มีสัตว์ร้าย
หลังจากถูกลิงก่อกวนไปค่อนคืน จิ่งเหิงปัวผู้เหนื่อยล้ามามากด่าเสร็จเรียบร้อยแล้วยังต้องคว่ำหน้านอนไปรอบหนึ่ง
แม้ว่าตาข่ายไม่ใช่แผนที่จีรังยั่งยืน แต่เพราะว่ากงอิ้นเลือกเฟ้นสถานที่ได้ดี ภายในระยะเวลาอันสั้นนี้จึงยังคงอำนวยความสะดวกให้แก่พวกเขาอย่างมาก เมื่ออยากกินอาหาร พวกลิงจะนำผลไม้มาให้ ดูเหมือนกงอิ้นคล้ายจะบงการลิงเหล่านี้ได้ ผลไม้ที่นำมาให้ในภายหลังไม่มีน้ำมันเทพอินเดียฉบับลิงชนิดนั้นแล้ว เมื่ออยากดื่มน้ำ ก็ตระเตรียมเปลือกผลไม้สักเปลือก แล้วยื่นแขนออกไปจากตาตาข่ายสักมุมหนึ่ง ก็ไปถึงลำธารตื้นเขินสายหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ ได้ แม้แต่ปัญหาที่สำคัญที่สุดยังได้รับการแก้ไข
แต่ว่าจิ่งเหิงปัวยังคงไม่กล้าดื่มน้ำมากนัก เพราะการปัสสาวะทุกครั้งคือความทรมานรูปแบบหนึ่งจากความอึดอัดเก้อเขิน ภายหลังนางจึงพบว่าสถานที่ปัสสาวะของนางที่กงอิ้นชี้ให้คืออีกมุมหนึ่งซึ่งห่างจากแหล่งน้ำ ที่นั่นมีร่องน้ำไหลลงที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติจากรากไม้ เมื่อของเสียจากร่างกายไหลลงไปแน่นอนว่าย่อมไม่มีกลิ่นสกปรกมาถึงพวกเขา เห็นได้ชัดว่าตอนที่กงอิ้นกำลังทำตาข่ายก็คิดเรื่องนี้เอาไว้แล้ว และจัดทำดำเนินการได้อย่างเหมาะสมเรียบร้อย
จิ่งเหิงปัวแสดงออกอย่างชัดเจนว่านางชอบความฉลาดล้ำของเขา และเกลียดความฉลาดล้ำของเขาเสียยิ่งกว่า
แต่นางก็ยังคงมีเรื่องราวให้กลัดกลุ้ม หากปวดหนักล่ะ? ปวดหนักแล้วจะปลดทุกข์อย่างไร
ยังดีที่ของกินมีน้อย วันแรกจึงไม่ต้องการอะไร เวลาส่วนใหญ่นางนอนหลับ ส่วนกงอิ้นนั่งปรับปราณ สายตามองเห็นสีหน้าของกงอิ้นดีขึ้นแล้ว นางคิดว่าบางทีวันที่สองเขาคงฟื้นฟูได้มากกว่าครึ่งแล้วฟันตาข่ายบ้าบอนี่จนขาดออก
นางเคยถามเขาเรื่องพลช่วยเหลือ มองจากสภาพภูมิศาสตร์และความหนาแน่นของป่าเขา หากโชคดีคงได้รับการช่วยเหลือในเจ็ดถึงแปดวัน แต่หากโชคร้าย ชั่วชีวิตนี้อาจไม่พบความช่วยเหลือก็เป็นได้ ยังต้องเดินทางออกไปด้วยตนเอง
จิ่งเหิงปัวกระวนกระวายใจ เพื่อสิ่งนี้นางจึงยอมลดตัวลงมาโดยไม่เสียดาย นางมองเห็นมือขวาของเขากระดูกหัก มือซ้ายคล้ายมีอาการเคล็ดเช่นกัน จึงแสดงท่าทีว่ายินยอมพร้อมใจช่วยเขาบีบนวดเพื่อให้เขาแข็งแรงฟื้นฟูได้โดยเร็ว
คำตอบของกงอิ้นคือหยุดการปรับปราณโดยพลัน พลางรีบเร่งกระตุกก้านอ่อนหลายก้านมามัดคอเสื้ออะไรต่างๆ ของตนเองให้แน่นขึ้นอีกหน่อย
ใบหน้าหนาด้านของจิ่งเหิงปัวประเดี๋ยวแดงประเดี๋ยวขาว คำรามกู่ก้องในท้องว่า ฉันไม่ได้คิดจะข่มขืนนาย!
ยังดีที่แม้ว่ามหาเทพกงผู้บำเพ็ญตบะจะมีท่าทีไม่ไว้หน้านาง แต่ยังบอกนางว่าเขาฟื้นฟูอย่างรวดเร็วยิ่งนัก สองถึงสามวันคงคิดวิธีปลดแก้ตาข่ายได้
ใช้เวลาแค่วันเดียวทั้งสองคนก็อยู่ร่วมกับลิงจนคุ้นเคย พวกลิงในป่านี้เฉลียวฉลาดมากจนจิ่งเหิงปัวสอนให้ลิงนับหนึ่งถึงห้าได้ และแบ่งผลไม้ที่อร่อยที่สุดตามวิธีเทียบนิ้วมือว่ามีเท่าไร แน่นอนว่าพวกลิงที่มีอุ้งมือเท้าเพียงสี่ข้างชนิดนี้ย่อมแพ้เสียทุกครั้งไป
ในระยะเวลาช่วงนี้จิ่งเหิงปัวกับกงอิ้นไม่ได้หยุดทดสอบการทำลายตาข่าย พบว่าเชือกตาข่ายนี้แม้ว่ามีประสิทธิภาพในการยืดหดแต่แข็งแรง น้ำไม่อาจแช่ให้เปื่อย ไฟไม่อาจเผาทำลาย อาวุธคมกรีดตัดไม่อาจตัดได้แม้แต่น้อยนิด กงอิ้นใช้พลังภายในกางตาข่ายออกจนถึงความกว้างที่สุดได้ แต่กางออกถึงระดับพอประมาณนี้แล้วยังไร้ซึ่งความเปลี่ยนแปลง ยังคงไม่ขาดและคนยังคงไม่อาจเข้าหรือออกทางตาตาข่ายได้
จิ่งเหิงปัววุ่นวายใจไม่เบาเพราะเรื่องนี้ พลบค่ำวันนี้ตอนทดสอบต่อ นิ้วมือใช้แรงมากเกินไปจนเล็บนิ้วหนึ่งหักดังเป๊าะ
รสชาติของการเล็บหักไม่ได้น่าภิรมย์เท่าไหร่นัก จิ่งเหิงปัวประคองนิ้วร้องไห้โศกเศร้ารันทดด้วยเสียดายเล็บยาวที่ตนเองเลี้ยงไว้ตั้งอกตั้งใจบำรุงรักษามาเนิ่นนาน ตรงที่เล็บฉีกหักมีเลือดสดไหลซึมออกมาเล็กน้อย นางถูนิ้วแรงๆ ไปบนเชือกตาข่ายก่อนจะหันหน้าประคองเล็บฉีกหักเอาไว้ร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจ
กงอิ้นพลันยื่นมือช้อนเชือกตาข่ายเปื้อนคราบเลือดช่วงหนึ่งนั้นมาวางไว้เบื้องหน้าพลางพินิจโดยละเอียด จิ่งเหิงปัวกล่าวสะอึกสะอื้นว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงที่ข้าบาดเจ็บ แต่ไม่ใช่ว่าเจ้าควรจะประคองมือของข้าไว้แล้วเป่าให้ข้าหรอกหรือ…”
“เชือกตาข่ายนี้มีการเปลี่ยนแปลง” กงอิ้นเอ่ยขึ้นโดยพลัน คล้ายจะไม่ได้ยินนางที่พูดเจื้อยแจ้ว
จิ่งเหิงปัวชะเง้อหน้าไปมองดูอยู่เนิ่นนาน แล้วกล่าวว่า “อ๊ะ? ไม่มีนะ เปลี่ยนเป็นสีแดงหรือ เลือดของข้าสีฉูดฉาดดีจัง”
กงอิ้นขยับกายออกห่างจากเจ้าคนหลงตัวเองอย่างยวดยิ่งผู้นี้เล็กน้อย ก่อนชี้ไปยังเชือกตาข่ายพลางเอ่ยว่า “ขาดไปเส้นหนึ่ง”
จิ่งเหิงปัวพุ่งไปบนเชือกนั้น ดวงตาเบิกจ้องจนแทบบอดยังมองไม่ออกว่าเชือกตาข่ายหนาราวนิ้วมือมีตรงไหนขาดไปเส้นหนึ่ง
เส้นหนึ่งนี้เป็นเส้นหนึ่งอย่างไรกันแน่ คงไม่ใช่เส้นบางเท่าเส้นผมจริงๆ หรอกมั้ง?
แต่ว่าในเมื่อกงอิ้นพบว่าขาดไปเส้นหนึ่ง เช่นนั้นก็คงขาดแล้วแน่ๆ แม้ว่าปากของจิ่งเหิงปัวกล่าวว่าจะไม่ยอมรับอำนาจบารมีของกงอิ้นตลอดกาล แต่ในช่วงเวลาสำคัญก็ยังคงยินยอมเชื่อถือ
“เจ้าหมายถึงโลหิตทำให้เชือกตาข่ายฉีกขาดได้หรือ?” ดวงตาของนางเปล่งประกายขึ้นมา ในที่สุดก็หาวิธีได้แล้ว!
“อืม” วาจาประโยคต่อมาของกงอิ้นกำจัดความหวังงดงามของนางจนสูญสิ้นว่า “โลหิตหยดหนึ่งของเจ้าทำให้เชือกฉีกขาดไปด้วยความลึกประมาณหนึ่งในสิบของเส้นผม”
จิ่งเหิงปัวคิดเปรียบเทียบอยู่สักครู่ ก่อนจะพบว่าตัวเลขผลลัพธ์สุดท้ายนั้นก็ช่างน่ากลัวเหลือเกิน
“อีกทั้งอาจยังจำเป็นต้องใช้เวลาจุ่มแช่ไว้จึงได้ผล” กงอิ้นเอ่ยวาจาโจมตีเข้ามาอีก
จิ่งเหิงปัวสูดอากาศหนาวเหน็บเฮือกหนึ่งอีกครั้ง รู้สึกทันทีว่าขนทั่วร่างลุกชันขึ้นมาจนสิ้น
“เจ้าว่า…” นางชำเลืองตามองสีหน้าของกงอิ้นอย่างระมัดระวัง พลางกล่าวว่า “การซึมแทรกและจุ่มแช่พาให้เชือกนี้ฉีกขาดจนสิ้น ปริมาณโลหิตที่ต้องใช้จะประมาณสักเท่าใด”
คงไม่ใช่ต้องใช้ปริมาณเลือดของคนหนึ่งคนหรอกมั้ง?
กงอิ้นมองนางปราดเดียว ปราดเดียวนี้ก็มองจนนางเกิดอาการเหน็บหนาวทั่วร่าง
“สังหารเจ้าแล้วก็คงจะเพียงพอ”
นางนึกรู้ว่าแล้วต้องเป็นคำตอบนี้!
จิ่งเหิงปัวกระโดดขึ้นไปถึงรองเท้าส้นสูงด้านบน
“เจ้าจะทำอะไร” กงอิ้นคว้านางลงมา
จิ่งเหิงปัวไม่บอกกล่าว ก็พลันกระโดดดีดฝีเท้าขึ้นไปด้านบน… รองเท้าส้นสูงคือสิ่งเดียวที่เรียกได้ว่าเป็นสิ่งของประเภท ‘อาวุธสังหาร’ บนร่างนางตอนนี้ นางจะต้องเอามันลงมาปกป้องตนเอง!
กงอิ้นจะต้องฆ่านางกลางดึกแน่ ก่อนที่จะใช้เลือดของนางแช่เชือกจนขาด แล้วนางก็จะตายตาไม่หลับอยู่ในตาข่าย จากนั้นก็ถูกขังไว้อย่างเดียวดายในป่าเขารกร้างไร้ผู้คนแห่งนี้ตลอดกาล…
“ลงมา!” เมื่อนางกระโดดขึ้นอีกครั้ง กงอิ้นก็คว้าขาท่อนล่างของนางไว้ ดึงนางลงมาในครั้งเดียว จิ่งเหิงปัวควบคุมสมดุลไว้ไม่ได้หกล้มลงไปในอ้อมแขนเขา รองเท้าส้นสูงข้างหนึ่งร่วงหล่นจนกระแทกก้นของจิ่งเหิงปัว ตาข่ายครึ่งหนึ่งร่วงตามลงมามัดร่างกายครึ่งซีกของสองคนเอาไว้โดยพลัน
ทว่าทั้งสองคนไม่ได้สังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ชั่วคราว
ทั้งสองคนตะลึงงันอยู่บ้าง
จิ่งเหิงปัวซุกหน้าในอ้อมแขนของกงอิ้น ชั่วครู่นั้นไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ไหน ปลายจมูกแว่วกลิ่นหอมอัศจรรย์เบาบาง มิใช่ดอกไม้และมิใช่ใบหญ้า ทว่าบริสุทธิ์หอมหวน ซ้ำเจือด้วยกลิ่นฝาดของต้นไม้ใบหญ้าบางส่วนรำไร ในความบริสุทธิ์ยังมีเรือนร่างแข็งแรงเพิ่มมาด้วยบางส่วน
นางอดจะสูดหายใจลึกล้ำเฮือกหนึ่งไม่ได้
กงอิ้นตะลึงงันเล็กน้อย เส้นผมนุ่มลื่นเงางามของสตรีประชิดตรงขากรรไกรล่างของเขาจนคันยุบยิบ คล้ายยังได้ยินเสียงดวงใจที่เต้นตึกตักโดยไม่รู้ว่าเป็นดวงใจของผู้ใด เขารู้สึกเพียงว่าที่กลางฝ่ามืออุ่นร้อนอ่อนนุ่ม ครานี้ตะลึงด้วยว่าตนเองคล้ายยังกุมขาท่อนล่างของนางไว้จึงรีบเร่งปล่อยมือ มือยกขึ้นเล็กน้อยครั้งหนึ่งก็พลันสัมผัสกับสิ่งใดอีกสักสิ่ง ได้ยินจิ่งเหิงปัวร้อง “อ๊ะ” เสียงหนึ่งอย่างเลือนราง เขาก็รีบเร่งปล่อยมืออีกคราดุจต้องสายฟ้า รู้สึกคล้ายว่าตนเองสัมผัสที่ซึ่งมิควรสัมผัสเข้าอีกครั้งอย่างมิได้ตั้งใจ
จิ่งเหิงปัวเงยหน้าขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิด ดวงหน้าคล้ายจะแดงซ่านน้อยๆ แต่เดิมนางผมดำขลับดุจคลื่น สีคิ้วดำคมเข้มสีปากดุจเพลิง หน้าตางดงามเพริศพริ้ง ยามนี้นัยน์ตาสุกสกาวปานแสงสีเหลืองอำพันของสุราชั้นเลิศสอดรับแก้มแดงชมพูระเรื่อหายากนี้ ในความเพริศพรายมีความอรชรเพิ่มมาสามส่วนพาให้ใจคนตื่นตะลึง
ที่ซึ่งสายตากงอิ้นไปถึงพาให้ชะงักเพียงน้อยอีกครั้งหนึ่ง ชะงักครั้งนี้เล็กน้อยยวดยิ่ง จากนั้นสีสันสลับซับซ้อนแฉลบผ่านสายตาของเขา เขาประคองมือของจิ่งเหิงปัวไว้ผลักไปเบื้องนอกครั้งหนึ่งโดยจิตสำนึก
ผลักครั้งหนึ่งนี้กลับผลักไม่ขยับเขยื้อน เชือกตาข่ายครึ่งซีกหดรัดมัดสองคนเอาไว้ กงอิ้นกำลังจะกางตาข่ายออกอีกครั้ง ใบไม้เหนือศีรษะก็พลันดังวุ่นวายดุจคลื่นสมุทร เสียงลมซู่ซู่ลอดผ่านจากที่ซึ่งลึกไปในป่าตามมาด้วยลิงกรีดร้องเจี๊ยวจ๊าวตื่นตระหนกเป็นระลอกใกล้เข้ามายิ่งขึ้น
ลิงทั่วสารทิศคล้ายติดเชื้อความตื่นตระหนกเช่นนี้ไปด้วยจนวิ่งหนีว้าวุ่นหลบหนีวุ่นวาย ศีรษะและร่างกายของจิ่งเหิงปัวถูกอุ้งเท้าใหญ่ของลิงเหยียบย่ำอย่างต่อเนื่อง ซ้ำยังมีกิ่งไม้ที่ถูกหักโค่นกระแทกบนร่างนางไม่หยุดหย่อน
“ไอ้บ้าเอ๊ย!” จิ่งเหิงปัวโพล่งปากด่าเสียงดังว่า “อยู่ดีๆ เป็นบ้าอะไรขึ้นมา! หยุดนะ! ข้าบอกให้หยุด! โอ๊ย ไอ้เลวยังกล้าเหยียบข้าอีก! โอ๊ย บัดซบ เจ้ากล้าเหยียบหน้าข้า…โอ๊ย เหม็นฉิบ!”
ลมพัดกลิ่นคาวหอบหนึ่งเข้ามา กลิ่นสาบตัวผู้เข้มข้น จิ่งเหิงปัวที่อ้าปากด่าทอเกือบจะอาเจียนออกมาแล้ว
“หุบปาก” กงอิ้นกดริมฝีปากของนางไว้โดยพลันพลางเอ่ยว่า “มีสัตว์ร้าย!”
เสียง “กรี๊ด” เสียงหนึ่งของจิ่งเหิงปัวถูกอุดไว้ที่ปากคอหอย ชะงักไปหนึ่งวินาทีแล้วจึงรับรู้ข่าวร้ายนี้ได้ นางหันหน้ามองที่ซึ่งลึกไปในป่าดำทะมึน แล้วก้มหน้ามองท่วงท่าของตนเองกับกงอิ้น เบื้องหน้ามืดมิดไปชั่วขณะ
สัตว์ร้ายเคลื่อนไหว ตาข่ายถูกทำลาย สองคนมัดอยู่ในตาข่าย มือเท้าถูกรัดไว้จะหนีรอดได้อย่างไร?
นอกเสียจากว่าจะโจมตีสังหารในครั้งเดียว มิเช่นนั้นต่อให้ทำให้เสือดาวบาดเจ็บก็ย่อมเป็นเพียงการที่ตนเองรนหาที่ตาย แต่ท่าทางและข้อจำกัดอย่างนี้ แม้แต่แขนยังสะบัดออกไปไม่ได้ แล้วจะโจมตีสังหารสัตว์ป่าได้อย่างไร?
ต่อให้ตาข่ายไม่ถูกทำลายก็ไม่มีประโยชน์ ตาข่ายถักเต็มไปด้วยใบไม้ลวงหลอกได้แค่ลิง ปิดบังเสือดาวที่มีประสาทการรับกลิ่นระดับว่องไวไม่ได้แน่นอน
นึกถึงสองคนที่ถูกมัดไว้ในตาข่ายโดยไร้หนทางใช้มือเท้าต่อสู้ ถูกจิ้งจอก หมาป่า เสือและเสือดาวข่วนผ่านตาตาข่ายหนึ่งครั้งได้เนื้อก้อนหนึ่ง กัดฉีกอีกหนึ่งครั้งได้เนื้อท่อนใหญ่อีกหนึ่งท่อน…จิ่งเหิงปัวก็รู้สึกว่าไม่สู้ฆ่าตัวตายไปเลยดีกว่า
“เราต้องปีนขึ้นไปบนต้นไม้ก่อน” ตอนนี้เองกลับนึกไม่ถึงว่าเสียงของกงอิ้นยังคงสงบนิ่งราบเรียบ จิ่งเหิงปัวสงสัยว่าหัวใจของเขาทำจากศิลาใช่หรือไม่
“ใช่ๆ ปีนต้นไม้!” ดวงตาของจิ่งเหิงปัวประกายวูบ โอบต้นไม้ไว้ได้ก็ปีนขึ้น ตอนยังเด็กนางเคยปีนต้นไม้อยู่บ้าง แม้ว่าภายหลังไม่กล้าปีนอีกเพราะห่วงภาพลักษณ์ แต่ขณะนี้ช่วงเวลาอันตรายคงไม่ต้องกังวลมากมายถึงขนาดนั้นแล้ว
เมื่อปีนขึ้นมาเมตรหนึ่งจึงรู้สึกว่าด้านล่างมีแรงเหนี่ยวรั้งไว้ เมื่อนางก้มหน้ามองก็เห็นกงอิ้นยังคงอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับไปไหน ก็พลันโกรธจนไฟลุกขึ้นมาสามจั้งไปชั่วขณะ
สองคนถูกรัดไว้ในตาข่าย เคลื่อนไหวได้ในขอบเขตเล็กๆ แต่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวไปด้วยกันจึงขยับได้ ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นนางลากกงอิ้นปีนต้นไม้ แล้วจะปีนขึ้นไปได้อย่างไร?
“เจ้าแกล้งตายเหรอ” นางใช้เท้าเหยียบเปลือกต้นไม้โพล่งปากด่าเสียงดังว่า “ยังไม่รีบขึ้นมาอีก”
กงอิ้นเงยหน้ามองนาง นัยน์ตาสะอาดใสแจ๋วปานหินสีดำในตาน้ำใส จิ่งเหิงปัวได้ยินเขาเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “หนึ่ง สอง สาม…”
เสียงที่สามยังนับไม่ถึง จิ่งเหิงปัวลื่นลงมาดัง “หวืด” เสียงหนึ่ง
นางล้มลงบนพื้นเสียงดังพลั่ก ถูกสิ่งอะไรไม่รู้ชนจนปวดเอว นางเอนกายลงบนพื้น เบิกดวงตาจ้องต้นไม้เหนือศีรษะกล่าวว่า “บนต้นไม้นี่มันอะไรเนี่ย ลื่นชะมัด!”
“ต้นไม้ชนิดนี้จะหลั่งน้ำมันออกมา ผ่านกาลเวลาเนิ่นนานจึงเคลือบเป็นไขแข็งชั้นหนึ่งบนต้นไม้แห้ง ทั้งลื่นทั้งแข็งยิ่งนัก ปีนได้ยากยิ่ง”
“แล้วเหตุใดเจ้าไม่รีบบอกข้าก่อน?” จิ่งเหิงปัวบีบคลึงเอวอย่างปวดร้าว ปีติยินดีอีกครั้งว่าโชคดีที่ไม่ใช่ใบหน้าทิ่มพื้น
“หากต้องเสียเวลาอธิบายให้เจ้าติ๊งต๊อง สู้ให้นางได้รับบทเรียนด้วยตนเองดีกว่า” กงอิ้นเอ่ยสืบต่อว่า “ประหยัดเวลา ประหยัดเรื่องราว ประหยัดกำลังกายใจของข้า”
“เจ้าน่ะควรพยายามรักษากำลังกายใจไว้” จิ่งเหิงปัวกล่าวต่ออย่างชั่วร้ายว่า “ไม่อย่างนั้นข้าเกรงว่าเจ้าจะยืนหยัดได้ไม่ถึงหนึ่งนาที”
“อะไรนะ” ใครบางคนที่มีสติปัญญายอดเยี่ยม ตำแหน่งสูงส่งอำนาจล้นเหลือ ในหลายสิบปีมานี้ก็แทบจะไม่มีผู้ใดเคยเอ่ยวาจาเลยเถิดเช่นนี้ต่อเขา ทำให้เขาไม่ทันได้โต้ตอบไปชั่วขณะ ทว่าชั่วพริบตาเดียว แววตาชั่วร้ายของจิ่งเหิงปัวและที่ซึ่งนางกวาดสายตาไปอย่างเลวทรามจึงพาให้เขาเข้าใจขึ้นมา
สำหรับเรื่องนี้ คำตอบของเขาคือการคว้าจิ่งเหิงปัวขึ้นไปประชิดริมขอบตาข่ายเพียงครั้ง
“เจ้าจะทำอะไร” แซ่จิ่งผู้ปากแข็งใจขลาดถามอย่างตื่นตระหนก