ตอนที่ 748 รับคำท้า โดย ProjectZyphon
ท้ายที่สุดหลินสวินก็ตกปากรับคำ
ช่วยไม่ได้ จ้าวไท่ไหลยกจ้าวจิ่งเซวียนขึ้นมาขนาดนี้แล้ว หากเขายังไม่ตอบรับอีก นั่นก็เห็นได้ชัดว่าปอดแหกและขี้ขลาดเกินไปแล้ว
ยิ่งกว่านั้นที่จ้าวไท่ไหลพูดมาก็ถูกต้อง ถูกผู้สืบทอดของสำนักกระบี่เทียมฟ้าคนหนึ่งท้าดวลและขวางอยู่หน้าประตูบ้านตน ถ้าหากไม่แยแส กลับจะทำให้ผู้คนในใต้หล้าดูถูกเอา
……
หน้าประตูภูเขาชำระจิต
ชิงเจ๋อจิบชาร่ำสุราตามลำพัง สีหน้าเยือกเย็นราบเรียบ ท่าทางสุขุมไม่ไหวติงเช่นนั้น ยิ่งเห็นได้ชัดว่าเขาไม่ธรรมดา
ห่างออกไป กู้ตงถิงเห็นภาพนี้ก็ลูบเคราคลี่ยิ้ม นัยน์ตาเจือแววปลื้มปิติเสี้ยวหนึ่ง
กู้ตงถิงก็คือผู้อาวุโสสำนักกระบี่เทียมฟ้าที่มุ่งหน้ามาจักรวรรดิจื่อเย่าในครั้งนี้ เป็นราชันระดับสังสารวัฏที่แท้จริงคนหนึ่ง ความแข็งแกร่งยากหยั่งรู้ได้ ตำแหน่งก็โดดเด่นหาใดเปรียบเช่นเดียวกัน
เขามีรูปลักษณ์สะอาดหมดจด หนวดเคราราวกับหิมะน้ำค้างแข็ง ผิวพรรณกลับขาวพิสุทธิ์เนียนนุ่มเหมือนเด็กทารก ในมือถือแส้หางม้า ยืนอยู่ตรงนั้นง่ายๆ แต่กลับก็ให้ความรู้สึกทรงพลังเกรียงไกรดุจเขาสูงใหญ่แก่ผู้คนได้แล้ว
“สหายน้อยชิงเจ๋อคนนี้ ไม่เสียแรงที่เป็นศิษย์สืบทอดแห่งสำนักกระบี่เทียมฟ้า กิริยามีมาด ท่วงท่าเป็นสง่า วางตัวได้เหนือปวงชน”
ด้านข้างมีคนใหญ่คนโตทอดถอนใจไม่หยุด
“ไม่ผิด คนหนุ่มมากสามารถอย่างชิงเจ๋อก็เหมือนพญาเผิงบนแดนสรวง มีแต่สำนักโบราณเฉกเช่นสำนักกระบี่เทียมฟ้าเท่านั้นจึงจะสามารถบ่มเพาะผู้โดดเด่นชั้นยอดเช่นนี้ออกมาได้”
เสียงชมเชยดังขึ้นเกรียวกราว ข้างกายกู้ตงถิงมีเหล่าคนใหญ่คนโตกลุ่มหนึ่ง ล้วนเป็นบุคคลทรงอำนาจที่มาจากตระกูลจั่วและตระกูลฉินทั้งสิ้น
“ในป่าไร้เสือ ลิงย่อมตั้งตนเป็นใหญ่ หลินสวินคนนี้คิดว่าตัวเองสามารถครองอำนาจในหมู่คนรุ่นใหม่ของจักรวรรดิ หารู้ไม่ว่าในดินแดนรกร้างโบราณ เขาก็เปรียบได้แค่กบในกะลา!”
และมีคนใหญ่คนโตบางคนแค่นเสียงเย็นชา แสดงความเหยียดหยามต่อหลินสวิน
ว่าไปแล้วการที่ครั้งนี้ชิงเจ๋อขวางประตูท้าดวลหลินสวิน ผู้ที่ชอบใจมากที่สุกคือตระกูลฉินกับจั่วสองตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอย่างไม่ต้องสงสัย
ที่ผ่านมาเพราะหลินสวินคนเดียว ก่อเรื่องจนสองตระกูลฉินและจั่วของพวกเขาอับอายขายขี้หน้า ต้องกล้ำกลืนฝืนทนอย่างเสียไม่ได้
แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว ชิงเจ๋อเป็นถึงศิษย์สืบทอดของสำนักกระบี่เทียมฟ้า พลังปราณเรียกได้ว่าหาที่เปรียบ ในงานเลี้ยงราชวงศ์เมื่อหลายวันก่อน ถึงขั้นสยบบุคคลสำคัญกลุ่มหนึ่งจนโงหัวไม่ขึ้น
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ คนใหญ่คนโตของสองตระกูลจั่วและฉินแทบอดรนทนไม่ไหว อยากให้ชิงเจ๋อกำราบความหยิ่งยโสของหลินสวินอย่างหนัก ถ้าหากกำจัดเขาจนสิ้นซากได้ เช่นนั้นคงดีอย่างที่สุดแล้ว!
กู้ตงถิงทำเพียงฟังและคลี่ยิ้ม แต่ไม่เอ่ยวาจา สงวนท่าทีอย่างเห็นได้ชัด
“ดูนั่นเร็ว หลินสวินออกมาแล้ว!”
ไกลออกไปจู่ๆ ก็มีเสียงร้องอุทานดังขึ้น ดึงดูดความสนใจทุกคน เมื่อมองไปก็เห็นเด็กหนุ่มหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังก้าวออกมาจากในประตูภูเขาชำระจิต
เป็นหลินสวินนั่นเอง
ทั้งที่นั้นต่างฮือฮา เดิมทีคนจำนวนมากคิดว่าหลินสวินคงไม่ปรากฏกายรับคำท้าแบบสุ่มสี่สุ่มห้าแน่นอน
อย่างไรเสียการท้าดวลครั้งนี้ก็อันตรายเกินไปจริงๆ หากพ่ายแพ้ก็จะสร้างความเสียหายต่อบารมีของหลินสวิน
ดังนั้นตอนที่หลินสวินปรากฏตัว ถึงได้ทำให้ทุกคนเกิดความฮือฮา
“เขาจะรับคำท้าจริงๆ หรือ”
ผู้ฝึกปราณบางส่วนเป็นกังวลอย่างยิ่ง ความน่ากลัวของชิงเจ๋อผู้นั้นลือกระฉ่อนไปทั่วนครต้องห้ามแล้ว แม้แต่คนใหญ่คนโตที่อยู่ในขั้นสมบูรณ์ของระดับกระบวนแปรจุติยังล้วนไม่สามารถรับสามกระบี่ของเขาได้ หลินสวินจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้อย่างไรกัน
“แบบนี้ก็ดี แทนที่จะถูกคนขวางอยู่หน้าประตู อดกลั้นอย่างอดสู ไม่สู้ฟาดฟันกันซึ่งๆ หน้าเลยดีกว่า ทำให้ชิงเจ๋อคนนั้นลิ้มรสความร้ายกาจของผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิของพวกเรา!”
บางคนก็รู้สึกฮึกเหิม มีความมั่นใจต่อหลินสวินอย่างที่สุด ความสำเร็จอันเรืองรองที่เกิดขึ้นบนตัวหลินสวินในอดีตนั้นมีมากมายเหลือเกิน ในเมื่อหลินสวินกล้าปรากฏตัว จะต้องมาด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมเป็นแน่
ส่วนคนตระกูลฉินและจั่ว เวลานี้ต่างเบิกตากว้าง ดูเหมือนไม่อยากเชื่อเท่าใดนัก แต่หลังจากนั้นก็เหิมฮึกขึ้นมา
พวกเขาอยากเห็นจุดจบของหลินสวินที่พ่ายแพ้ชื่อเสียงยับเยินจนแทบอดใจไม่ไหวแล้ว!
หลินสวินปรากฏตัวแล้ว ชั่วขณะนั้นโลกภายนอกต่างอลหม่านปั่นป่วน ไม่อาจสงบลงได้
ตั้งแต่ตอนที่ชิงเจ๋อออกเทียบท้าดวล ศึกตัดสินนี้ก็สร้างความฮือฮาไปทั่วนครต้องห้าม ดึงดูดความสนใจของขุมอำนาจตั้งไม่รู้เท่าไร
ศิษย์สืบทอดของสำนักกระบี่เทียมฟ้าผู้หนึ่ง เคยสยบคนใหญ่คนโตระดับกระบวนแปรจุติของจักรวรรดิทั้งกลุ่มได้ภายในสามกระบี่ พลังต่อสู้โดเด่น เรียกได้ว่าไร้เทียมทาน
อีกคนคือเด็กหนุ่มในจักรวรรดิที่มีฉายาว่า ‘อำนาจทั่วนครหลวง’ รอบกายของเขาก็มีรัศมีอันพราวตาไร้ที่เปรียบเช่นเดียวกัน
แค่คิดก็รู้ว่าหากการดวลระหว่างสองคนนี้บังเกิดขึ้น จะบันลือโลกมากขนาดไหน!
……
เมื่อเห็นหลินสวินปรากฏตัว ชิงเจ๋อที่กำลังร่ำสุราตามลำพังอึ้งงันไปก่อนเป็นสิ่งแรก ดูเหมือนค่อนข้างแปลกใจที่หลินสวินปรากฏตัวรวดเร็วเพียงนี้
จากนั้นท่าทางของเขาก็กลับสู่ความสงบนิ่งอีกครั้ง วางจอกเหล้าในมือลงบนโต๊ะเตี้ย ก่อนหยัดกายขึ้นเต็มความสูง
เพียงแค่การเคลื่อนไหวเพื่อหยัดตัวขึ้นเท่านั้น กลับทำให้ทั่วทั้งลานเงียบกริบในบัดดล สายตาทุกคู่ล้วนเพ่งความสนใจมองมา
ชิงเจ๋อมีเอวหลังเหยียดตรง รูปร่างสูงโปร่ง ผมสีเงินเปล่งประกายเจือความแวววาว เขาเรียกได้ว่าหล่อเหลางดงามยิ่งยวด ผิวพรรณเนียนขาว นัยน์ตาราวกับหินหยกสีเขียว ยามที่เขาหยัดกายขึ้นยืน ทั้งตัวประหนึ่งหอกเล่มหนึ่ง ผ่าเผยน่ายำเกรง
ต่อให้เป็นผู้ฝึกปราณที่ไม่ชอบใจชิงเจ๋อก็ล้วนไม่อาจไม่ยอมรับ รูปลักษณ์ภายนอกของเจ้าหมอนี่ดูดีเหลือเกิน เพียงแค่มองก็รู้ว่าเป็นผู้กล้าที่เปล่งประกายยิ่ง
ส่วนผู้ฝึกปราณรุ่นอาวุโสบางคนกลับท่าทีเคร่งขรึม ชิงเจ๋อในเวลานี้แตกต่างจากตอนที่นั่งอยู่ก่อนหน้านี้ มีประกายคมที่ซ่อนแฝงประการหนึ่ง ทำให้ผู้คนหัวใจสั่นไหว
“ระวังหน่อย ความเชี่ยวชาญในวิถีกระบี่ของเจ้าหมอนี่เข้าขั้นน่ากลัวสุดขีด อีกทั้งเจ้าตัวยังเป็นทายาทสายตรงของเผ่ากระเรียนเขียวบรรพกาล มีวิชาลับพรสวรรค์”
จ้าวไท่ไหลเอ่ยเตือนอยู่ด้านหลัง
หลินสวินส่งเสียงตอบรับหนึ่งคราแล้วย่างก้าวออกจากหน้าประตูภูเขา เขามีผมดำสนิทยาวจรดเอว ผิวพรรณทั่วกายเกลี้ยงเกลาราวกับหินหยก แสงเรืองทอประกายว่ายเวียน
ฝีเท้าของเขาไม่ช้าไม่เร็ว รูปร่างสง่างาม มีกลิ่นอายเหนือมลทินอันโดดเด่น
“เด็กคนนี้ไม่ธรรมดา”
ไกลออกไปกู้ตงถิงค่อนข้างประหลาดใจ
“ไม่ธรรมดาก็ส่วนไม่ธรรมดา แต่ว่าบ้าเกินไป ไม่เห็นใครในสายตา ประพฤติตัวแสนบรรลัย”
คนใหญ่คนโตตระกูลจั่วและฉินต่างรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย พวกเขาไม่มีความรู้สึกดีต่อหลินสวินเลยแม้แต่นิด ตรงกันข้าม แทบอดรนทนไม่ไหวอยากให้หลินสวินรีบๆ ตายไปเสีย
กู้ตงถิงยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง เช่นนั้นก็ถือโอกาสนี้ให้ชิงเจ๋อบดขยี้ความเย่อหยิ่งและบ้าระห่ำของเขาไปเสียเลย”
“เช่นนี้ดีที่สุดแล้ว”
บุคคลสำคัญตระกูลจั่วและฉินต่างเบิกบานใจยิ่งยวด
ไกลออกไป นัยน์ตาของชิงเจ๋อเป็นประกาย จ้องหลินสวินที่ยืนห่างออกไปสิบจั้งแล้วกล่าวว่า “เจ้าโผล่มาตอนนี้ คงไม่ใช่เพราะเก็บอารมณ์ไม่อยู่แล้วกระมัง”
วาจาของเขาราบเรียบ ท่าทางเยือกเย็นยิ่งนัก นัยน์ตาเย็นยะเยือกน่าสะพรึง แฝงรสชาติเหยียดหยันประการหนึ่ง
“ที่ตรงนี้ไม่ได้มีแต่เจ้าคนเดียว ข้าคงไม่อาจปล่อยให้ทุกคนรอนานได้ เลี่ยงไม่ให้พวกเขาเสียเวลา ส่วนเจ้า ยังไม่ถึงขั้นส่งผลกระทบต่อสภาพอารมณ์ของข้าได้”
หลินสวินก็มองสำรวจชิงเจ๋อเช่นเดียวกัน แม้แต่เขาก็ไม่อาจไม่ยอมรับ ลำพังพิจารณาจากกลิ่นอายและรูปลักษณ์ภายนอก เจ้าหมอนี่ไม่ธรรมดาเอามากๆ อย่างเห็นได้ชัดจริงๆ
ต่อให้เป็นเซียวหรัน ซูซิงเฟิงแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ หรือบุตรเทพชั้นยอดของแต่ละเผ่าในส่วนลึกทะเลกลืนวิญญาณล้วนด้อยกว่าคนผู้นี้อยู่เล็กน้อย
แต่ว่านี่ก็เป็นเรื่องปกติ เจ้าหมอนี่เป็นถึงผู้ฝึกปราณระดับกระบวนแปรจุติ อยู่เหนือขอบเขตระดับหยั่งสัจจะตั้งแต่ต้น ซ้ำยังเป็นศิษย์สืบทอดที่มาจากสำนักกระบี่เทียมฟ้าอีกด้วย การมีท่วงท่าสง่าผ่าเผยเช่นนี้ก็สมเหตุสมผล
“ได้ยินว่าเจ้าเหยียบย่างบนมกุฎมรรคาแข็งแกร่งที่สุดแล้ว วันนี้ข้าเลยมาลองดูสักหน่อย เพื่อความยุติธรรม ข้าจะกดพลังไว้ส่วนหนึ่ง เลี่ยงไม่ให้ถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะว่าข้ารังแกเจ้า”
ยามชิงเจ๋อเอ่ยวาจา นัยน์ตาเจือกระแสอสนีว่ายเวียน มุมปากปรากฏเส้นโค้งคล้ายมีคล้ายไม่มีสายหนึ่ง ภายใต้รูปลักษณ์อันเยือกเย็นคือการดูถูกและถือดีอย่างสิ้นเชิง
สิ่งนี้ทำให้ทั่วทั้งลานตะลึงพรึงเพริด ผู้ฝึกปราณมากมายต่างมีสีหน้าอึมครึมไม่สงบ กดพลังของตัวเองแล้วสู้แบบยุติธรรมกับหลินสวิน?
การกระทำเช่นนี้ของชิงเจ๋อเห็นได้ชัดว่าทรงพลังมากอย่างไม่ต้องสงสัย และเห็นชัดยิ่งว่าความมั่นใจของเขามีมากเพียงใด
“อย่างนั้นหรือ ก่อนประลอง ข้ากลับอยากรู้นักว่าเจ้าไม่กังวลใจว่าวันนี้จะเลือดกระเซ็นคาที่เลยหรือ” หลินสวินถาม
“บ้าระห่ำ!”
“ไม่รู้ดีชั่ว!”
ไกลออกไป บุคคลสำคัญสองตระกูลจั่วและฉินโกรธจัด เวลาใดแล้ว เจ้าหมอนี่ยังบ้าคลั่งเหมือนเมื่อก่อนอยู่ได้ เขาคิดจริงๆ หรือว่าชิงเจ๋อเป็นพวกที่รับมือง่ายดายขนาดนั้น
“พวกเจ้าพูดถูกต้อง เด็กคนนี้บ้ามากจริงๆ”
แม้แต่กู้ตงถิงยังขมวดคิ้วน้อยๆ ท่าทางเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบเล็กน้อย
“ดูเหมือนเจ้าจะถือดีมาก แต่ว่าความถือดีเกินขอบเขตก็คือความโง่เขลา โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าข้า ลำพังแค่เจ้า ไม่ได้มีคุณสมบัติเพียงพอจะพูดคำพวกนี้กับข้าเลย”
เห็นได้ชัดว่าชิงเจ๋อเยือกเย็นยิ่งนัก เขามองหลินสวินด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์ กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกำลังแผ่ซ่าน
เรือนผมของเขาแวววาว ประกายสีเงินเอ่อล้นด้วยแสงเรือง เลือดลมในกายแผดคำราม น่าหวาดกลัวหาใดเปรียบ ทำให้พื้นที่บริเวณนี้ก่อเกิดความสั่นสะเทือนทั้งผืน
คำพูดนี้ของเขาเหยียดหยามมากอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ฝั่งผู้ฝึกปราณของจักรวรรดิต่างเผยท่าทีกรุ่นโกรธ ขณะเดียวกันภายในใจก็เริ่มจะครั่นคร้าม ชิงเจ๋อผู้นี้แข็งแกร่งเกินไป จะไม่ให้ใครๆ กังวลแทนหลินสวินได้อย่างไร
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่สู้พวกเราพนันกันสักตา หากเจ้าแพ้ก็ตอบคำถามข้ามาสองข้อตามความจริง ว่าอย่างไร” หลินสวินยิ้มอย่างเยือกเย็นยิ่งนัก
ชิงเจ๋อมุ่นคิ้ว ท่าทางยังคงสงบยิ่งนัก เพียงแต่นัยน์ตายิ่งเย็นเยียบขึ้นเรื่อยๆ เขามองหลินสวินด้วยท่าทีที่เกือบจะทับถมประการหนึ่ง กล่าวว่า “หากเจ้าแพ้จะว่าอย่างไรเล่า”
“จัดการได้ตามสะดวก” หลินสวินกล่าวโดยไม่ลังเลแต่อย่างใด
เมื่อได้ยินดังนั้น ผู้ฝึกปราณในจักรวรรดิทั่วทั้งลานต่างสั่นคลอน นี่มันต่างอะไรจากการลงนามในสัญญาความเป็นความตายกัน หลินสวินไม่กังวลสักนิดเลยหรือ
ชิงเจ๋อยิ้มอย่างพบเห็นได้ยาก เพียงแต่รอยยิ้มนั้นกลับเย็นชายิ่ง “เดิมทีข้าไม่มีความคิดจะฆ่าเจ้าด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ ในเมื่อเจ้ายืนกรานรนหาที่ตาย เช่นนั้นข้าก็จะทำให้เจ้าสมปรารถนา!”
คำพูดเหล่านี้ก็พูดได้อย่างเผด็จการยิ่งนัก เป็นการถือดีและหยิ่งผยองอย่างสิ้นเชิงประการหนึ่ง ไม่ว่าใครเป็นศัตรูกับเขา เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้เกรงว่ามีแต่จะอึดอัดอย่างยิ่งกันหมด
แต่ในสายตาของกู้ตงถิง กลับคิดว่านี่คือสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ชิงเจ๋อมีความสามารถและคุณสมบัติให้พูดเช่นนี้!
หลินสวินยิ้มกล่าวว่า “เช่นนั้นก็สู้กันเถิด”
ชิงเจ๋อร้องรับคำหนึ่ง รอบการเขาเปล่งประกาย รับรู้ได้อย่างว่องไวว่ากลิ่นอายของเขาอ่อนลงหนึ่งวูบเมื่อเทียบกับเมื่อครู่
เห็นได้ชัดว่าเขาทำอย่างที่พูด เขารังเกียจที่จะรังแกหลินสวินด้วยพลังปราณที่เหนือกว่า เพราะฉะนั้นจึงกดพลังของตัวเองเอาไว้!
ตู้ม!
จากนั้นศึกใหญ่พลันปะทุขึ้น
ชิงเจ๋อสาวเท้าก้าวออกไป ชายอาภรณ์พลิ้วไสว ผมสีเงินปลิวสยาย เงาร่างหายลับไปจากที่เดิมในทันใด ราวกับสายรุ้งพุ่งปราดออกไป
ตอนที่ปรากฏตัวอีกครั้งเขาก็มาอยู่ต่อหน้าหลินสวินแล้ว ฝ่ามือทำท่ามุทรา แสงเขียวคมกริบเจิดจ้ารายล้อม จากนั้นก็ฟันฝ่ามือออกไป
ห้วงอากาศระเบิดลั่น ถูกมุทรานี้บดขยี้อย่างแข็งกร้าวเป็นร่องอากาศสายหนึ่ง แทบจะทำลายภูเขาใหญ่ลูกนี้เป็นเสี่ยงๆ แล้ว
ถ้าหากผู้ฝึกปราณระดับหยั่งสัจจะคนอื่นอยู่ที่นี่จะต้องรับการโจมตีนี้ไม่ได้แน่ และถูกการโจมตีนี้ระเบิดจนไม่เหลือซาก!
………………….