ตอนที่ 1843 คาถาครึ่งท่อน

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

หานลี่และกลุ่มพวกกลับตามหญิงสาวจินเย่ว์มาถึงตำหนักยักษ์ตรงใจกลางของเมืองศักดิ์สิทธิ์ และแยกกันนั่งตรงตำแหน่งแขกหลักต่างๆ

จากนั้นจินเย่ว์ก็ออกคำสั่งให้สาวใช้วัยดุรณีสองสามคนเข้ามาในตำหนัก ถือชาวิญญาณและผลไม้ต่างๆ เข้ามาวางเรียงบนโต๊ะด้านหน้า

จนถึงยามนี้อาวุโสจินเย่ว์ก็ยังคงมีท่าทางปฏิบัติต่อหานลี่เหมือนเป็นแขก มองไม่เห็นสีหน้าประหลาดใจเลยสักนิด

หานลี่เองก็มีมารยาท ยกชาวิญญาณถ้วยหนึ่งขึ้นอย่างสง่างาม แล้วลิ้มรสอึกหนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าน้อยๆ

“สหายหานรู้สึกว่าชานี้เป็นอย่างไร นี่คือชาสตรีหอมที่มีแค่ในเมืองศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรา ทุกปีจะผลิตได้แค่ยี่สิบสามสิบชั่งเท่านั้น ชาวิญญาณชนิดนี้ไม่เพียงจะต้องเด็ดยามรุ่งสาง ผู้ที่เด็ดยังต้องเป็นหญิงงามเท่านั้น มิเช่นนั้นกลิ่นหอมจะลดลงเป็นอย่างมาก” จินเย่ว์จิบชาหนึ่งจิบเช่นกัน ฉับพลันนั้นก็เอ่ยกับหานลี่ด้วยรอยยิ้ม

“ใช่แล้ว ชานี้มีกลิ่นหอมเตะจมูก เป็นของล้ำค่าหายากจริงๆ” หานลี่เอ่ยชื่นชม

“หากสหายหานชอบ ข้าจะมอบให้” จินเย่ว์กลอกตาไปมา มุมปากเผยรอยยิ้มขณะเอ่ย จากนั้นก็ปรบมือทั้งสองข้าง ออกคำสั่งกับสาวใช้ที่ยืนประสานมือเข้าด้วยกันอยู่ด้านข้าง

“ไปสวนชา เอาชาสตรีหอมระดับสุดยอดมาห้าชั่ง”

“เจ้าค่ะ ท่านอาวุโส!”

สาวใช้ผู้นั้นพลันตกตะลึง แต่ก็รีบร้อนตอบรับ แล้วถอยออกไปจากตำหนัก

“ขอบพระคุณท่านอาวุโสที่มอบให้!” หานลี่เองก็ประหลาดใจเล็กๆ แต่ทันใดนั้นก็กลับมาเป็นปกติ และคารวะขอบคุณจินเย่ว์

อาวุโสคนอื่นๆ เห็นการกระทำของจินเย่ว์ก็ตกตะลึง แม้จะไม่มีผู้ใดเอ่ยซักถามอันใดก็ตาม

“นอกจากอาวุโสซวีและพวกทั้งสอง อาวุโสคนอื่นๆ ก็ไม่รู้จักสหายหานสินะ เช่นนั้นข้าจะแนะนำสักหน่อย ไม่ต้องพูดถึงสิ่งอื่น เพียงแค่สหายจากเผ่ามนุษย์ผู้นี้เคยช่วยเผ่าวิหคสวรรค์ของเราในอดีต คิดดูแล้วอาวุโสทุกท่านก็น่าจะรู้ว่าสหายหานคือผู้ใด” จินเย่ว์แนะนำให้อาวุโสคนอื่นๆ ที่กำลังฉงนฟัง

“อันใด เป็นคนผู้นี้! เขามาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร!”

“ไม่ใช่ว่าเพลี่ยงพล้ำไปในหุบเหวลึกแล้วหรือ?”

……

ชั่วขณะนั้นในบรรดาอาวุโสวิหคสวรรค์คนอื่นๆ พลันเกิดเสียงอื้ออึงขึ้น ในเวลาเดียวกันนั้นก็ทยอยกันเผยสีหน้าตื่นตะลึงออกมา

มีเพียงอาวุโสแซ่ซวีผู้นั้นและหญิงงามที่ฟังอยู่ด้านข้าง แล้วอดไม่ไหวมองสบตากันพลางเผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา

“ข้าน้อยมีวาสนาเล็กน้อยในหุบเหวลึก จึงโชคดีหนีออกมาจากเงื้อมมือของราชาปีศาจได้ แต่ไม่ได้กลับมาที่เผ่าของท่าน ก็กลับไปที่เผ่ามนุษย์เลย สหายจินคงมีถือโทษผู้แซ่หานด้วยเหตุนี้กระมัง” หานลี่มีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง พลางเอ่ยอย่างราบเรียบ

ได้ยินหานลี่กล่าวอย่างเรียบง่าย จินเย่ว์ก็แววตาเปล่งประกาย แล้วหัวเราะน้อยๆ ออกมา

“ข้าจะคิดเช่นนั้นได้อย่างไร! ตอนนั้นหากไม่ใช่ว่าสหายหานลงแรง ไป๋ปี้และหลันเอ๋อร์คงไม่อาจผ่านการทดสอบกลายเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าข้าและปกป้องเผ่าวิหคสวรรค์ได้ สหายทำตามสัญญา ก็ได้รับอิสระแล้ว ทว่าสหายไม่ได้พบกันแค่สองสามร้อยปี ก็พัฒนาจากระดับเทพแปลงมาอยู่ในระดับศักดิ์สิทธิ์ ช่างเป็นสิ่งที่น่าเหลือเชื่อจริงๆ ดูแล้วข่าวที่สี่ราชาปีศาจในหุบเหวลึกหายตัวไปคงเกี่ยวข้องกับสหาย หากไม่ถือสา สหายหานอธิบายให้พวกเราฟังได้หรือไม่”

อาวุโสของเผ่าวิหคสวรรค์ผู้นี้กลับไม่ปล่อยคำพูดของหานลี่ไป พลางดึงเข้าไปสู่เรื่องราวในหุบเหวลึกในปีนั้น

อาวุโสคนอื่นๆ พลันใจเต้น แล้วทยอยกันทำท่าทางตั้งใจฟัง

“หลังจากที่ผู้แซ่หานเข้าไปในดินแดนของเผ่าท่าน ถึงได้รู้ว่าสี่ราชาปีศาจหายตัวไป เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับที่ข้าน้อยกลับมายังเผ่าของท่านในครั้งนี้เล็กน้อย แต่กลับไม่อาจเล่าให้สหายจินฟังตรงๆ ได้ ทว่าข้ารับประกันได้ว่า ตอนนั้นสี่ราชาปีศาจไม่อาจกลับมาได้ ยามนี้ยิ่งไม่อาจกลับมายังหุบเหวลึกได้ ส่วนที่พลังยุทธ์ของข้าน้อยเพิ่มมากขึ้น ก็เพราะมีวาสนาอย่างหนึ่งในแดนรกร้างเท่านั้น สหายจินเองก็พลังยุทธ์เพิ่มขึ้นมิใช่หรือ?” หานลี่หางตากระตุก แต่ปากกลับยังตอบกลับด้วยรอยยิ้มบางๆ

ได้ยินหานลี่ปฏิเสธอย่างเปิดเผย จินเย่ว์ก็อดที่จะมีสีหน้าเคร่งขรึมไม่ได้ แววตาเปล่งประกายสว่างวาบ พลางเอ่ยถามด้วยเสียงเคร่งขรึม

“ในเมื่อสหายหานไม่สะดวกจะพูด ข้าน้อยย่อมไม่ฝืนใจ แต่สหายแปลงกายเป็นวิหคยักษ์และปรากฏกายด้วยท่าทีน่าเกรงขามในครั้งนี้ น่าจะมีเหตุผลสินะ หรือว่าสหายคิดว่าหลังจากมีอิทธิฤทธิ์ยิ่งใหญ่แล้วก็จะมาแสดงพลังกับเผ่าพวกเรา”

หลังจากที่หญิงสาวเอ่ยมาถึงประโยคสุดท้าย น้ำเสียงกลับเย็นชาขึ้นหลายส่วน

สายตาที่อาวุโสคนอื่นๆ มองหานลี่ ก็อดที่จะไม่เป็นมิตรไม่ได้

“สหายจินคิดว่าข้าน้อยแปลงกายเป็นวิหคยักษ์เมื่อครู่เป็นอย่างไร?” หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนั้น กลับไม่ตกตะลึงแต่ฉีกยิ้มออกมา

“หึ สหายแปลงกายได้ไม่เลว จากคนภายนอกที่นำโลหิตวิหคคุนเผิงไปหลอมได้ถึงขั้นนี้ ก็นับว่าเจ้ามีอิทธิฤทธิ์ไม่น้อยแล้ว” จินเย่ว์ได้ยินคำนี้ ใบหน้าก็ฉายแววประหลาดใจ แต่ปากกลับแค่นเสียงหึด้วยความเย็นชา

“งั้นหรือ สหายคิดง่ายดายเช่นนั้นเลยหรือ?” หานลี่กลับหัวเราะหึๆ ออกมา สีหน้าแปลกประหลาดใจไปเช่นกัน

“สหายหาน นี่หมายความว่าอย่างไร? อยากจะเอ่ยอันใดก็พูดมาตรงๆ เถิด เหตุใดถึงทำตัวลึกลับเช่นนี้!” จินเย่ว์หน้าเปลี่ยนสี แต่ดวงตาทั้งสองข้างพลันหรี่ลงพลางเอ่ยอย่างเย็นชา

ชายชราแซ่ซวีและพวกฟังจนมาถึงตรงนี้กลับอดที่จะนิ่งงันไม่ได้ ทั้งใบหน้าเผยสีหน้าตกตะลึงระคนสงสัยออกมา

มุมปากของหานลี่หยักขึ้น คาดไม่ถึงว่าจะเผยสีหน้าอมยิ้มออกมา ไม่ได้ตอบอันใดหญิงสาวที่อยู่ฝั่งตรงข้าม พลันพลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง ชั่วขณะนั้นคัมภีร์สีขาวก็ปรากฏขึ้น สะบัดข้อมือโยนออกไป

“สหายหมายความว่าอย่างไร?” หญิงสาวชุดขาวรับคัมภีร์มาตามความรู้สึก แต่คิ้วดำขลับกลับเลิกขึ้นขณะเอ่ยถาม

“อาวุโสไม่ต้องกังวลใจ มีอันใด ดูสิ่งที่อยู่ในคัมภีร์ก่อนแล้วค่อยว่ากันก็ยังไม่สาย” หานลี่ตอบกลับด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลง

จินเย่ว์ยังคงมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก แต่หลังจากกวาดสายตาไปยังของที่อยู่ในมือ ก็ครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วแตะคัมภีร์ที่หน้าผาก พลางแทรกจิตสัมผัสเข้าไปข้างใน

“เอ๋ นี่คือ…” แทบจะในพริบตานั้น หญิงสาวผู้นี้ก็ร้องอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง

ครานี้ทำให้คนอื่นๆ ที่อยู่ในตำหนักยกเว้นหานลี่ ย่อมพากันซุบซิบกันไปมา

หลังจากที่จินเย่ว์ร้องอุทานออกมาเบาๆ กลับมีสีหน้าตื่นเต้นดีใจโดยไม่ได้สนใจเรื่องอื่นๆ ท่าทางเหมือนมีสมาธิอยู่กับคัมภีร์นั้น

หานลี่เห็นฉากนี้ก็หัวเราะน้อยๆ ออกมา ยกมือขึ้นหยิบถ้วยชาวิญญาณขึ้นมา และลิ้มรสอีกครั้ง

ดังนั้นท่ามกลางสีหน้าที่หลากหลายของคนในตำหนัก ชั่วพริบตาก็ผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งมื้ออาหาร

ยามนี้ในที่สุดจินเย่ว์ก็พ่นลมหายใจออกมาแล้วเลื่อนคัมภีร์ออกจากหน้าผาก จากนั้นก็ใช้สายตาสับสนพิจารณาหานลี่อีกครั้ง แล้วถึงได้เอ่ยอย่างแช่มช้า

“เคล็ดวิชานี้ สหายไปเอาจากที่ใด สหายหานไม่ต้องบอกข้า เคล็ดวิชานี้เป็นสิ่งที่นายท่านสร้างขึ้นเอง แม้ว่าคาถานี้จะลึกลับมาก แต่เห็นได้ชัดว่าสร้างมาเพื่อชาวเผ่าวิหคสวรรค์ของพวกเรา”

“สหายจินช่างดวงตาเฉียบแหลมหนัก มองปราดเดียวก็รู้ความลึกลับในนั้น ทว่าเคล็ดวิชานี้ผู้ใดสร้างขึ้น ย่อมไม่สำคัญ กลับเป็นสหายที่เข้าใจว่าเคล็ดวิชานี้มีประโยชน์ต่อเผ่าท่าน ถึงจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด” หานลี่เอ่ยด้วยรอยยิ้มจนตาหยี ดูเหมือนว่าจะคาดเดาคำถามของจินเย่ว์เอาไว้ตั้งนานแล้ว

“สหายเอาคาถาออกมาครึ่งหนึ่ง คงไม่ได้อยากให้ข้าอ่านผ่านๆ แล้วก็ไม่สนใจสินะ เจตนาที่นายท่านมาเผ่าวิหคสวรรค์ในครั้งนี้คืออันใด ก็พูดออกมาตรงๆ เถิด” จินเย่ว์แววตาเปล่งประกาย เรือนร่างระเบิดพลังแรงกดที่น่ากลัวออกมา พลางเอ่ยกับหานลี่อย่างเคร่งขรึม

“ฮ่าๆ ในเมื่อสหายจินกล่าวเช่นนี้ ผู้แซ่หานย่อมรับคำบัญชา ทว่าเรื่องนี้สำคัญกับข้าน้อยมาก ผู้แซ่หานหวังเพียงว่าจะได้คุยกับสหายเพียงลำพัง” หานลี่หัวเราะฮ่าๆ ออกมา แต่ก็กวาดสายตาไปยังอาวุโสเผ่าวิหคสวรรค์คนอื่นๆ แล้วกลับเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ

“เอาละ ทำตามที่เจ้าพูด! อาวุโสซวี อาวุโสชิง เจ้าออกไปข้างนอกก่อนเถิด รอให้ข้าและพี่ปรึกษากันเสร็จ ค่อยเข้ามา” จินเย่ว์ตอบรับอย่างไม่ต้องขบคิด และออกคำสั่งกับคนอื่นๆ

เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวผู้นี้ให้ความสำคัญต่อคาถาในคัมภีร์ม้วนนั้นเป็นอย่างมาก!

“ขอรับ ผู้แซ่ซวีขอตัวก่อน!”

“อาวุโส พวกเราจะรออยู่ด้านนอกขอรับ”

……

แม้ว่าอาวุโสเผ่าวิหคสวรรค์คนอื่นๆ จะรู้สึกกลัดกลุ้ม แต่กลับไม่กล้าขัดขืนคำสั่งของจินเย่ว์ ทำได้เพียงหยัดกายลุกขึ้นค้อมตัวแล้วทยอยกันออกจากตำหนัก

ชั่วครู่ทั้งตำหนักก็เหลือเพียงหานลี่และหญิงสาวชุดขาวเท่านั้น

“สหายหานมีเรื่องลับอันใด ก็บอกมาเถิด” จินเย่ว์เอ่ยด้วยสีหน้าผ่อนคลายลง

หานลี่กลับไม่ได้ตอบกลับทันที แต่สะบัดแขนเสื้อ พ่นธงอาคมห้าสีสิบกว่าด้ามออกมาทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้าน

พวกมันเปล่งแสงสว่างวาบ กลายเป็นลำแสงหลากสีสัน ทยอยกันจมหายไปกลางอากาศอย่างไร้ร่องรอย

ชั่วขณะนั้นครู่ต่อมาม่านลำแสงห้าสีก็ปรากฏขึ้น ห่อหุ้มหานลี่และพวกทั้งสองเอาไว้แน่น

“อันใด มีข้าอยู่ สหายยังกลัวว่าจะมีคนแอบฟังหรือ?” จินเย่ว์พลันใจหายวาบ แต่จากนั้นก็มองออกว่าม่านลำแสงนี้เป็นแค่เขตอาคมกั้นเสียงง่ายๆ เท่านั้นจึงวางใจ แต่ใบหน้าก็ยังเผยสีหน้าไม่พอใจออกมา

“สหายจินอย่าถือสา เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ข้าน้อยจำใจต้องระมัดระวังตัว” หานลี่กลับตอบกลับอย่างจริงจัง

“นั่นก็แล้วแต่สหาย ทว่าก่อนที่จะพูดคุยกัน ข้ามีเรื่องหนึ่งต้องยืนยันก่อน อีกครึ่งหนึ่งของเคล็ดวิชานี้ อยู่ในมือของนายท่านใช่หรือไม่” จินเย่ว์ขมวดคิ้วดำขลับ พลันเอ่ยถามพลางชูคัมภีร์ขึ้น

“หึๆ เรื่องนี้ท่านอาวุโสโปรดวางใจ หากสิ่งที่อยู่ในมือของข้าไม่ใช่เคล็ดวิชาที่สมบูรณ์แบบ จะกล้ามาทำการแลกเปลี่ยนกับเผ่าของท่านได้อย่างไร” หานลี่ตอบกลับอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด

“เอาล่ะ ได้! นายท่านบอกว่าเถิดว่าจะแลกเปลี่ยนอันใดกับเผ่าวิหคสวรรค์ของพวกเรา?” จินเย่ว์พ่นคำถามง่ายๆ ออกมา สีหน้าผ่อนคลายลงเป็นอย่างมาก

“ผู้แซ่หานเข้ามาในหุบเหวลึกในครั้งนี้ ก็ต้องการให้เผ่าของท่านส่งตัวข้าสักครั้งหนึ่ง! วิธีการหลอมโลหิตวิหคสวรรค์ส่วนนี้ ถือเป็นการตอบแทนของข้าน้อย” ครั้งนี้หานลี่ไม่ได้ยื้อเวลาต่อไป มองหญิงสาวชุดขาวแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม