ภาคที่ 30 ปรมาจารย์และลูกศิษย์ ตอนที่ 36 อาจารย์และศิษย์

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ตอนที่ 36 อาจารย์และศิษย์ โดย Ink Stone_Fantasy

ณ วังทวีสูญ โลกทิพย์ทะเลสัตตดารา

บรรพชนเทียนอวี๋และจอมกระบี่นั่งเคียงข้างกัน พวกเขาทั้งสองรินสุราให้กันพลางสนทนากัน และมองดูภาพที่ปรากฏขึ้นกลางฟากฟ้าตรงหน้า ซึ่งเป็นภาพที่ตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงทางเข้าเจดีย์ดาวพร้อมกับเจ้าลัทธิภาพจิต เพราะห่างจากวันที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสอนวิถีมากว่าครึ่งค่อนเดือนแล้ว บรรพชนเทียนอวี๋และจอมกระบี่จึงย่อมเตรียมตัวมาดูตงป๋อเสวี่ยอิงบุกฝ่าเจดีย์ดาวเป็นอย่างดีแล้ว

เนื่องจากหกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เสมือนเป็นหนึ่งเดียวกัน เทพจักรวาลคนอื่นๆจึงจับตามองตงป๋อเสวี่ยอิงมากเช่นเดียวกัน

“ตอนแรกข้าก็คิดว่าเจ้าหนุ่มนี่มีความสามารถที่ซ่อนอยู่สูงยิ่งนัก มีหวังจะก้าวเข้าสู่ขั้นอลวนได้” บรรพชนเทียนอวี๋พูดยิ้มๆ “แต่คิดไม่ถึงว่าดูถูกเขามากไปหน่อย เขากลับเข้ามาอยู่ในขั้นรวมเป็นหนึ่งและมีพลังระดับชั้นที่เจ็ดได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ ในภายหน้าวังทวีสูญเราอาจจะมีระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เก้าเพิ่มมาอีกคนก็เป็นได้ ถึงตอนนั้น ในหกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ วังทวีสูญเราก็จะมีระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เก้าสองคนเหมือนกับเมืองราชันย์มีดแล้ว”

บัดนี้หกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ มีเพียงเมืองราชันย์มีดเท่านั้นที่มีผู้แกร่งกล้าระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เก้าถึงสองคน

วังทวีสูญ มีประมุขตำหนักอลหม่านเพียงผู้เดียวเท่านั้น

เกาะปฐมบรรพชนก็มีประมุขวังเจียงฝู่เพียงคนเดียว ดังนั้นเขาจึงรับหน้าที่เป็นปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ด้วยตนเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่หาได้ยากมาก  เมืองราชันย์มีดทำได้เพียงให้ ‘เจ้าลัทธิภาพจิต’ เป็นผู้ดำเนินการ บวกกับจักรพรรดิสิงหั่วผู้นั้น ก็มาเข้าร่วมชมด้วยเพราะบุตรชายเป็นเหตุดังนั้นในงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราครั้งนี้…จึงมีระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เก้าถึงสามท่านเข้าร่วม ในประวัติศาสตร์หาได้ยากนัก! นอกจากนี้งานชุมนุมใหญ่ดวงดาราครั้งนี้ยังมีขั้นรวมเป็นหนึ่งชั้นที่เจ็ดปรากฏขึ้นมาอีกคนหนึ่งด้วย เรื่องนี้ยิ่งหาได้ยากเข้าไปใหญ่

“ไม่แน่ เขาอาจจะสำเร็จเป็นเทพจักรวาลก็เป็นได้” จอมกระบี่พูดยิ้มๆ

“เทพจักรวาลหรือ นี่ก็ยากแล้ว” บรรพชนเทียนอวี๋ทอดถอนใจ “การถือกำเนิดของเทพจักรวาลแต่ละคนล้วนมีเส้นทางของตนเอง จะมีก็แต่ท่าน จอมกระบี่เท่านั้นที่เก่งกาจ บำเพ็ญภายในจักรวาลเพียงลำพังก็บรรลุถึงขั้นอลวนได้ มาถึงวังทวีสูญแล้วพลิกอ่านคัมภีร์ก่อนจะเก็บตัว ออกมาก็กลายเป็นเทพจักรวาลแล้ว”

จอมกระบี่ช่างเป็นตำนานโดยแท้

คนอื่นๆ มีผู้ใดบ้างที่มิได้ผ่านการเคี่ยวกรำอันหนักหน่วง ก่อนจอมกระบี่จะสำเร็จเป็นเทพจักรวาล เขาก็มิได้มีชื่อเสียงโด่งดังอันใดในอากาศอันสับสนอลหม่าน รู้เพียงว่าจู่ๆ  ‘วังทวีสูญ’ ก็มีขั้นอลวนโผล่มาอีกคนหนึ่งนามว่าจอมกระบี่ หลังจากนั้นไม่นานสักเท่าใดนัก ขั้นอลวนผู้นี้ก็สำเร็จเป็นเทพจักรวาลแล้ว แน่นอนว่าย่อมก่อให้เกิดความสะท้านสะเทือนมากกว่าตงป๋อเสวี่ยอิงในครั้งนี้มากนัก

ทำให้ผู้แกร่งกล้าจำนวนนับไม่ถ้วนมึนงงไปหมด

……

เทพจักรวาลหลายท่านมองดูอยู่ห่างๆ เนื่องจากเป็นคนของหกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด ดังนั้นเจดีย์ดาวจึงอนุญาตให้พวกเขาสามารถชมดูภาพการต่อสู้ภายในได้

“เทพจักรวาลหลายท่านดูอยู่ ต้องทำให้เต็มที่ล่ะ” เจ้าลัทธิภาพจิตกล่าว

“เรื่องนี้แน่นอนอยู่แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงบินตรงเข้าไปในเจดีย์ดาว แท้นี่จะเป็นเจดีย์ดาวของเมืองราชันย์มีด แต่ก็หลอมขึ้นมาให้เหมือนกับของวังทวีสูญทุกประการ เขาจึงคุ้นเคยดีเป็นอย่างมาก

ฟิ้ว

ชั้นที่เจ็ดของเจดีย์ดาว ลำแสงสีแดงโลหิตพุ่งออกมาจากส่วนลึกของเทือกเขาที่ทอดยาวต่อเนื่องกันแล้วรวมตัวกันก่อนจะ แปรเป็นเงาร่างสิบสาย ซึ่งก็คือฝูงมารผลาญทำลายสวมเกราะสีแดงโลหิตสิบตนซึ่งมีรูปร่างแตกต่างกันไป พวกเขาแตกต่างกับตู่ต่อสู้ในชั้นที่เจ็ดของเจดีย์ดาวแห่งวังทวีสูญอยู่บ้าง ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้ว่าความยากคงจะเหมือนกัน

“ไป” ตงป๋อเสวี่ยอิงกำหนดจิตคราหนึ่ง

ดอกตูมสีดำปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า เหนี่ยวนำคลื่นพลังฟ้าดินอันน่าหวาดหวั่น แผ่คลุมฝูงมารผลาญทำลายทั้งสิบตน ภายใต้ชั่วความคิดหนึ่ง ก็ปรากฏขึ้นดอกแล้วดอกเล่า จนมีดอกตูมสีดำถึงเจ็ดดอก ดอกหนึ่งห่อหุ้มอีกดอกหนึ่ง ชั้นในสุดก็คือฝูงมารผลาญทำลายทั้งสิบตนซึ่งออกจะตื่นตระหนกอยู่บ้าง! เพราะถึงอย่างไรกระบวนท่าของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ร่อนลงมาจากฟากฟ้า จะหลบก็หลบไม่พ้น

ระลอกน้ำวนของพลังฟ้าดินรอบด้านยังมิทันสลายไป ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับเอ่ยขึ้นว่า “ทำลาย!”

เขาไม่ไว้น้ำใจเลยแม้แต่น้อย เมื่อมาถึงก็สำแดงบุปผาผลาญทำลายเจ็ดดอกออกไปพร้อมกัน

ตู้มๆๆ…

เมื่อเผชิญหน้ากับประมุขวังปาอวิ่น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้โหดร้ายถึงเพียงนี้ ดอกตูมสีดำเจ็ดดอกบานออกพร้อมกัน ขณะที่เบ่งบานออกมาพร้อมกันนั้น ก็เป็นชั่วขณะที่มันทำลายล้าง และเผยให้เห็นอานุภาพอันน่าหวาดหวั่น ฝูงมารผลาญทำลายสิบตนแผดเสียงคำรามบาดหูด้วยความแตกตื่นและกราดเกรี้ยว

เมื่อทั้งหมดสลายหายไป ก็มีฝูงมารผลาญทำลายที่บาดเจ็บสาหัสสองตนอยู่ในนั้น

เพียงแค่กระบวนท่าที่สำแดงออกไปอย่างสุดกำลังครั้งหนึ่ง ฝูงมารผลาญทำลายอีกแปดตนก็ตายเรียบ ส่วนอีกสองตนบาดเจ็บสาหัส ซึ่งทั้งสองตนนี้มีการป้องกันที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง สาเหตุหลักก็เพราะอานุภาพของบุปผาผลาญทำลายทั้งเจ็ดดอกของตงป๋อเสวี่ยอิงกระจายตัวกันอยู่เหนือฝูงมารผลาญทำลาย จึงทำให้พวกเขาสามารถต้านทานได้

ฝูงมารผลาญทำลายสองตนที่หลงเหลืออยู่ตื่นตระหนกเหลือแสน จึงคิดจะรุดหนีไป

แต่ก็ไม่ทันการเสียแล้ว!

“ทำลาย” ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงบุปผาผลาญทำลายสีดำทั้งเจ็ดดอกออกมาอีกครั้ง หลังจากบุปผาผลาญทำลายเบ่งบานแล้ว ฝูงมารผลาญทำลายที่หลงเหลืออยู่สองตนนั้นก็สิ้นใจตายไปเรียบร้อยแล้ว

“ตอนแรกข้าสำแดงทั้งบริเวณและเขตลวง สำแดงใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์ สู้อย่างสุดชีวิต ทั้งยังอาศัยการป้องกันของร่างกายที่แข็งแกร่งพอฝืนต้านทาน…เสียเวลายาวนานมากจึงทำให้ฝูงมารผลาญทำลายสิ้นใจไปได้แปดตน บัดนี้เพียงพริบตาเดียวพวกเขาก็ถูกทำลายเสียแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงรำพึงในใจ เขาเองก็รู้ว่าพลังของเขาในระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เจ็ดก็นับว่าไม่เลวแล้ว

เพราะถึงอย่างไรตามการวิเคราะห์ของตน ลำพังแค่บุปผาผลาญทำลายดอกเดียว ก็เพียงพอจะบรรลุถึงขีดจำกัดเจดีย์ดาวชั้นที่เจ็ดได้แล้ว ตนสามารถสำแดงออกมาได้ถึงเจ็ดดอก ก็ย่อมแข็งแกร่งขึ้นมากมิใช่หรือไร

“ไปลองชั้นที่แปดดูอีกดีกว่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงอยากจะลองสัมผัสอานุภาพของชั้นที่แปดดูสักตั้ง

ฟิ้ว

เขาถลาขึ้นสู่ฟ้า แล้วบินเข้าไปจากทางเชื่อมน้ำวนกลางฟากฟ้า

เจดีย์ดาวชั้นที่แปดเป็นเวทีการต่อสู้ขนาดมหึมาแห่งหนึ่ง บนเวทีมีแสงสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาแล้วรวมตัวกันเป็นผู้แกร่งกล้าต่างเผ่าสวมเกราะทองแนบกายผู้หนึ่ง เกราะสีทองนั้นแนบชิดติดทั้งกายราวกับผิวหนังอย่างไรอย่างนั้น เขามีหางเรียวยาวสามอัน หางนั้นแหลมคมหาใดเปรียบและมีแขนสองข้างซึ่งยาวจนถึงหัวเข่า

“ฝูงมารผลาญทำลายเกราะทอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ เขาเข้าใจข้อมูลของฝูงมารผลาญทำลายอยู่ไม่น้อย

ฝูงมารผลาญทำลายแบ่งเป็นสามระดับหลักคือเกราะสีเทา เกราะสีแดงโลหิตและเกราะสีทอง ฝูงมารผลาญทำลายเกราะสีทองที่อ่อนแอที่สุดก็มีพลังระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เจ็ด ที่แข็งแกร่งที่สุดก็มีพลังระดับชั้นที่เก้าเลยทีเดียว

และเหนือกว่านั้น…

ยังมีฝูงมารผลาญทำลายระดับเทพจักรวาล พวกเขาไม่มีลักษณะเฉพาะที่แน่นอน กลิ่นอายทำลายล้างอันชั่วร้ายยังถึงขั้นเก็บงำเอาไว้ โดยทั่วไปก็ยากมากที่ขั้นอลวนจะสังเกตเห็นพวกเขา

“ขั้นรวมเป็นหนึ่งหรือ” มารผลาญทำลายเกราะทองมองดูตงป๋อเสวี่ยอิงตรงหน้าด้วยความตกตะลึงอยู่บ้าง

“ทำลาย” ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับส่งบุปผาผลาญทำลายเจ็ดดอกให้ร่อนลงไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย!

ภายใต้อานุภาพของบุปผาผลาญทำลายเจ็ดดอก แม้ชั้นเกราะเหนือผิวหนังของมารผลาญทำลายเกราะทองผู้นี้จะได้รับความเสียหายไปบ้าง แต่เพียงพริบตาเดียวก็คืนสภาพกลับมา

“ตายเสียเถอะ” เพียงครู่เดียวเขาก็บีบบังคับเข้าไปในขอบเขตพันลี้ของตงป๋อเสวี่ยอิง เนื่องจากขอบเขตพันลี้ก็คือบริเวณกฎเกณฑ์ของตงป๋อเสวี่ยอิง ด้วยบริเวณกฎเกณฑ์ซึ่งก่อโครงสร้างขึ้นมาใหม่จาก ‘บุปผาผลาญทำลาย’…มารผลาญทำลายตนนี้ก็มิอาจเคลื่อนที่ในพริบตาเข้าไปได้ ทำได้เพียงอาศัยความเร็วบุกเข้าไปสังหารเท่านั้น

“รวดเร็วเกินไปแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงบุปผาผลาญทำลายออกมาทันที แต่ความเร็วในการสำแดงก็ยังช้าเกินไปอยู่ดีจนถูกบังคับให้ต้องหลบหลีกด้วยการเคลื่อนที่ในพริบตา แม้จะมีดอกสองดอกที่เข้าปกคลุม อีกฝ่ายก็สามารถฉีกทึ้งแล้วพุ่งออกไปได้ในพริบตา

มารผลาญทำลายรวดเร็วเกินไปแล้ว

ตงป๋อเสวี่ยอิงโจมตีก็ทำอะไรอีกฝ่ายมิได้ พยายามซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายครั้งก็ถูกบีบบังคับให้ล้มเลิก

“เห็นทีข้ายังห่างชั้นจากชั้นที่แปดมากนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงทอดถอนใจ “แม้แต่ด้านการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของข้า ก็ยังห่างชั้นลิบลับ คงต้องสำเร็จเป็นขั้นอลวนก่อนค่อยมาเสียแล้ว”

……

เทพจักรวาลหลายท่านที่ชมการต่อสู้อยู่ห่างๆ ต่างพากันชื่นชมเป็นอันมาก เนื่องจากในประวัติศาสตร์ของเจดีย์ดาว แม้จะมีขั้นรวมเป็นหนึ่งสองคนที่ลองเข้าไปบุกฝ่าชั้นที่แปด แต่คนหนึ่งคือ ‘เจ้าลัทธิภาพจิต’ ที่แทบจะยอมแพ้ในชั่วพริบตา! อีกคนหนึ่งคือผู้ที่มีนามว่า ‘จักรพรรดิจิ้นอี๋’ จากแดนทิพย์เหยากวง ซึ่งอาศัยบริเวณและการป้องกันอันล้ำเลิศจนสามารถต้านทานได้หลายหน

ตงป๋อเสวี่ยอิงอาศัยการโจมตีต้านทานได้หลายหน บุปผาผลาญทำลายเจ็ดดอกยังคงส่งผลกระทบต่อความเร็วของฝูงมารผลาญทำลาย

ในเมืองราชันย์มีด

นอกเรือนเล็กริมทะเลสาบแห่งหนึ่ง เงาร่างสองสายกำลังเดินเคียงข้างกัน คนหนึ่งคือราชันย์มีดอาภรณ์สีมอง อีกคนหนึ่งคือบุรุษอาภรณ์สีเทาอ่อนตัวหลวมโพรก ซึ่งก็คือเจ้าเมืองหลัวนั่นเอง

“อาจารย์ขอรับ ท่านรู้สึกว่าตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้เป็นอย่างไรบ้าง” ราชันย์มีดพูดยิ้มๆ ด้วยท่าทีนอบน้อมเป็นอันมาก

หากประโยคนี้ของเขาแพร่ออกไป เกรงว่าคงจะทำให้ทั้งอากาศอันสับสนอลหม่านสะท้านสะเทือน

เพราะว่า…

ผู้ใดก็ไม่รู้ว่า ‘ราชันย์มีด’ ผู้แกร่งกล้าที่สุดแห่งหกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์จะเป็นศิษย์ของเจ้าเมืองหลัว! ราชันย์มีดผู้องอาจคนหนึ่งจะเป็นศิษย์ของขั้นอลวนคนหนึ่งอย่างนั้นหรือ

“พอจะมีความสามารถที่ซ่อนอยู่บ้าง เก็บไว้เป็นตัวเลือกก็แล้วกัน” เจ้าเมืองหลัวพูดยิ้มๆ “เขายังอ่อนเยาว์นัก ยังเร็วเกินไป”

“ขอรับ” ราชันย์มีดพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง

“อันที่จริงเมื่อเทียบกับพลังของเขาแล้ว ข้าค่อนข้างตกใจกับความสงบนิ่งของเขาอยู่บ้าง” เจ้าเมืองหลัวพูดด้วยความตกตะลึง “เขาสำแดงพลังออกมาในงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราจนชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วอากาศอันสับสนอลหม่าน ขั้นอลวนจำนวนมากผูกสัมพันธ์อันดีกับเขา ยามนี้เขาเจิดจรัสอย่างไร้ขีดจำกัด ตามหลักแล้วผู้ที่มีระดับจิตสูงยิ่งยามนี้คงดีใจจนกระโดดโลดเต้นไปแล้ว! แต่เขากลับสงบเป็นอันมาก ข้ามิได้รู้สึกว่าเขาตื่นเต้นสักเท่าใดนัก”

ราชันย์มีดสะดุ้งก่อนจะพยักหน้า “ถูกต้อง เป็นเช่นนี้จริงๆ”

“น่าสนใจ” บนใบหน้าของเจ้าเมืองหลัวมีรอยยิ้มสายหนึ่งผุดขึ้นมา

พวกเขาทั้งสองต่างก็ไม่รู้ว่า

ผู้ที่ภายในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงต้องการลงมือด้วยเป็นที่สุดนั้นก็คือ ‘จอมเทพศักดิ์สิทธิ์’ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในอากาศอันสับสนอลหม่าน แม้แต่กู่ฉีผู้เป็นอาจารย์ก็ยังต้องสิ้นใจด้วยน้ำมือของอีกฝ่าย ตงป๋อเสวี่ยอิงถามตนเองว่าแม้ผลสำเร็จเช่นนี้จะควรค่าให้ยินดีปรีดา แต่ความตื่นเต้นก็ไม่จำเป็นแล้ว ตนยังอยู่ระหว่างทาง ห่างจากจอมเทพศักดิ์สิทธิ์กว่าหนึ่งแสนแปดพันลี้

……

ณ ตำหนักทวีสูญ

บรรพชนห้วงอากาศนั่งเงียบๆ อยู่เพียงลำพัง สาตาของเขาสามารถแผ่คลุมไปทั่วทุกแห่งหนในอากาศอันสับสนอลหม่านได้ แต่แม้อากาศจะกว้างใหญ่ไพศาล มีสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน แต่กลับไม่มีกู่ฉีศิษย์ของเขาอีกต่อไปแล้ว

เมื่อเห็นศิษย์หลานอย่างตงป๋อเสวี่ยอิงโดดเด่นสะดุดตา เขาก็ยินดี

แต่กู่ฉีกลับมองไม่เห็นเสียแล้ว

เขาลืมไม่ลง หลังจากสงครามระหว่างตงป๋อเสวี่ยอิงและอสนีโรจน์แล้ว กู่ฉีตื่นเต้นยินดีเสียจนไม่ทันได้พูดอะไรออกมา และลากเขา บรรพชนห้วงอากาศไปสนทนาด้วยอยู่นานสองนาน

“กู่ฉี” บรรพชนห้วงอากาศพูดเสียงต่ำ “บัดนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงศิษย์ของเจ้าเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกทิพย์ทั้งห้าแล้ว ทั้งยังเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งชั้นที่เจ็ดอีกด้วย หากเจ้ารู้คาดว่างจะดีใจมากกระมัง”

(จบภาคที่ 30)

………………………………