บทที่ 244 ช่องโหว่ โดย EnjoyBook

บทที่ 244 ช่องโหว่

แม้โจวข่ายลูกชายของเธอชักจะดื้อด้าน แต่ต้องยอมรับว่าวิธีนี้ค่อนข้างจะมีประสิทธิภาพทีเดียว

บรรดานักศึกษาใหม่ต่างรู้กันทั่วแล้ว ต่อให้พวกเขาไม่รู้ก็จะเกิดความฉงนสนเท่บางอย่างจนต้องค้นหาคำตอบ

เพื่อนของโจวข่ายรู้เรื่องนี้ก็หัวเราะไม่หยุด “นายแน่มาก นายปกป้องแม่นายแบบสู้ตายจริง ๆ แม่นายคงอยากคว้าไม้เรียวฟาดนายแล้วมั้ง”

“นายจะหัวเราะหาอะไร? แม่ฉันจับฉันไม่ได้หรอกน่า” โจวข่ายตอบ

ส่วนเรื่องที่เหลือเขาก็ไม่สนใจ​ แต่ถึงอย่างนั้นเขายังต้องคอยจับตาดูอยู่

ถ้ายังมีใครหน้าไหนหลับหูหลับตาตามจีบแม่หรือเขียนจดหมายรักมาให้แม่ของเขา​ ก็คอยดูเขาไล่คนพวกนั้นไปแล้วกัน

ทางมหาวิทยาลัย​รับรู้การกระทำของโจวข่ายแล้ว​ บรรดาคณบดีถึงกับหัวเราะงอหงาย​ เด็กหนุ่มอายุแค่ 14 ปีเท่านั้นแต่ร้อนใจในทันทีที่เห็นแม่ของเขาโดนตามจีบ​ ซึ่งก็เป็นธรรมดาที่จะใช้วิธีนี้เป็นการเตือน

หลินชิงเหอรับรู้เรื่องนี้ขณะอยู่ที่หอพัก

เรื่องนี้ไม่มีอะไรเลย​ แต่เฉินเสวี่ยกลับมีท่าทางเปลี่ยนไป​ หล่อนถึงกับถามเธอเป็นการส่วนตัว​ “เธอไม่คิดว่าน่าเสียดาย​เหรอที่เจอกับผู้ชายแบบนี้​ หากดูจากระดับสติปัญญา​ความรู้ของเธอแล้ว?”

หล่อนรู้เรื่องนี้​ อย่าตัดสินว่าหลินชิงเหอดูเหมือนสาวเมืองกรุงที่พูดภาษาอังกฤษ​คล่องเลย​ แต่สามีของเธอก็เป็นชาวชนบทเหมือนกัน​ พึ่งพาอาศัยผืนดินทำมาหากินเหมือนกัน

เฉินเสวี่ยเห็นแล้วว่าหลินชิงเหอเป็นอย่างไร​ เธอเป็นผู้หญิงสวย​ ความรู้ค่อนข้างสูง​ แต่หล่อนกลับไม่เห็นด้วยกับความคิดของเธอ

อย่างเช่นตอนปิดภาคการศึกษาฤดูร้อนนี้​ หลินชิงเหอไม่ได้คว้าช่วงเวลานี้ในการอยู่ศึกษาเล่าเรียนต่อ​ แต่เดินทางกลับไปหาสามีที่ชนบทแทน

หล่อนไม่เข้าใจเลยจริง ๆ

ประเด็นหลักคือเธอทำแบบนั้นลงไปจริง ๆ

เธอจะรู้ไหมว่าโอกาสกลับมาศึกษาในตอนนี้มันหายากขนาดไหน? ใครจะรู้ว่ามีโอกาสแบบนี้ในอนาคตอีกหรือไม่​ แทนที่จะเรียนแข่งกับเวลา​ เธอกลับยังมีกะจิตกะใจคิดถึงสามีที่ชนบทอีก

เมื่อทุกอย่างพัฒนาไปในอนาคต​ จะมีชายหนุ่มผู้โดดเด่นดีพร้อมให้ได้เลือกกี่แบบกัน?

หลินชิงเหอไม่คิดเลยว่าหล่อนจะพูดกับเธอแบบนี้​ เธอตอบกลับไปโดยไม่ทันต้องคิด​ “น่าเสียดายอะไรกัน? ฉันแต่งงานกับเขาก็มีความสุขดีอยู่”

สามีของเธอช่างซื่อสัตย์และมีความรับผิดชอบ​ ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยเหลือเกินที่ได้อยู่กับชิงไป๋ของเธอ

สำหรับผู้หญิงแล้ว​ อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดล่ะ?

บางทีหลินชิงเหออาจคิดว่าหน้าที่การงานคือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้หญิง

แต่หญิงสาวได้รับความรักหล่อเลี้ยง​ ทำให้ตอนนี้เธอมีมุมมองเปลี่ยนไปแล้ว​ เธอรู้สึกว่าการหาผู้ชายที่เหมาะสมมาเป็นคู่ชีวิตถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมากเหมือนกัน

เช่นเดียวกับความสำคัญของหน้าที่การงาน​ จะมีอะไรขาดหายไปไม่ได้เลย

แม้โจวชิงไป๋จะไม่เคยพูดป้อนคำหวาน​ แต่หลินชิงเหอก็ยังชอบเขา​ เขาช่างสมบูรณ์แบบไปทุกแง่ส่วน

หลินชิงเหอพอใจมากที่ได้ผู้ชายแบบนี้มาเป็นสามี

อีกเรื่องหนึ่งคือลูกชายทั้งสามคนของเธอกำลังเจริญก้าวหน้า​ แม้บางครั้งพวกเขาจะก่อกวนจนยากจะรับมือ​ ทำให้เธอต้องต่อล้อต่อเถียง​พวกเขาบ่อยครั้งขึ้น​ แต่หลินชิงเหอก็ยังมีความสุข

ดังนั้นหลินชิงเหอกับเฉินเสวี่ยจึงไม่ได้ถูกกำหนดให้ไปด้วยกันได้

เฉินเสวี่ยมองว่าหลินชิงเหอเป็นโคดื้อที่ไม่สามารถลากจูงไปได้​ หล่อนรู้สึกรำคาญใจที่มองเห็นอีกฝ่ายเป็นแบบนี้ยามพูดถึงชีวิตแต่งงานของเธอขึ้นมา

การแต่งงานกับชายชนบทจะมีความสุขได้อย่างไรล่ะ​ ที่มีความสุขที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้กินอิ่ม

นอกเหนือจากนั้นก็ไม่มีการเสาะแสวงหาอะไรอีก

เฉินเสวี่ยทนมีชีวิตสมรสแบบนี้ไม่ได้​ นี่จึงเป็นเหตุว่าทำไมหล่อนถึงไม่กลับบ้านในช่วงปิดภาคการศึกษา​ฤดูหนาว

หลินชิงเหอไม่ได้พูดอะไรกับเฉินเสวี่ยต่อไป​ เธอกระตุกยิ้มและเมินหล่อนเสียเมื่อเห็นสีหน้า​ ‘ทำไมเธอถึงยอมลดตัวลงต่ำขนาดนั้นกันนะ’​ ของหล่อน

สิ่งที่หญิงสาวไม่รู้ก็คือเหตุผลที่เฉินเสวี่ยมาคุยกับเธอในครั้งนี้​ก็เพราะว่าเธอมีความรู้ภาษาอังกฤษ​ยอดเยี่ยม

ความเชี่ยวชาญในภาษาอังกฤษนับว่าน่าอัศจรรย์มากแล้ว​ แม้แต่ในมหาวิทยาลัยปักกิ่งก็ตาม

แต่ไม่คิดเลยว่าก่อนที่พวกเธอจะได้พูดอะไรมากกว่านี้​ หล่อนก็เห็นความคิดของหลินชิงเหอและรู้ว่าเธอคงพูดอะไรต่อไม่ได้​อีก​ พวกเธอไม่อาจพัฒนาความสัมพันธ์​เป็นเพื่อนคู่คิดได้

ซึ่งหลินชิงเหอไม่สนใจแต่อย่างใด

เธอจะไม่รู้ถึงความหมายในคำพูดของเฉินเสวี่ยได้อย่างไรล่ะ?

ภาคการศึกษาที่แล้วอาจกล่าวได้ว่าเป็นแค่ความสงสัย​ แต่ภาคการศึกษา​นี้ไม่ใช่แค่ความสงสัยแม้แต่น้อย

หล่อนมีชายคนรักคนหนึ่งที่มาจากภาควิชาฟิสิกส์

ทั้งคู่มักจะเดินด้วยกันในสวนสาธารณะ​บ่อย ๆ​ ซึ่งไม่รู้ว่าคนอื่นรู้เรื่องนี้หรือไม่​ แต่คนในหอพักต่างรู้กันดี

และชายคนรักของหล่อนก็เป็นบัณฑิตหนุ่มที่ถูกส่งไปยังชนบทเช่นกัน​ เขาเองก็อายุไม่น้อยแล้ว​ ที่เหมือนกันก็คือเขาเองก็มีครอบครัวอยู่ที่ชนบทด้วย

เรื่องนี้นับว่าเป็นการกระทำผิดศีลธรรม​โดยแท้​ และมีแค่พวกเขาสองคนเท่านั้น​ ส่วนคนอื่น ๆ​ นั้นยังไม่ทราบแน่ชัดเพราะพวกเขาไม่ได้ทำให้เห็นโจ่งแจ้ง

แต่หลินชิงเหอไม่ได้เข้าไปยุ่งกับเรื่องพวกนี้​ ต่อให้เธอรู้​ เธอก็จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น

เรื่องนี้ไม่สามารถอธิบายได้หรอก

เมื่อถึงเดือนพฤศจิกา​ยน​ สามีของหวังลี่ก็พาลูกชายมาหาหวังลี่

หวังลี่มีความสุขมากจนต้องขอตัวไปอยู่กับสามีและลูกชาย​ อีก 2 วันต่อมา​สามีกับลูกชายของหล่อนก็กลับบ้านไป

หวังลี่รู้สึกยินดีปรีดาอย่างมาก

หลินชิงเหอเห็นแล้วก็อิจฉาขึ้นมาหน่อย ๆ​ “สามีฉันไม่เห็นบอกว่าจะมาหาฉันบ้างเลย”

“การจะมาถึงนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ​ ยิ่งกว่านั้นฉันบอกพวกเขาไปแล้วว่าปีนี้จะไม่กลับไปฉลองปีใหม่ที่บ้าน​ พวกเขาก็เลยมาหาฉันแทนน่ะจ้ะ” หวังลี่อธิบาย

“ไม่กลับไปฉลองปีใหม่ที่บ้านเหรอ?” หลินชิงเหออดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมา

“ไม่กลับไปอีกแล้วจ้ะ​ ฉันต้องเรียนให้หนัก​ นกโง่อย่างฉันมันต้องขยันฝึกบินให้มาก ๆ” หวังลี่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม

หลินชิงเหอฟังแล้วก็รู้ว่าหล่อนกำลังพูดถ่อมตัว​ การที่หล่อนเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยปักกิ่งได้​คงไม่ใช่นกโง่หรอกถูกไหม?

ส่วนหลินชิงเหอวางแผนจะกลับไปในปีนี้

วันนั้นเป็นวันหยุดที่หาได้ยาก​ หลินชิงเหอจึงออกมาเดินเตร็ดเตร่ไปทั่วเมืองเพื่อดูว่ามีของอะไรพอจะแลกเปลี่ยนได้ไหม

ปีนี้เป็นปี 1978 ปีที่หมู่บ้านเสี่ยวกังเริ่มทำสัญญาก่อสร้าง

ไม่ถูกสิ…

หลินชิงเหอเดินวนไปวนมาก่อนจะนึกขึ้นได้ เหมือนเธอจะจำเวลาผิดเสียแล้ว!

ปีนี้หมู่บ้านเสี่ยวกังเริ่มทำสัญญาก่อสร้างจริง​ แต่ยังไม่มีคนมาตั้งรกรากอยู่อาศัย​ หรือว่าปีที่ทางหมู่บ้านจะเปิดให้คนมาทำสัญญาอยู่อาศัยได้จะเป็นปี 1981 หรือ​ 1982 กันนะ?

หลินชิงเหอเคาะศีรษะตัวเองอย่างหงุดหงิด​ เธอพูดกับโจวชิงไป๋อยู่ตลอดว่ามีการทำสัญญาที่อยู่อาศัยในปีนี้

โชคดีที่ชิงไป๋ของเธอเป็นคนปากหนัก​ เขาไม่มีทางพูดเรื่องนี้กับบุคคลที่สามหลังรับรู้เรื่องราวบางอย่างในอนาคต

เมื่อกลับบ้านไปในปีนี้ได้​ เธอจะไปขอโทษเขา

หลินชิงเหอเริ่มเดินทะลุผ่านตรอกซอกซอยต่าง ๆ

เนื่องจากการล่มสลายของแก๊งสี่คน(1) และมีการฟื้นฟูการสอบเข้าม​หา​วิทยาลัย​ เมืองหลวงในตอนนี้จึงดูราวกับช่วงเวลาแห่งฤดูใบไม้ผลิมาจนทุกวันนี้

ต้นกล้าอ่อนค่อย ๆ​ ผลิใบราวกับฤดูใบไม้ผลิได้มาถึงจริง ๆ​ ทั้งเมืองปักกิ่งจะแลดูเจริญรุ่งเรืองในไม่ช้า

หลินชิงเหอเป็นคนหนึ่งที่มีความสามารถ

ยิ่งกว่านั้นในยุคไหนก็แล้วแต่​ มักจะไม่ขาดซึ่งคนกล้าหาญ

เธอเดินซอกแซกอยู่นานก่อนจะคลำทางไปจนเจอตลาดมืดในเมืองหลวง

ที่นี่ช่างลึกลับจริง ๆ

ใช่แล้วล่ะ​ เธอมาที่นี่ก็เพื่อจะซื้อทองคำ​ แม้ทองคำจะมีค่าในทุกวันนี้​ มันก็ยังขึ้นกับเงินดอลล่าร์​สหรัฐอเมริกา​ด้วย​ ดังนั้นจะถือว่าไร้ค่าได้อย่างไรล่ะ?

เพียงแต่ตอนนี้มันไม่ได้หมุนเวียนอยู่ในตลาดเท่านั้น​ หากคนซื้อมีเงินก็ขายได้

ซึ่งหลินชิงเหอกำลังใช้ช่องโหว่นี้ในการหารายได้

……………………………………………………………………………………

(1) เจ้าหน้าที่ในพรรคคอมมิวนิสต์​ที่มีชื่อเสียง​ 4 คนในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม​ ประกอบด้วย​ เจียงชิง​(ภรรยาคนที่สี่ของประธานเหมาเจ๋อตง)​ จางชุนเฉียว​ เหยาเหวินหยวน​ และหวังหงเหวิน​ กล่าวกันว่าเป็นกลุ่มผู้คุมอำนาจพรรคอยู่เบื้องหลังประธานเหมาเจ๋อตง​ และเป็นต้นเหตุของความเดือดร้อนต่างๆ​ ทั่วประเทศจีนในขณะนั้น​ ความเลวร้ายอย่างหนึ่งที่้เห็นชัดคือการสั่งทำลายโบราณสถาน​ โบราณวัตถุ​ สถานที่สำคัญทางศาสนา​ จารีตประเพณี​จีนแบบดั้งเดิม​ รวมทั้งเหล่านักวิชาการ​ ศิลปิน​ ผู้สืบทอดภูมิปัญญายุคโบราณก็ถูกสังหารด้วย​

สารจากผู้แปล

เฉินเสวี่ย​ เธอน่ะจัดการชีวิตตัวเองก่อนเลย​ ไม่ต้องมาสาระแนกับแม่หรอกค่ะ​ แม่จัดการชีวิตของแม่เองได้อยู่แล้ว

แม่กำลังเก็งกำไรทองแล้วค่ะ​ อยากเล่นทองบ้างจังน้า

ไหหม่า(海馬)