“ฉันไม่ซ้ำเติมเมื่อคนอื่นลำบาก” พูดจบก็โบกมือ ลูกน้องเขาไม่พูดอะไรอีก ขานรับแล้วผละไป
พอประตูห้องปิดลงหนานหลิวเฟิงจึงวางของในมือลง แล้วถอนหายใจเบาๆ เขาคลึงที่หว่างคิ้ว ไม่ใช่เขาไม่คิดจะซ้ำเติม เพียงแต่เขาไม่อยากให้วันหน้า ไม่อาจสู้หน้าอีลั่วเสวี่ยได้
ธุรกิจค่อยๆ ขยายใหญ่ได้ ที่เขาไม่อยากเป็นศัตรูด้วยที่สุดก็คือเธอ ขณะที่เฉวียนกรุ๊ปมีความเกี่ยวข้องกับเธออย่างแน่นแฟ้น หนานหลิวเฟิงย่อมไม่รู้ว่าขณะนี้ที่เขาคิดเช่นนี้ ในอนาคตเขาจะได้รับประโยชน์ไม่ใช่เพียงเฉพาะหน้านี้เท่านั้น